เช้าของวันใหม่ไม่ค่อยเป็นที่น่าสดใสนัก มนตรามัจฉาตื่นขึ้นมาก็มารับรู้เรื่องที่น่าเศร้าสลดขึ้น เพราะสมานได้จากโลกนี้ไปแล้ว เท่าที่เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเป็นเพราะดื่มเหล้ามากเกินไปทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงจนทำให้หัวใจวายเสียชีวิตในค่ำคืนที่ผ่านมา
มนตรามัจฉาในชุดเสื้อเชิ้ตพร้อมกางเกงขายาวสีดำ เธอสะพายกระเป๋าเตรียมตัวที่จะไปช่วยงานป้าน้อยที่วัดในช่วงบ่าย ทว่าก่อนไปก็เดินเข้ามายืนที่หน้าต้นไม้ใหญ่ เพราะยังมีเรื่องที่ยังค้างคาใจที่จะต้องคุยกับนางไม้
“ท่านบอกข้าว่าจักจัดการสามีของป้าน้อยเอง เหตุที่ทำให้ลุงหมานต้องตาย เป็นเพราะ...”
“มิใช่ข้าที่ทำให้คนผู้นั้นตาย” สาลิกาปรากฎกายให้มนตรามัจฉาได้เห็นก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยคำถามจบ “คนผู้นั้นถึงคราวตายแล้วต่างหาก ถึงเพลาที่คนผู้นั้นจักต้องกลับไปชดใช้กรรมของตัวเองแล้ว ข้ามิมีสิทธิ์ทำให้ใครอยู่หรือใครตายหรอกหนา”
“ข้าขออภัยที่คิดเช่นนั้น”
“ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าจักเดินทางไปที่วัดใช่ฤาไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าอยากไปช่วยป้าน้อย”
“จักมีหญิงสาวนามว่ากระถินมาหาเจ้า หากเจ้าอยากรู้สิ่งใดให้นึกถึงข้าในใจ ถึงข้าจักไปหาเจ้ามิได้ แต่ก็พอจักสื่อสารกับเจ้าได้”
“เป็นคนที่ข้าต้องช่วยใช่ฤาไม่เจ้าคะ”
ใบหน้าอันงดงามของสาลิกาค่อยๆ พยักหน้ารับเล็กน้อยจากนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่
มนตรามัจฉาเดินตรงไปยังรถเก๋งคู่ใจของชมชีวัน หญิงสาวเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พรางนึกถึงวัฏจักรของชีวิตมนุษย์ที่เปราะบางไม่ได้ต่างจากชีวิตของเธอในโลกมิติ ทุกคนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้ในโลกของเธอนั้นจะมีคนมีวิชาอาคมสามารถรักษาเนื้อรักษาตัวหรือช่วยชีวิตสรรพสัตว์ตนอื่นได้ ทว่าก็ไม่มีใครหนีพ้นการตายได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นหากวันนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอก็จะขอทำตัวให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
มนตรามัจฉาขับรถเข้ามาจอดที่ใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่กำลังออกดอกสีเหลืองนวลบานสะพรั่ง วัดแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างขวางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และลานดินกว้าง หน้าศาลาการเปรียญตอนนี้เริ่มมีคนเข้ามาประปราย มนตรามัจฉาลงจากรถได้เธอก็รีบเดินไปยังศาลาการเปรียญทันที
ในระหว่างที่มนตรามัจฉากำลังเดินเข้าไปในศาลาการเปรียญเธอก็สังเกตเห็นว่าผู้คนที่กำลังจับกล่ามพูดคุยทักทายกันคราแรกได้หยุดการสนทนาก่อนจะปรายสายตามองมายังเธอกันเป็นตาเดียว อีกทั้งสายตาที่มองมานั้นเหมือนว่ากำลังตื่นกลัวอะไรบางอย่าง ซึ่งเธอเองก็เดาไม่ออกว่าทำไมเธอถึงได้สายตาเหล่านั้นมา
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะป้าน้อย”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะหนูชมพู เตรียมศาลาเสร็จทุกอย่างแล้ว เหลือแค่รอให้ลูกป้าพาศพพ่อมันกลับมาแล้วก็รอร้านอาหารเอาอาหารชุดมาส่งเอาไว้ให้แขกที่มาเท่านั้น การมีเงินนี่มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นจริงๆ นะ”
“เอ่อ...แล้ว ป้าน้อยรู้ไหมคะว่าทำไมคนอื่นถึงมองฉันแปลกๆ”
“เฮ้อ...ก็คนพวกนั้นมันคิดว่าเป็นเพราะนางไม้โกรธตาหมานแล้วเอาชีวิตไปน่ะสิ”
“ไม่ใช่ฝีมือของนางไม้นะคะ” และแล้วเธอก็ได้คำตอบของสายตาตื่นกลัวของคนอื่นที่มองมายังเธอเสียที ทว่าเรื่องนี้เหมือนจะมีคนเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว
“ป้าก็เชื่อแบบนั้น แล้วป้าก็อธิบายไปแล้วด้วยว่าตาหมานตายเพราะกินเหล้า แต่ชาวบ้านก็คือชาวบ้าน อยากเชื่ออะไรก็จะเปลี่ยนความคิดยาก หนูชมพูเข้าใจนะลูก”
“ค่ะ แล้วป้าน้อยเสียใจไหมคะที่จู่ๆ ลุงหมานก็จากไป”
“ตอนแรกที่รู้ข่าวก็ใจหายนะ แต่ก็ถือว่าป้าหมดเวรหมดกรรมกันแล้ว”
“ป้าน้อยให้เอาของไว้ที่ไหนคะ”
ในขณะที่นั่งคุยกันอยู่ที่หน้าศาลาการเปรียญก็มีหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยรูปร่างผอมสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงวอมขายาวเดินเข้ามาหาทั้งสอง
“เอาขึ้นมาไว้หลังศาลาเลยลูก แล้วมาคนเดียวเหรอ”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวป้าไปช่วยขนนะ”
มนตรามัจฉาพอจะเดาออกแล้วว่าหญิงสาวน่าจะเข้ามาส่งอาหารที่ป้าน้อยเตรียมเอาไว้ให้แขกในวันนี้ เธอจึงเดินตามทั้งสองไปเอาของในท้ายรถกระบะ
เหล่าคนที่อยู่หน้าศาลาการเปรียญเห็นว่าพวกเธอกำลังขนอาหารไปเก็บไว้หลังศาลาการเปรียญทุกคนก็กรูกันเข้ามาช่วย ของจากท้ายรถกระบะทั้งหมดเลยเข้าไปอยู่ที่หลังศาลาการเปรียญภายในไม่ถึงสิบนาที หลังจากเสร็จงานตรงนี้คนอื่นๆ ก็แยกตัวไปนั่งจับกลุ่มคุยกันอีกครั้ง หากให้มนตรามัจฉาเดาก็คงไม่มีใครคิดอยากจะเข้าใกล้เธอด้วยกลัวว่าอาจจะทำอะไรให้เธอไม่พอใจแล้วคิดว่านางไม้จะมาลงโทษ
“พวกเขาคงจะกลัวฉันจริงๆ สินะคะ”
“หนูชมพูกังวลไหมลูก ถ้ากังวลป้าจะไปพูดกับพวกเขาอีกรอบ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าน้อยบอกเองนี่คะว่าพวกเขาเชื่ออะไรก็จะเชื่อแบบนั้น”
“จ้ะๆ เดี๋ยวป้าขอไปซื้อซองขาวหน้าวัดก่อนนะ ต้องเอาไว้ใส่ปัจจัยให้พระน่ะ”
“เดี๋ยวฉันไปซื้อให้ค่ะ ป้าน้อยเดินหลายรอบแล้ว”
“ก็ได้จ้ะ ขอบใจนะ”
“ค่ะ”
มนตรามัจฉาเดินออกมาจากศาลาได้ก็มุ่งหน้าตรงไปยังร้านขายของหน้าวัด ทว่ายังไม่ทันที่จะเดินได้กี่ก้าว หญิงสาวที่มาส่งอาหารให้ป้าน้อยก็เดินเข้ามาขวางหน้าของเธอเอาไว้ก่อน
“มีอะไรเหรอคะ”
“ฉันชื่อกระถิน นางไม้บอกให้ฉันมาหาพี่น่ะค่ะ”
เช้าของวันใหม่ไม่ค่อยเป็นที่น่าสดใสนัก มนตรามัจฉาตื่นขึ้นมาก็มารับรู้เรื่องที่น่าเศร้าสลดขึ้น เพราะสมานได้จากโลกนี้ไปแล้ว เท่าที่เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเป็นเพราะดื่มเหล้ามากเกินไปทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงจนทำให้หัวใจวายเสียชีวิตในค่ำคืนที่ผ่านมามนตรามัจฉาในชุดเสื้อเชิ้ตพร้อมกางเกงขายาวสีดำ เธอสะพายกระเป๋าเตรียมตัวที่จะไปช่วยงานป้าน้อยที่วัดในช่วงบ่าย ทว่าก่อนไปก็เดินเข้ามายืนที่หน้าต้นไม้ใหญ่ เพราะยังมีเรื่องที่ยังค้างคาใจที่จะต้องคุยกับนางไม้“ท่านบอกข้าว่าจักจัดการสามีของป้าน้อยเอง เหตุที่ทำให้ลุงหมานต้องตาย เป็นเพราะ...”“มิใช่ข้าที่ทำให้คนผู้นั้นตาย” สาลิกาปรากฎกายให้มนตรามัจฉาได้เห็นก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยคำถามจบ “คนผู้นั้นถึงคราวตายแล้วต่างหาก ถึงเพลาที่คนผู้นั้นจักต้องกลับไปชดใช้กรรมของตัวเองแล้ว ข้ามิมีสิทธิ์ทำให้ใครอยู่หรือใครตายหรอกหนา”“ข้าขออภัยที่คิดเช่นนั้น”“ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าจักเดินทางไปที่วัดใช่ฤาไม่”“เจ้าค่ะ ข้าอยากไปช่วยป้าน้อย”“จักมีหญิงสาวนามว่ากระถินมาหาเจ้า หากเจ้าอยากรู้สิ่งใดให้นึกถึงข้าในใจ ถึงข้าจักไปหาเจ้ามิได้ แต่ก็พอจักสื่อสารกับเจ้าได้”“เป็นคนที่ข้า
ชื่นชีวาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ทั้งกลิ่นธูปควันเทียนก็เริ่มขโมง เธอจึงต้องรีบพุ่งตัวเข้าไปหยุดสถานการณ์ตรงหน้าก่อน“ทุกคนกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลอยู่นะคะ หยุดจุดธูปกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”“แต่พวกเราอยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเหมือนนังน้อยบ้างนี่นา จะเก็บเงินพวกเราก็ได้ แต่ขอให้เราได้ขอหวยจากต้นไม้นี้ก่อนได้ไหม หรือไม่ถ้าไม่ให้ขอหนูชมพูก็บอกหวยพวกเรามาสิ ได้ข่าวว่าคุยกับนางไม้ได้ไม่ใช่เหรอ”“ใช่/ใช่” เมื่อหัวโจกเอ่ยนำ เหล่าคนพื้นที่ที่มารวมตัวกันก็ว่าตาม“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ ชมพูจะไปสื่อสารกับนางไม้ได้ยังไง ถ้าพวกป้าๆ ลุงๆ อยากจะมาขอหวยที่นี่ฉันก็มีข้อแม้ค่ะ”“ยังไงว่ามาเลย”ชื่นชีวาหันมามองหน้าชมชีวันที่อยู่อยู่ไกลๆ เพราะเธอก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หากจะไล่ผู้คนเหล่านี้ออกไปเลยก็คงจะทำได้ยาก ทว่าจะให้มาจุดธูปจุดเทียนก็กลัวกลิ่นธูปควันเทียนจะรบกวนลูกหอ หากเลวร้ายกว่านั้นก็อาจจะเกิดอัคคีภัยได้ เพราะใต้ต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างมีใบไม้แห้งเยอะพอสมควร“บอกผู้คนเหล่านี้ว่าจักสื่อสารกับข้ามิต้องใช้ธูปเทียน ใช้เพียงใจที่บริสุทธิ์ คนที่จักให้ข้าช่วยต้องเป็นคนที่มีบุญบารมี แลมิใช่ทุ
“คุณคะ”วินาทีที่ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ากลับมามองเธอ ทำเอามนตรามัจฉาตัวชาวาบ เพราะคนตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาไม่ได้ต่างจากเธอแม้แต่น้อย วินาทีนั้นมนตรามัจฉารู้ได้ทันทีว่าตรงหน้าคือร่างกายของเธอในขณะที่มีขาทั้งสองนั่นเอง“นั่นตัวของฉันนี่” ชมชีวันเห็นตัวเองก็ยืนอ้าปากค้างไม่ต่างจากมนตรามัจฉา“นั่นร่างของฉันเหมือนกัน”“คุณคือมนตรามัจฉาใช่ไหม”“คุณคือคุณชมพูเหรอคะ”“ใช่ ฉันเอง ฉันกับคุณสลับร่างกันจริงๆ ด้วย เรามาหาวิธีสลับร่างคืนกันดีไหม” ชมชีวันรีบปรี่เข้ามายืนตรงหน้ามนตรามัจฉาด้วยความหวัง คิดว่าอาจจะถึงเวลาแล้วที่เธอและเงือกสาวจะได้กลับไปอยู่ในที่ที่ตัวเองจากมาเสียที“แต่ว่า ฉันต้องขอกลับไปลาท่านน้าก่อน แล้วเราค่อยมาสลับร่างกัน”“มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้นหรอกหนา”ทั้งสองมองหาต้นเสียง ไม่นานนักเจ้าของเสียงที่เป็นชายสูงวัยร่างสูงใหญ่สวมโจงกระเบนสีขาวก็ปรากฎตัวขึ้น “คุณเป็นใคร แล้วมาที่นี่ได้ยังไง” ชมชีวันมองชายวัยกลางคนที่มีเรือนผมหยิกยาว ทั้งยังกระเซิงจนเหมือนไม่ได้เจอหวีมาหลายชาติ“ข้านามว่าตรีทศ ข้าเป็นผู้สร้างห้วงฝันนี้ขึ้นมาเอง ให้พวกเจ้าทั้งสองได้พบเจอกันอย่างใดเล่า”“ตรีทศ ครุฑที่ขโมยหัวใ
“ยังอยู่ดีค่ะ แต่ยังไม่ออกจาก ICU ฉันคิดว่าถ้าวิญญาณของคุณกลับเข้าร่างได้ก็น่าจะฟื้น ฉันคิดว่าพลังบุญที่ฉันทำให้คุณอาจจะช่วยคุณได้จริงๆ ดูสิคะตอนแรกที่ฉันทำบุญ ฉันคุยกับคุณได้บ่อยขึ้น หลังจากนั้นไม่นานคุณก็เริ่มรู้ตัวว่าเป็นวิญญาณ แล้วก็ค่อยๆ จำเรื่องราวของตัวเอง แถมตอนนี้ยังออกมาจากที่กักขังได้แล้วด้วย ถ้าฉันทำบุญให้คุณเพิ่มอีก ไม่นานคุณก็จะได้กลับเข้าร่างได้ก็ได้นะคะ”“ขอบคุณคุณมากๆ ที่ทำเพื่อผมขนาดนี้”“ฉันเต็มใจค่ะ ยิ่งรู้ว่าคุณเป็นลูกของท่านแม่ฉันก็ยิ่งอยากช่วย”“หมายความว่ายังไง” สีหน้าของอัคคีเต็มไปด้วยความฉงนหนัก“ก็...” ไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้พูดจบร่างของอัคคีก็สลายหายไปต่อหน้าต่อตา“คุณอัคคี คุณอัคคีคะ” มนตรามัจฉารีบกวาดสายตามองไปยังรอบห้องแล้วก็ต้องถอนหายใจ เพราะไม่เห็นหรือแม้แต่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มได้อีกต่อไป“หวังว่าคุณจะปลอดภัยนะคะคุณอัคคี แล้วฉันจะพยายามทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เธอพึมพำก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียง แม้จะเสียใจที่ได้คุยกับชายหนุ่มได้น้อยไปหน่อย ทว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าคนที่เธอกำลังช่วยคืออัคคีคนเดียวกับที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล เห็นทีคนเดี
“ฉันคงได้มาบ่อยแล้วล่ะค่ะ”“แม้จิตของหนูจะเป็นเงือก แต่ร่างกายของหนูเป็นมนุษย์ ยังไงก็จะทานแต่ผักผลไม้ไม่ได้ หากจะให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องทานโปรตีนเสริมเยอะๆ ด้วยนะลูก”“ฉันจะพยายามนะคะ”ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในห้องรับประทานอาหารร่วมสองชั่วโมง มนตรามัจฉาทั้งพึงพอใจกับรสชาติอาหารของมที่นี่ อีกทั้งยังรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้และพูดคุยกับเด่นจันทร์จนไม่อยากจะกลับ ทว่าก็ไม่อยากรบกวนเวลาของหญิงชรามากนักเธอเลยต้องจำใจบอกลา“ขอบคุณคุณหมอมากๆ เลยนะคะที่ทำให้ฉันได้มารู้จักคุณย่า” สาวเจ้าหันหลังไปขอบคุณหมอหนุ่มที่อุตส่าห์เดินมาส่งเธอถึงที่ลานจอดรถ“ยินดีครับ หลังจากนี้คุณมนตราก็จะไม่ได้มาเป็นคนไข้ของผมแล้วล่ะสิ”“ไม่ได้เป็นคนไข้ แต่กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่นี่แทนค่ะ แล้วต่อไปนี้คุณหมอก็เรียกฉันว่าชมพูนะคะ คนอื่นจะได้ไม่สงสัยอะไร”“เข้าใจแล้วครับ”“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”มนตรามัจฉาขับรถกลับบ้านด้วยสีหน้าระรื่น อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นเงือกที่โดดเดี่ยวอยู่บนโลกใบนี้ ทว่าก็ยังสงสัยไม่น้อยว่าอำนาจของหัวใจสมุทรสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือแท้จริงแล้วที่เธอต้องเข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์ก็เพราะอำนาจของหัวใจสมุทรเหม
มนตรามัจฉาขับรถมาที่ร้านอาหารไม่ไกลจากบ้านของเธอมากนัก หญิงสาวจอดรถเรียบร้อยก็มองไปยังหน้าร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวหญิงสาวในชุดมินิเดรสสีขาวสวมทับด้วยเสือคลุมสีฟ้าเดินเข้ามาในร้านอาหารได้ไม่กี่ก้าว ธีรภพก็รอต้อนรับเธออยู่แล้ว เพราะที่นี่เป็นร้านอาหารครอบครัวของเขา “สวัสดีครับคุณมนตรา”“สวัสดีค่ะคุณหมอ นัดฉันมาที่นี่มีธุระเรื่องอะไรเหรอคะ”“มาคุยกันข้างในดีกว่าครับ”มนตรามัจฉาเดินตามธีรภพเข้าไปในห้องอาหารใหญ่บนชั้นสองของร้าน เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็มีอาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะแล้ว และส่วนมากก็เป็นพวกผักที่เธอชอบด้วย“เชิญนั่งก่อนครับ”“ค่ะ” หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ที่หมอหนุ่มเลื่อนให้“คุณหมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”“อันที่จริงเป็นคุณย่าของผมที่อยากคุยกับคุณครับ ท่านบอกว่าท่านพร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่เป็นตัวคุณ”“คุณหมอเล่าเรื่องฉันให้คุณย่าคุณหมอฟังเหรอคะ”“ครับ เพราะเรื่องของคุณมันเหมือนกับเรื่องที่คุณย่าของผมชอบเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วคุณย่าคุณหมออยู่ไหนเหรอคะ”ก๊อก ก๊อก ก๊อก ทั้งสองหันไปมองยั