มื้ออาหารเช้านี้ค่อนข้างเป็นมื้อพิเศษของคนในบ้านเลยก็ว่าได้ เพราะทุกคนได้รู้ว่าตอนนี้ชมชีวันได้ความทรงจำกลับคืนมาบ้างแล้ว ทว่าโชติรวีและชื่นชีวาก็ต้องแปลกใจเมื่อจู่ๆ ชมชีวันก็เอ่ยปากว่าวันนี้อยากจะไปเยี่ยมแม่สามีที่บ้านเสียอย่างนั้น ทั้งที่รู้ว่านินันท์ไม่ได้อยากเป็นมิตรกับตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
“พี่จะให้ผมไปส่งที่บ้านยายคุณนายนั่นเนี่ยนะ ไม่กลัวเขาโขกสับกลับมาอีกหรือไง” โชติรวีกุมขมับเมื่อจู่ๆ พี่สาวก็มาอยากญาติดีกับแม่สามีเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ชมชีวันจำความหลังได้จริงๆ หรือแกล้งพูดเพื่อให้เขากับพี่สาวคนโตชื่นใจกันแน่
“ถ้าไม่ไปส่งพี่ พี่ไปเองก็ได้”
“ขับรถไปเองได้ใช่ไหมชมพู”
“ได้ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันรู้ตัวว่าฉันทำตัวไม่น่ารักกับคุณนันท์ แต่ตอนนี้ฉันอยากไปขอโทษเธอจริงๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้คุณอัคคีเจ็บหนักอยู่ในตอนนี้ พี่ชบาไม่ต้องห่วงนะ ฉันว่าฉันโอเค”
“ถ้าอยากไปก็ไป”
“ผมไม่เห็นด้วยสักนิด”
“เงียบเลยวี” ชื่นชีวาถลึงตา และส่ายหัวให้กับโชติรวี เธอเห็นว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่ชมชีวันจะเข้าหาผู้ใหญ่ด้วยความนอบน้อม เพราะดูสถานการณ์แล้วน้องสาวของเธอคงต้องอยู่ในฐานะลูกสะใภ้นินันท์ไปอีกนาน หากนินันท์เอ็นดูชมชีวันได้ก็เป็นเรื่องที่ดี
หลังจากจบมื้ออาหารทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองมนตรามัจฉาก็ไปเตรียมแต่งตัวเพื่อออกไปหานินันท์ เธอขับรถเก๋งสีขาวคู่ใจของชมชีวันออกจากหน้าหอพักตรงไปยังซุปเปอร์มาเก็ต เพราะในความทรงจำของชมชีวันสอนให้เธอรู้ว่าเวลาจะเข้าหาผู้ใหญ่ต้องมีของฝากเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย
สาวเจ้าเดินอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตพักใหญ่ก็ได้กระเช้าผลไม้มาสองกระเช้า จากนั้นขับรถตรงไปยังบ้านของนินันท์ตามเส้นทางในความทรงจำทันที
ใบหน้าของหญิงสาวเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มตลอดทาง หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ อยากให้ถึงวินาทีที่จะได้เจอหน้าของนินันท์เร็วๆ เพราะนั่นเท่ากับว่าเธอจะได้คลายความคิดถึงแม่ที่แท้จริงในอีกมิติของเธอด้วย
รถเก๋งสีขาวแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านสองชั้นสีขาวครีมหลังใหญ่โตโอ่อ่าสไตล์โมเดิร์น ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทิวเขารายล้อมไปด้วยธรรมชาติ ที่นี่เป็นเรือนหอของชมชีวันหลังจากแต่งงานกับอัคคี ทว่าก็ทั้งสองไม่เคยได้อยู่กันเป็นส่วนตัวเท่าไรนัก เพราะนินันท์ย้ายมาอยู่พร้อมกันตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี่
จอดรถที่ลานจอดได้เธอก็ยกกระเช้าใบโตเดินเข้าไปในบ้าน และคนแรกที่ออกมาต้อนรับก็คือป้าอิ่ม แม่บ้านร่างท้วมวัยกลางคน คนสนิทของนินันท์
“คุณชมพู หายดีแล้วเหรอคะ”
“ใช่ค่ะป้าอิ่ม ฉันซื้อผลไม้มาฝากป้าอิ่มด้วยนะคะ” มนตรามัจฉายกกระเช้าผลไม้ให้กับมือของอิ่ม เพราะเธอรู้ว่าแม่บ้านคนนี้ใจดีกับชมชีวันเสมอ
“ขอบคุณนะคะ”
“มาทำไม”
สาวเจ้าเงยหน้ายิ้มให้กับคนที่เอ่ยทักทายเสียงแข็ง จากนั้นเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ นินันท์
“ฉันซื้อผลไม้มาให้คุณแม่ค่ะ” เธอพยายามยิ้มแย้มและใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่านินันท์ก็ไม่ได้คิดจะรับของจากมือของเธอเสียที
คิ้วเรียวสวยเพราะแต่งแต้มอยู่ตลอดเริ่มขมวดเข้าหากัน เพราะไม่รู้ว่าวันนี้สะใภ้ของเธอมาไม้ไหน ทว่าก็ไม่ชอบที่จะเสียมารยาทรับของจากคนที่เอามาให้ แต่กระนั้นก็มีท่าทีให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอไม่ได้เต็มใจรับนัก “อิ่ม เอาไปเก็บ”
“ค่ะคุณนันท์”
ยื่นกระเช้าผลไม้ให้แม่บ้านคนสนิทได้ก็ไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะถลึงตาไปยังลูกสะใภ้ที่ยังเอาแต่ยืนแข็งทื่อไม่เดินตามเข้ามานั่งกับเธอ
“จะยืนแข็งทื่ออยู่อีกนานไหม มานั่งสิ”
“ค่ะ”
“อันที่จริงเธอควรจะไปเฝ้าลูกชายฉันมากกว่าจะมากวนใจฉันที่นี่นะ”
“ถึงฉันไปเยี่ยมอาการของคุณอัคคีก็ไม่ได้ดีขึ้นอยู่ดีค่ะ ฉันอยากมาเยี่ยมคุณแม่มากกว่า”
“จะมาไม้ไหนกับฉันอีก ฉันมันคนตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้หน้าฉันเธอยังไม่อยากจะมอง พูดจากับฉันก็ไม่มีหางเสียง แต่จู่ๆ ก็กลับเปลี่ยนไป ต้องการอะไรกันแน่”
“ไม่ได้ต้องการอะไรมากเลยค่ะ แค่ต้องการให้คุณแม่เอ็นดูฉันเท่านั้น ฉันรู้นะคะว่าคุณแม่ไม่ชอบฉันมากกว่าเดิมเพราะฉันพาคุณอัคไปเจ็บตัว แล้วตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น ฉันอยากขอโทษคุณแม่จากใจจริง แล้วก็อยากขอให้คุณแม่มองฉันใหม่ เพราะยังไงเราก็ต้องเห็นกันไปอีกนานค่ะ”
“หึ่... เธอทำให้ฉันต้องเกือบผิดใจกับเพื่อนฉันที่ตาอัคไปแต่งงานกับเธอ แล้วเธอก็ไม่ได้ส่งเสริมอะไรลูกชายฉันเลย จะให้ฉันยอมรับเธอง่ายๆ มันคงเป็นไปไม่ได้”
“ต้องทำยังไงคะคุณแม่”
“ไปให้พ้นหน้าฉันสิ บางทีฉันอาจจะเกลียดเธอน้อยลงก็ได้”
“แต่ฉันอยากอยู่ใกล้คุณแม่นี่คะ”
“เธอนี่ถ้าไม่ก้าวร้าว ก็เป็นคนพูดไม่รู้เรื่องสินะ” นินันท์ถลึงตามองลูกสะใภ้อย่างเหลือจะเชื่อ คนตรงหน้าเธอไม่ก้าวร้าวเหมือนแต่ก่อนก็ดีอยู่หรอก ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นคนดึงดันพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องเสียอย่างนั้น
“ฉันแค่อยากอยู่ใกล้คุณแม่ อยากให้เราพูดคุยกันดีๆ นี่คะ”
“ก็บอกว่าไม่ไง”
“เปิดใจสักนิดไม่ได้เหรอคะ” มนตรามัจฉาพุ่งตัวเข้าไปคุกเข่าพนมมือไหว้ต่อหน้านินันท์ จากนั้นเธอก็เริ่มส่งสายตาออดอ้อนเช่นที่เคยทำกับท่านแม่ของเธอ หวังว่านินันท์จะใจอ่อนให้เธอเหมือนกับแม่ของเธอที่เห็นสายตานี้แล้วต้องใจอ่อนกับเธอทุกครั้งไป
“นี่...” เด็กคนนี้ ทำไมต้องมามองเธอแบบนี้ด้วย นินันท์รีบสะบัดหน้าหนีไม่ยอมมองลูกสะใภ้ เพราะรู้ตัวเลยว่าหากมองจ้องไปยังคนที่ทำหน้าน่าสงสารอยู่ตรงหน้าอีกนิดเดียว เป็นอันได้ใจอ่อนกับลูกสะใภ้ของเธอไปได้ง่ายดายแน่ เธอจะต้องสั่งสอนให้ชมชีวันรู้สำนึกว่าพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เคารพเธอก่อนหน้านี้ทำให้เธอไม่พอใจแค่ไหน
“กลับไปได้แล้ว แล้วไม่ต้องมาหาฉันอีก”
“ท่านพี่ก็รู้ใช่ฤาไม่เจ้าคะว่าทั้งสองอภิเษกทั้งที่ยังมิได้รักกัน แลเพลานี้ข้าดูออกว่าทั้งสองกำลังใส่ใจแลสนใจกันเป็นพิเศษเจ้าค่ะ หากท่านเพลิงพันจักรมิคิดมีใจให้ท่านหญิงจักรู้สึกเสียใจที่ทำท่าหญิงโกรธปานนี้ฤาเจ้าคะ แลท่านหญิงเองหากมิมีความรู้สึกกับท่านเพลิงพันจักร ท่านหญิงจักยอมทำทุกอย่างเพื่อตามใจท่านเพลิงพันจักรในตอนที่สวามีป่วยฤาเจ้าคะ จริงอยู่ที่การกระทำของท่านหญิงเป็นไปเพราะรู้สึกผิด ทว่าก็มิต้องทำทุกอย่างที่ท่านเพลิงพันจักรขอก็ได้ใช่ฤาไม่เจ้าคะ”“ชายาข้าช่างสังเกตปานนี้เชียวฤา” รณจักรปักษาเอ่ยออกมาด้วยท่าทางขบขันที่เห็นชายาตนนั้นวิเคราะห์เรื่องนี้เสียยาว“ขำสิ่งใดเจ้าคะ จักว่าข้าช่างสังเกตฤาช่างสอดเจ้าคะ”“มิใช่อย่างนั้นเสียหน่อย เป็นสิ่งที่ดีแล้วที่เจ้าสงสัย เพราะข้าเองก็คิดเช่นเจ้า เพียงแค่พอจักเดาออกว่าทั้งสองมิรู้ใจตน ทั้งสองอยู่ใกล้กันทุกวัน แม้จักมินานก็คงทำให้มีความรู้สึกต่อกันบ้าง แต่ทั้งสองต่างก็ยังมิเคยมีความรัก ความรู้สึกคงยังมิชัดแจ้งแก่ใจตน”“ข้าเข้าใจได้ว่าท่านอัญญาภานารีมิเคยมีความรักนั้นใช่ แต่ท่านเพลิงพันจักรนั้นรักท่านอชินีพาราหนาเจ้าคะ”“เรื่องนี้ท่านปักษิณสิงขร
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่บ้านเมืองของเขาก็ถูกแกล้งสารพัด ยิ่งตอนนี้มีเหตุให้เขาทำร้ายข้าอย่างถูกต้องคงสาแก่ใจเขามาก”“คราแรกข้าก็ว่าท่านเพลิงพันจักรร้ายที่แกล้งท่านหญิง แต่ข้าก็มองเห็นว่าตอนที่ท่านเพลิงพันจักรพาท่านหญิงกลับมา ท่านเพลิงพันจักรดูกระวนกระวายใจแลเป็นห่วงท่านเหมือนกันหนาเจ้าคะ ข้าเองก็มิรู้ได้ว่าท่านเพลิงพันจักคิดสาแก่ใจที่เห็นท่านเจ็บฤาไม่ แต่การแสดงออกมิเห็นเจ้าค่ะ” บุหงาราตรีเอ่ยไปตามความรู้สึกของตนเอง เรื่องอัญญาภานารีจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอัญญาภานารียังคงเงียบ ถึงบุหงาราตรีจะเอ่ยแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่หายโกรธผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวามีอยู่ดี หากเมื่อวานเธอไม่รอดออกมาจากภูผาม่านจะเป็นอย่างไร ที่เขามาทำดีกับเธอก็คงไม่พ้นกลัวว่าความผิดจะถึงหูแม่ตนเองแล้วจะถูกตำหนิ ไม่ผิดไปจากที่เธอคิดแน่“สมุนไพรนี้ได้ผลชะงัด ใบหน้าที่มีรอยแผลตื้นหายแทบจะเป็นปลิดทิ้งแล้วหนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีเห็นใบหน้าของอัญญาภานารีกลับมาสวยสดดังเดิมก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากเฝ้ารักษากันมาร่วมสองสามวัน“เห็นท่าข้าคงต้องพกติดตัวเสียแล้ว ด้วยมิรู้ว่าจักถูกสวามีข้ากลั่นแกล้งเมื่อใด”“ยังมิหายเคืองโกรธท่านเพล
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากทั้งกองฟืน ทั้งไหมร้อนและอ้อมกอดของเพลิงพันจักรรวมไปถึงได้ยาสมุนไพรไปเมื่อกลางดึก เช้านี้อัญญาภานารีจึงพอจะรู้สึกตัวและฟื้นคืนสติมาได้ ทว่าความเจ็บปวดนั้นก็ยังมีอยู่เนืองๆดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นว่าตนนั้นอยู่ในอ้อมอกของสวามี อีกทั้งความเจ็บปวดในกายนั้นยังทำให้เธอได้รื้นฟื้นความจำว่าเมื่อวานนี้ไปเจอกับเรื่องอะไรมา“ตื่นแล้วฤา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บปวดมากฤาไม่” เพลิงพันจักรค่อยๆ คลายอ้อมกอดเมื่อรู้ว่าอัญญาภานารีได้รู้สึกตัวตื่นขึ้น“ข้าทุเลาความปวดลงมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าจำได้ว่าท่านตามข้าเข้าไปที่ยอดเขาโน้น” นกยักษ์สาวจับจ้องรอคำตอบจากสวามีตนตาไม่กระพริบ“ข้า...” เพลิงพันจักรขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ประคองชายาตนให้นั่งเช่นตน“เจ้าดื่มยานี่ก่อนเถิด” เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดถึงเรื่องเมื่อวานอย่างไรก็หันไปรินยาต้มใส่ถ้วยแก้วให้นกยักษ์สาวได้ดื่มเสียก่อนอัญญาภานารีรับถ้วยยาจากสวามีตนขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นวินาทีเดียวกันกับที่บุหงาราตรีเข้ามาพอดี“ท่านอัญญาภานารี เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังรู้สึกปวดแผลอยู่บ้าง”“
เพลิงพันจักรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่เขาจึงกลับเข้าไปดูอาการของอัญญาภานารีในถ้ำเพราะทนความกระวนกระวายใจไม่ไหว เมื่อย่างก้าวเข้ามาถึงข้างในได้ก็ต้องหลบสายตาของบุหงาราตรี ด้วยไม่อยากรู้สึกว่ากำลังถูกคาดโทษผีเสื้อสาวอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยพอจะเดาท่าทางของเสืออาวุโสออกว่าตอนนี้ท่าจะลดทิฐิและรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปได้แล้ว “ท่านหญิงเก็บปีกได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ความเจ็บปวดนั้นยังอยู่ ทั้งดูท่าจะทวีคูณมากขึ้นในค่ำคืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงต้องเฝ้าท่านหญิงทั้งคืน”“ข้าดูแลนางเอง นางเจ็บตัวเพราะข้าแลนางเป็นชายาข้า หน้าที่ดูแลนางสมควรเป็นข้าจักต้องทำ ขอบใจเจ้าที่คอยดูแลนาง เพลานี้แล้วเจ้าไปพักเถิด ข้าให้ลำปันจัดเตรียมอาหารเอาไว้ที่ถ้ำของพวกเจ้าแล้ว”“เจ้าค่ะ วันพรุ่งข้าจักมาดูท่านหญิงแต่เช้าหนาเจ้าคะ สมุนไพรที่ต้องทาแผลท่านหญิงอยู่ตรงนี้หนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีวางถ้วยสมุนไพรไว้ข้างแท่นบรรทมก่อนจะเดินออกไป ที่ผีเสื้อสาวยอมออกไปง่ายๆ ก็เพราะเห็นแล้วว่าเพลิงพันจักรอยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้ทำจริงๆเพลิงพันจักรนั่งมองอัญญาภานารีที่นอนหลับไปไม่ได้สติอยู่บนแท่นบรรทมเงียบๆ สายตาของเขามองภาพนั้นด้วยคว
อัญญาภานารีบินโฉบไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าไม่กี่อึดใจที่คิดจะโฉบลงพื้นไปนั่งพักก็มีแสงบางอย่างกระทบมายังดวงตาของเธอ นกยักษ์สาวเพ่งสายตาไปยังจดเริ่มต้นของแสงที่กระทบสายตา วินาทีนั้นความเหนื่อยได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะบ่อน้ำแร่ได้อยู่ตรงหน้าของเธอแล้วอัญญาภานารีรีบโฉบลงไปยังบ่อน้ำที่มีควันกรุ่นออกมาตลอดเวลา เธอไม่ได้กลัวความร้อนของบ่อน้ำแร่แม้แต่น้อย เมื่อเข้าใกล้บ่อได้ก็รีบใช้ขวดแก้วที่เตรียมมาตักน้ำแร่ในบ่อทันที เมื่อได้นำแร่จนพอใจแล้วก็รีบปิดฝาขวดแล้วเก็บเข้าไปยังย่ามหนังที่เธอได้เตรียมมาด้วยจัดแจงเก็บขวดน้ำแร่เรียบร้อยแล้วอัญญาภานารีกก็มองไปยังท้องฟ้าอีกครา คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นกะทันหันเพราะตอนนี้ม่านหมอกได้ปกคลุมน่านฟ้าแทบทุกอณู“เหตุใดเป็นเช่นนี้” นกยักษ์สาวเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มสยายปีกบินขึ้นท้องฟ้า อัญญาภานารีพยายามบินให้สูงขึ้นเหนือหมอกเพื่อที่จะได้มองเห็นยอดเขาที่เป็นที่พักของตน ทว่าไม่ว่าจะบินสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถพ้นม่านหมอกได้เสียทีเมื่อพยายามบินให้ไวขึ้น จู่ๆ ปีกของเธอก็เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวรั้งสร้างความเจ็บปวดจนกรีดร้องเสียงหลง “อ๊าย...”เสียง
“ท่านจักไปเช้านี้ฤา” เพลิงพันจักรลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่ก็เห็นอัญญาภานารีเตรียมสำรับอาหารให้กับเขาเรียบร้อย ให้เดานกยักษ์สาวคงรีบไปหาน้ำแร่ให้เขาเป็นแน่“เจ้าค่ะ ข้าจักรีบไปรีบกลับ ท่านต้องกินอาหารในสำรับให้หมดหนาเจ้าคะ”“อืม เจ้ารีบไปเถิด” เพลิงพันจักรพยักหน้าทั้งอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เขามองตามหลังนกยักษ์สาวด้วยสายตามีเลศนัย ให้หลังอัญญาภานารี เสืออาวุโสก็ลุกขึ้นยืนไปยกสำรับขึ้นมากินอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษอัญญาภานารีออกไปยืนที่ริมหน้าผาสูง เธอยืนดูราดราวลู่ทางการเดินทางครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจในตำแหน่งของเป้าหมายที่จะบินไปยังยอดเขานั้น อัญญาภานารีก็เริ่มสยายปีกแล้วบินขึ้นท้องฟ้าไปในทันทีปีกสีขาวสยายลู่กับลมโฉบไปมาอยู่ครู่ใหญ่ จากท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นส่ามีม่านหมอกมาบังสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผ่านม่านหมอกนั้นไปได้นกยักษ์สาวก็บินอยู่กับที่ เธอมองจ้องภาพเบื้องล่างด้วยสีหน้าฉงน เพราะตอนนี้ภาพนั้นช่างแตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากพอสมควร จากยอดเขาที่เปิดโล่ง กลับกลายเป็นมีต้นไม้ขึ้นหนาบดบังวิสัยทัศน์“แล้วเช่นนี้จักเห็นบ่อน้ำแร่ได้อย่างไร” อัญญาภานารีเริ่มแบ่งพื้