สามวันแล้วที่ชื่นชีวาพาน้องสาวเข้าวัดทำบุญ ยิ่งเห็นน้องสาวสดใสขึ้น อีกทั้งยังไม่ได้พูดถึงภูตผีวิญญาณเช่นเคยเธอก็เลยมีกำลังใจที่จะพาน้องไปวัดทุกวัน ทว่าวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้พาชมชีวันไปวัด เพราะเธอจะลางานนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ชมพูดูสดใสขึ้นมากเลยรู้ไหม” ชื่นชีวาเอ่ยกับน้องสาวในขณะที่กำลังขับรถพากันกลับบ้านหลังจากมาทำบุญและนั่งสวดมนต์ในโบสถ์กันอยู่พักใหญ่
“ตอนนี้ฉันมีความสุขมากเลยค่ะ” สาวเจ้ายิ้มตอบคนเป็นพี่ จะไม่ให้เธอสดใสและอารมณ์ดีได้อย่างไร เมื่อเธอทำบุญมากเท่าไร เธอก็ได้พูดคุยและติดต่อสื่อสารกับอัคคีได้บ่อยมากเท่านั้น หนำซ้ำเธอก็ยังพูดคุยกับเขาได้ทุกเรื่องโดยที่ไม่รู้สึกว่าเขาไม่เชื่อที่เธอพูด
“ดีแล้วล่ะ พรุ่งนี้พี่ก็ต้องไปทำงานแล้ว ชมพูอยู่บ้านเองได้ใช่ไหม ถ้าหิวก็ออกไปสั่งข้าวที่ร้านป้าน้อย อยากไปไหนก็เดินไปบอกวีที่ร้านซ่อมรถ”
“ฉันอยู่ได้ พี่ชบาไม่ต้องห่วงค่ะ”
“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจ” ชื่นชีวาละมือซ้ายจากพวงมาลัยมาลูบหัวน้องสาวเบาๆ แค่เพียงเห็นน้องยิ้มได้และไม่ได้ทำตัวแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไปเธอก็เบาใจ และกลับไปทำงานโดยไม่ต้องห่วงอะไรมากมายแล้ว
เป็นประจำทุกวันหลังจากกลับมาจากวัด มนตรามัจฉาจะรีบกลับไปที่ห้องของเธอ เพราะรู้ว่าเวลาหลังจากทำบุญเสร็จเธอจะสามารถสื่อสารกับอัคคีได้ แม้นจะคุยกันได้ไม่มากนัก ทว่าก็ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกดีไม่น้อย
สาวเจ้าล็อคกลอนประตูเรียบร้อยก็รีบไปทิ้งตัวนั่งบนปลายเตียงก่อนจะส่งเสียงเรียกชายหนุ่ม “วันนี้ฉันไปทำบุญมาอีกแล้วนะคุณอัคคี คุณอัคคี คุณได้ยินฉันไหม”
“ผมได้ยิน ผมรู้แล้วว่าคุณทำบุญให้ผม ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ แล้วก็มองเห็นอะไรรอบๆ ตัวด้วย”
“มันเป็นยังไงเหรอคะ”
“มันมียันต์อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ผมพยายามออกไปก็ออกไปไม่ได้”
“ถ้าฉันพยายามทำบุญให้คุณอีก คุณอาจจะออกมาจากที่นั่นได้ก็ได้ คุณว่าอย่างนั้นไหมคะ” สาวเจ้าพยายามเงี่ยหูฟังเสียงตอบกลับ ทว่าก็ไม่ได้ยินเสียที
“คุณอัคคี” เธอเอ่ยเรียกเขาอีกรอบ และตอนนี้ก็รู้แล้วว่า เธอไม่สามารถคุยกับเขาต่อได้อีกแล้ว
“หายไปอีกแล้วเหรอ รู้ไหมว่าเวลาฉันคุยกับคุณ ฉันรู้สึกดีมากๆ เลยนะคะ เราน่าจะคุยกันได้นานกว่านี้เนอะ” มนตรามัจฉาหงายหลังทิ้งตัวไปกับเตียงนุ่ม หวังว่าไม่นานนี้เธอจะได้ยินเสียงของอัคคีอีก เพราะเขาเป็นเมือนเพื่อนคนเดียวในตอนนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจในการคุยด้วยมากๆ ไม่รู้หรอกว่าเธอจะต้องทำบุญอีกมากแค่ไหนถึงจะช่วยเหลืออัคคีได้ แต่ที่รู้ตอนนี้ก็คือการที่เธอจะต้องหมั่นขยันสร้างบุญด้วยใจบริสุทธิ์ และเธอจะยกผลบุญนั้นให้อัคคีทั้งหมดจนกว่าเขาจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เป็นอยู่
ในระหว่างที่กำลังจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา จู่ๆ ภาพวันวานของชมชีวันก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองทำให้มนตรามัจฉาต้องรีบลืมตาเพราะภาพเหล่านั้นทำให้เธอเริ่มรู้สึกปวดหัว ภาพการฝึกฝนศิลปะะการต่อสู้ เธอรับรู้ได้เลยว่าตอนนั้นชมชีวันมีความสุขกับการได้ฝึกมาแค่ไหน
“ความทรงจำของคุณสินะ” ไม่ทันที่จะได้ทบทวนเรื่องราวที่ได้รับรู้เมื่อครู่เธอก็เริ่มจำเรื่องราวของตัวเองในโลกอีกมิติได้ หญิงสาวพยายามนั่งนิ่งสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และจับความรู้สึกอยู่พักใหญ่ จนเธอนั้นกลับมาจำเรื่องราวของตนเองได้อีกครั้ง ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่เธอหนีไปท่องเที่ยวเท่าไรก็ไปไม่หมด ทั้งผองเพื่อนที่เป็นสัตว์ทะเล หัวใจของเธอรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อๆ เพราะหวนคิดถึงโลกที่เธอได้จากมา
“ท่านพ่อ ท่านแม่...” ก่อนจากมาเธอได้กระทำความผิดจนถูกกักขังบริเวณ แม้นจะแอบน้อยใจท่านพ่อและท่านแม่ ทว่าความคิดถึงโหยหาในใจก็มีมากจนเกินความน้อยใจ หรือที่จริงแล้วที่เธอต้องจากเมืองเกิดมาก็เพราะทำผิดกับพ่อกับแม่ของเธอ อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจพอสมควรก็คือเรื่องที่ นินันท์ มีใบหน้าละม้ายคล้ายแม่ของเธออย่างกับคนเดียวกัน อีกทั้งใบหน้าของเธอก็เหมือนกับชมชีวันอย่างกับถอดแบบกันมา
“หรือสวรรค์ต้องการให้ข้าชดใช้ความผิดที่ได้กระทำกับท่านแม่บนโลกใบนี้” เธอพึมพำก่อนจะเดินไปกอดอกมองท้องฟ้า ความกลัวในตัวของนินันท์หายไปปลิดทิ้ง เหลือเพียงความกังวลว่านินันท์จะยอมให้เธอได้เข้าใกล้เพื่อไปดูแลง่ายๆ หรือไม่ ประเมิณจากสถานการณ์ในตอนนี้เธอไม่เห็นว่าจะมีวิธีไหนที่จะทำให้นินันท์เอ็นดูเธอขึ้นมาได้เลย
“ข้าจักต้องทำเยี่ยงไรจึงจักได้อยู่ข้างท่านแม่”
“ทุกข์ใจเรื่องอันใดอยู่ฤา”
สาวเจ้าเห็นร่างอันงดงามของนางไม้ สายตาของเธอก็เริ่มฉงน เพราะไม่คิดว่าสาลิกาจะเข้ามาในห้องของเธอได้ด้วย
“ท่านสาลิกา ท่านเข้ามาในห้องข้าได้ด้วยฤา”
“ในอาณาเขตของท่านเจ้าที่ ข้าไปได้ทุกที่”
“เมื่อครู่ความทรงจำของข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ แล้วข้าก็จำได้ว่าข้าทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเสียใจเพราะความดื้อรั้นของข้า แล้วใบหน้าของท่านแม่ข้าก็ละม้ายคล้ายคุณนินันท์ แม่สามีของข้า และข้าเองก็มีใบหน้ามิได้ต่างจากชมชีวัน”
“บนโลกนี้มิมีเรื่องบังเอิญหรอกหนา เจ้าจงคิดให้ถี่ถ้วนว่าเจ้าจักต้องทำอย่างไรต่อไป”
“แต่ข้ามิรู้ได้ว่าข้าจักตัดสินใจถูก”
“ข้าพูดอยู่เมื่อครู่ว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้มิมีเรื่องบังเอิญ ฉะนั้นหากเจ้ามั่นใจว่าอยากทำสิ่งใด จงเชื่อมั่นในสัญชาติญาณของเจ้าเถิด ข้าบอกกับเจ้าได้เพียงเท่านี้” ธุระของนางไม้แสนงดงามจบลงได้ร่างของเธอก็อันตรธานหายไปกับสายลม
“ใช้สัญชาติญาณเช่นนั้นฤา” ดวงตาคู่สวยมองจ้องไปยังตัวเองที่หน้ากระจกของโต๊ะเครื่องแป้ง หากใช้สัญชาติญาณในการตัดสินใจ ตอนนี้เป้าหมายของเธอก็คือนินันท์ เธออยากเข้าไปดูแลนินันท์ ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นแม่สามี แต่เธออยากเข้าไปดูแลในฐานะที่เธอเป็นลูกคนหนึ่ง หากฟ้ายังเห็นใจเธอก็ขอให้นินันท์ไม่รังเกียจรังงอนเธอนักเวลาที่เธอเข้าไปใกล้
ผ่านงานมงคลของเมืองปักษิณพารามาร่วมขวบเดือนกว่าแล้ว ทั้งที่ชื่อเสียงเรียงนามของมนตรามัจฉาเลื่องลือว่าเป็นผู้ที่ทำให้ปักษิณสิงขรมองเห็นและเรียนรู้หลายอย่างจากการมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว ทว่าความดีของนางก็ไม่เป็นที่พูดถึง มีแต่เสียงอื้ออึงของเหล่าสรรพสัตว์ในเมืองยังคงโจษจันกันว่า นางผู้นี้เป็นเงือกที่ไม่มีความเรียบร้อยสมเป็นว่าที่ราชินี เพราะหลังจากผ่านงานอภิเษกได้ เงือกสาวก็เอาแต่เที่ยวเตร่กับญาติผู้น้องและเจ้านากทะเล ทว่าก็ไม่มีผู้ใดคิดกังขาดังไป เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นข้ออนุญาตของปักษิณสิงขร“ท่านพี่ ท่านเอาแต่เที่ยวเล่นกับข้าเช่นนี้เพลาใดท่านจักมีทายาทเสียทีเล่า” มีนามัจฉาเอ่ยถามญาติผู้พี่ขณะที่กำลังว่ายน้ำเล่นด้วยกันอยู่หลังตำหนักของชลามัจฉา“ทายาท! อ่อ...ข้ายังมิพร้อม เจ้าอยากเลี้ยงหลานฤา”“มิได้เจ้าค่ะ ข้ามิถูกกับเด็ก ข้ามิชอบเสียงร้อง มิชอบมองผู้น้อยงอแงเจ้าค่ะ น่ารำคาญ”“เจ้ากับข้าก็มิต่างกัน”“เท่าที่ข้ารู้ ท่านพี่ชอบเด็กมิใช่ฤา คราสามนยังเยาว์ ท่านพี่ยังไปขโมยสามนมาเลี้
อิ่มเดินออกมาหลังบ้านด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะเมื่อครู่ได้รับสายจากคนที่ไม่อยากคุยด้วยสักเท่าไร “คุณโรสโทรมาชวนคุณนันท์ไปงานวันเกิดค่ะ บอกว่าส่งการ์ดเชิญไปบ้านที่กรุงเทพแล้ว”คนที่กำลังนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศยามพระอาทิตย์ใกล้ตกหน้าตึงไม่สบอารมณ์กะทันหันเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนรักหักเหลี่ยม “หึ่...จะส่งมาทำไม ไหนว่าตัดขาดกับฉันแล้ว คนแบบนี้เชื่อถืออะไรไม่ได้จริงๆ”“แล้วคุณนันท์จะไปไหมคะ” อิ่มอ้อมแอ้มถามคนเป็นนาย ทั้งหวังว่าจะได้คำคตอบที่ตรงใจ“อิ่มว่าฉันควรไปไหมล่ะ”“เป็นฉันก็คงไม่ไปค่ะ”“นั่นแหละ ฉันจะไม่ยอมโง่ไปคบกับคนแบบนั้นอีกเด็ดขาด”“ดีแล้วค่ะ คุณอัคได้โทรมาหาบ้างรึเปล่าคะ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”“เงียบไปทั้งคู่เลย คงจะเที่ยวกันเพลินแล้วล่ะมั้ง” นินันท์ไม่คิดจะไปรีบกวนลูกๆ ในเวลานี้ ในเมื่อทั้งสองยอมไปเที่ยวตามที่เธอขอแล้ว ตอนนี้เธอก็จะปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระไปก่อน ส่วนเธอก็ทำหน้าที่บริหารงานตรงนี้ให้อัคคีหมดห่วงเรื่องงานเป็นพอ ทั้งยังภาวนาอยู่ทุกวันว่าขอให้ยินข่าวดีหลังจากที่ทั้งสองกลับมา หลังจากอัคคีพามนตรามัจฉาไปหาซื้อชุดนอนเมื่อวานตอนเย็น จวบจนเข้าเวลาเย็นอีกวันเขาก็ยังไ
“พูดมาเดี๋ยวนี้”“ฉันรับงานถ่ายแบบชุดชั้นในค่ะ แค่ยี่สิบกว่าเซทเท่านั้นค่ะ ฉันเห็นว่ามันได้เงินเยอะดีก็เลยยอมตกลงเซ็นสัญญา”“กับโมไหน”“ก็คนที่เคยมาทาบทามให้ฉันไปถ่ายชุดว่ายน้ำแล้วคุณโรมไม่ยอมให้ถ่ายนั่นแหละค่ะ”“แล้วทำอะไรทำไมไม่บอกผมก่อน” โรมหัวเสียขึ้นมากะทันหัน เพราะเขาไม่เคยเชื่อใจโมเดลลิ่งนั้นแม้แต่น้อย คนในวงการถ่ายแบบรู้กันดี ว่าคนอย่างแองจี้ไว้ใจไม่ได้ บรีฟอีกงานแต่ให้ไปทำอีกงานอยู่บ่อยครั้ง ทว่าก็ไม่มีใครเอาผิดได้เพราะเซ็นสัญญารับเงินโดยที่ไม่อ่านให้ถี่ถ้วน“ฉันกลัวว่าคุณจะห้ามอีก ฉันอยากได้เงินเยอะๆ จะได้หมดหนี้จากคุณเร็วๆ”“ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ อีกอย่างผมก็บอกแล้วว่าไม่ต้องคืนก็ได้ ทำไมคุณถึงได้รั้นผมนัก รู้ไหมว่าโมเดลลิ่งพวกนั้นมันเล่ห์เหลี่ยมเยอะแค่ไหน”“เขาเป็นโมใหญ่ ไม่มาหลอกอะไรมั้งคะ สัญญาก็มี”“ไม่รู้แหละ ถ้าคุณไม่ยกเลิกงานนั้นผมจะบอกทุกอย่างกับแม่คุณ”“ไม่นะคะคุณโรม บอกแม่ไม่ได้นะคะ หรือคุณก็อยากให้แม่ฉันป่วยเหมือนเดิม อีกอย่างฉันเซ็นสัญญาไปแล้ว ถ้ายกเลิกก็ต้องเสียเงินเป็นสิบล้านเลย ฉันจะเอาที่ไหนมาจ่ายคะ แต่ฉันสัญญานะคะว่าฉันจะทำงานแบบนี้ครั้งสุดท้าย ครั้งหน
อัคคีและมนตรามัจฉามาถึงบ้านลออในช่วงเย็นของวัน เมื่อเข้าบ้านได้ก็รีบเอาของขวัญกล่องใหญ่ให้กับหญิงวัยกลางคน “สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะคะน้าลออ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่วันงานนะคะ”“แค่นึกถึงน้าก็ดีใจแล้วล่ะหนูชมพู ไปฮันนีมูนเป็นเดือนแบบนี้กลับมาคงมีเจ้าตัวเล็กติดท้องมาด้วยใช่ไหม”“เอ่อ...” มนตรามัจฉาถึงกับไปไม่เป็นเมื่อผู้ใหญ่ตรงหน้าเอ่ยในเรื่องที่เธอกำลังลำบากใจพอๆ กับอัคคี“แม่ถามอะไรพี่ชมพูแบบนั้น สองคนนี้เขาอายหมดค่ะ” กรรณิการีบโพล่งเมื่อเห็นสองสามีภรรยาเอาแต่เงียบ อีกทั้งแม่ของเธอก็กำลังหน้าเสียเพราะไม่รู้ว่าพูดอะไรไม่เข้าหูแขกที่มาหรือเปล่า“อ่อ...ขอโทษทีจ้ะ ถ้าไม่รังเกียจอยู่กินข้าวเย็นที่นี่กันนะคะ เย็นนี้เห็นคุณโรมว่าจะมากินข้าวด้วยเหมือนกัน”“คุณอัคไม่มีธุระที่ไหนใช่ไหมคะ” มนตรามัจฉาอยากถามความเห็นของชายหนุ่มก่อน“ไม่ครับ อยู่กินข้าวที่นี่ได้ครับ”“ดีเลยๆ เดี๋ยววันนี้น้าเข้าครัวเองเลยค่ะ” ลออตั้งใจว่าจะทำให้วันนี้เหมือนเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ตอบแทนอัคคีและชมชีวันที่อุตส่าห์นึกถึงและเอาของขวัญมาให้ก่อนจะไปเที่ยวฮันนีมูน อีกอย่างคนมีอายุอย่างเธอก็ชอบบรรยากาศที่แสนครึกครื้นบนโต๊ะอาหาร มัน
หลังจากนินันท์ออกไปทำธุระข้างนอกพร้อมกับป้าอิ่ม มนตรามัจฉาก็ถือโอกาสนี้เข้าไปคุยกับอัคคีในห้องทำงานของเขา เพราะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องไปเที่ยวกะทันหัน สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะเธอที่ยอมนินันท์มากเกินไป“เรื่องไปเที่ยว คุณอัคโอเคไหมคะ”“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณว่าคุณโอเคไหมที่จะต้องตัวติดกับผม เห็นหน้าผมตลอดเวลาเป็นเดือน”“ทำไมถึงคิดกับฉันแบบนั้นล่ะคะ ฉันบอกแล้วไงคะว่าที่อยากกลับไปอยู่บ้านเพราะไม่อยากให้คุณใช้ชีวิตอึดอัด” ทำไมมนตรามัจฉาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มยังเคืองเรื่องที่เธอเก็บกระเป๋าจะกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเอง“คุณรีบขึ้นไปเก็บกระเป๋าเถอะ พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางแล้ว”“แล้วให้ฉันเก็บให้คุณไหมคะ”“เดี๋ยวผมจะจัดการทุกอย่างเอง”“ค่ะ ถ้าฉันเก็บกระเป๋าแล้วจะเอาของขวัญไปให้แม่กระถินนะคะ”“เดี๋ยวผมไปส่ง”“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวอู่ก็จะเอารถมาส่งที่นี่แล้วค่ะ”“ก็ผมบอกว่าผมจะไปด้วยไง จะได้เอาของขวัญไปให้แม่กระถินด้วยกัน”“ก็ได้ค่ะ” มนตรามัจฉารับปากชายหนุ่มเสียงอ่อน ก่อนจะหันหลังเดินกลับมายังห้องนอนใหญ่ของตัวเองด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว“ทำไมต้องเสียงแข็งทุกคำด้วยนะ” เธอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาก่อนจะพึม
“วันที่เขาหึงฉัน เขาจูบฉันตอนเมา แต่แค่แปปเดียวนะ”“หา!” ชมชีวันอุทานเสียงหลง“อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งตัวจริงๆ”“เฮ้อ... คุณคิดว่าเราจะสลับร่างกันอีกนานเท่าไร” ชมชีวันนั่งฟุบลงไปกับพื้นเพราะกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง“เรื่องนี้ ฉันเดาไม่ได้เลยจริงๆ”“ถ้าคุณยังห่วงว่าทุกอย่างยังเป็นของฉัน แล้วก็ยังกังวลในวันที่ต้องจากกัน คุณกับคุณอัคก็อยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข เอาแบบนี้ดีไหม คุณคิดเสียว่าร่างฉันเป็นร่างคุณเหมือนที่คุณให้อภิสิทธิ์ฉันในร่างคุณเต็มที่ ส่วนเรื่องที่คุณกลัววันที่ต้องจากกันกับคุณอัค คุณลองคิดว่าถ้าอยู่ด้วยกันแล้วต้องอึดอัดเก็บความในใจไม่รู้จะนานแค่ไหน กับอยู่ด้วยกันให้มีความสุข พอถึงเวลาจากอาจจะเสียใจ แต่อย่างน้อยก็มีความทรงจำในเรื่องดีๆ ที่มีต่อกัน” ชมชีวันเอ่ยจบก็อมยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างภาคภูมิใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดจาอะไรได้มีเหตุมีผลขนาดนี้“อยู่อย่างอึดอัดกับอยู่ด้วยกันให้มีความสุขเหรอ?”“คิดเอาก็แล้วกันนะ”“ฉันจะกลับไปคิดดูค่ะ เอ่อ... แล้วตอนนี้ทางคุณเป็นยังไงบ้าง”“ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้ทุกผู้สบายดี แล้วตอนนี้ฉันก็สนุกมากๆ ด้วย เพราะมีทั้งสามนแล้วก็มีนามัจ