( เธออยู่กับใคร? ทำไมถึงได้กล้าเสียงดังใส่ฉันฮะ) ตองเก้าตะโกนถามฉันเข้ามาเสียงตึง ฉันจึงลดระดับอารมณ์ของตัวเองลงมา ก่อนจะตอบเขากลับไปว่า
“ อยู่กับเพื่อน... ”
(ผู้หญิง...ใช่มั้ย?)
“ผู้ชาย...แถมยังหล่อกว่านายหลายเท่า”
( ถ้าไม่อยากเน่าตาย บอกมันให้อยู่ห่างๆ จากเธอเอาไว้ )
ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่อยากจะพูดกับผู้ชายคนนี้ ฉันจึงได้คิดหาวิธีที่จะทำให้อีกฝ่าย กดวางสายของเขาไปเอง
“ แบ๊ตวิทยุของนายจะหมดแล้วนะ มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเร็วๆ เข้า ”
( อย่ามาหลอกฉันซะให้ยาก แบตวิทยุนั่น เปิดทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนยังไงก็ไม่หมด ไม่มีทางที่เธอจะมาหลอกคนอย่างฉันได้ )
ฉันอยากจะลมใส่ ที่หลอกคนอย่างเขาไม่ได้สักที...เฮ้อ!
“ แล้วจะเรียกฉันหาพระแสงอะไรยะ!! ”
( ไหน...ว.3 อีกครั้งสิ )
ว.3 หมายความว่า ตองเก้าต้องการให้ฉัน ทบทวนข้อความกับเขาใหม่
“ ก็..เรียกฉันทำไมบ่อยๆ...ละคะ ”
( ฟังแล้วค่อยลื่นหูหน่อย...ฉันต้องการจะย้ำเธอถึงเรื่องของเราในค่ำคืนนี้ )
“ ฉันรู้แล้ว! ”
(จะให้ฉันไปรับเธอได้ที่ไหน?)
“ ที่บ้านของหลินซีเพื่อนซี้ของฉันเอง...เดี๋ยวฉันปักหมุด แล้วจะส่งโลเคชั่นไปให้นาย...แค่นี้นะฉันจะได้ไปทำอย่างอื่น ”
ฉันตัดบทสนทนา ด้วยการหมุนปุ่มปิดวิทยุทันที หลังจากที่พูดจบโดยไม่สนใจคนที่อยู่อีกฝั่งนั่น
หลินซีหัวเราะเสียงดังลั่น เมื่อได้ยินฉันกร่นด่าวิทยุสื่อสาร ทั้งที่ได้ปิดมันไปแล้ว
“คู่ของแกดูแปลกดีว่ะ มีโทรศัพท์แต่กลับใช้วิทยุในการติดต่อสื่อสารกัน นี่ฉันก็เพิ่งจะเคยเห็น”
“ก็นายนั่นเป็นกู้ภัย ถึงได้ชอบใช้วิทยุสื่อสารไง เพราะการใช้วิทยุสื่อสารกัน มันง่ายต่อการประสานงาน ระหว่างองค์กรกับองค์กร ซึ่งตอนนี้โรงพยาบาลในบางพื้นที่ มีบุคลากรไม่เพียงพอต่อคนเจ็บ และคนตายที่มีมากขึ้นทุกวัน ที่สำคัญกว่านั้นคือพ่อของตองเก้า เป็นถึงเจ้าของมูลนิธิ ที่ฉัน พ่อ และพี่ชาย ได้สังกัดอยู่ด้วยกัน แล้วนายนั่นก็เคยเป็นเพื่อนซี้ กับพี่ชายของฉันมาก่อน”
“เดี๋ยวนะ...แกใช้คำว่า ‘เคย’...เป็นเพื่อนซี้”
“อื้ม...เคยเป็น...แต่ตอนนี้เขาสองคนไม่ถูกกัน แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่ามันเป็นเพราะอะไร ”
“เวรกรรม! ถ้าพี่อุลรู้เข้าแกจะทำยังไง?”
“ก็คงจะทางใครทางมันละมั้ง...แต่ช่างมันเหอะ...ชีวิตของฉันคงไม่ได้มีผู้ชายคนนี้แค่เพียงคนเดียว เพราะเดี๋ยวก็จะมีเข้ามาใหม่ ฉันไม่จำเป็นต้องแคร์ แกว่าฉันพูดถูกมั้ยละ?”
“แหม...แม่คนช่ำชอง ที่แกว่านั่นของแท้ยืนอยู่ตรงนี้เว้ย...เราเป็นผู้หญิงยุคใหม่ จะแคร์ไปทำไมวะ ในเมื่อเราก็สามารถเลือกได้ ฟันผู้ชายแล้วทิ้งนั่นคือผู้หญิงยุคเรานี่แหละ”
“ห๊ะ! แกเคยฟันผู้ชายมาแล้ว อย่างงั้นเหรอหลินซี!?” ฉันถามเพื่อนรัก เพราะรู้สึกตกใจมาก เมื่อได้ยินมันพูดออกมาแบบนั้น
“ยังไม่ได้ฟันว้อย!..เพราะยังไม่มีใครเข้าตา มันก็เลยไปไม่ถึงขั้นนั้นสักที มีแต่พวกเสือสิงห์ ฉันก็เลยทิ้งพวกมันก่อน ตอนนี้โสดซิง ฉันกับแกคงต้องชิงกันปักตระไคร้แล้วมั้ง”
““แกเคยได้ยินเขาพูดมั้ย?...ว่าผู้ชายที่ใส่แว่นตา จะซ่อนความหื่นกระหายเอาไว้ข้างใน แล้วผู้ชายในคณะของเราก็มีเยอะแยะ แถมยังใส่แว่นตาหนาเตอะแทบจะทุกคน แกก็เลือกเอาใครสักคนสิวะ”
“ทั้งคณะมีว่าที่หมอหน้าตาดีๆ อยู่แค่ไม่กี่คนเอง ฉันเห็นแล้วก็เซ็งชะมัด อีกอย่างฉันไม่เชื่อแกหรอกที่ว่า ผู้ชายใส่แว่นตาจะซ่อนความหื่นเอาไว้น่ะ เพราะที่เห็นส่วนใหญ่ ก็มักจะซ่อนความแต๋วแตกเอาไว้ข้างใน ฉันหาผู้ชายคณะอื่นมาเป็นแฟนน่าจะดีกว่า”
“จะเลือกเอาคณะไหนก็แล้วแต่แกเถอะว่ะ ฉันว่าตอนนี้ เราควรจะไปหาอะไรกินกันก่อนนะ ฉันหิวแล้วก็ไม่อยากจะหิ้วท้องรอ ไปจนถึงบ้านของแกอ่ะ”
“ก็ได้...งั้นไปกันโลด!”
เป็นเพราะตองเก้าโทรมานัดฉันอย่างกะทันหัน ฉันจึงต้องขอยืมชุดของหลินซีมาใส่ เพราะตัวของเราทั้งสองคน มีขนาดไซส์ที่ใกล้เคียงกันมาก ฉันรื้อเสื้อผ้าของหลินซีออกมาจากตู้ แต่ดูเหมือนจะไม่เจอชุดที่ถูกใจ แถมยังถูกมันบ่นใส่จนหูชา
“ อันนา...แกช่วยตามโลกให้มันทันหน่อยดิวะ ผู้หญิงสมัยนี้เขาจะต้องเปิดเผย สิ่งที่เคยซ่อนเร้นอยู่ภายใน ให้ออกมาสู่สายตาของชาวโลกกันหมดแล้ว ฉันขอร้องว่ะ แกอย่าทำตัวเป็นคนหัวโบราณ เหมือนพวกเต่าล้านปีจะได้มั้ย? เพราะเราคือวัยรุ่นที่อยู่ในยุค Generation Alpha แกเข้าใจป่ะ”
หลินซีอธิบายคร่าวๆ แต่เท่าที่ฉันรู้มา เด็ก GEN ที่ว่านั่น มันจะต้องเกิดในช่วงปีพ.ศ.2553 จนถึงพ.ศ.2568 แต่ที่หลินซีพูดออกมานั่น มันไม่น่าจะใช่...ฉันจึงรีบค้านมันกลับไป
“ใช่เหรอวะ? ในเมื่อเราเกิดก่อนหน้านั้นตั้งสี่ห้าปี เราจะเป็นเด็ก GEN ได้ยังไง”
ถึงฉันจะเถียงกลับไปด้วยเหตุผล แต่มีหรือที่คนอย่างมันจะยอมให้กันได้ง่ายๆ
“...แค่ถอยกลับไปอีกไม่กี่ปี แกก็หยวนๆ ให้หน่อยดิวะ...”
เห็นมั้ยละ...ว่ามันยังสามารถที่จะแถต่อไปได้ ฉันจึงเลิกสนใจ และหันมามองกองเสื้อผ้าที่วางไว้นั่นแหละ แล้วแต่ละชุดของมันก็สุดแสนจะเซ็กซี่ และมีแต่ชุดเดรสที่เป็นสายเดี่ยวแทบจะทั้งนั้น
หลินซีจงใจเลือกชุดสีดำ ที่มีสายใส้ไก่ผูกไขว้ไว้หลังคอ แบบพอดีตัวมาให้ฉัน ความยาวของมันเลยหัวเข่าขึ้นมา จนเกือบจะถึงโคนขาอ่อน ซึ่งปกปิดสิ่งที่ซ่อนไว้ภายในแทบไม่ได้เลย
ฉันไม่เคยใส่ชุดแบบนี้เลยสักครั้ง แต่หากลองสักตั้งก็คงไม่เป็นไร เพราะสถานที่ที่เขาจะพาฉันไป มันคือผับที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ ก็แต่งตัวสไตล์นี้กันทั้งนั้น
หลินซีจับฉันทำผมและแต่งหน้าให้ จนรู้สึกได้เลยว่า มันไม่น่าจะใช่ฉันเลยจริงๆ
ผู้หญิงที่อยู่ในกระจกบานกว้าง นั่นคือฉันจริงๆ ใช่มั้ย?
ฉัน...ได้แต่ถามตัวเองกลับไปกลับมา...
“สวยมากเลยใช่มั้ยละ ฝีมือของฉัน ได้ทำให้แกกลายเป็นนางฟ้า ที่จุติลงมาจากสวรรค์ เพื่อประทานให้กับท่านเทพตองเก้า ฟังแล้วก็เข้าท่าดีนะ”
“แหวะ!...ฉันว่านายนั่นน่าจะเป็นจอมมาร ที่มาจากบรรพกาลมากกว่า เพราะฆ่าเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมตายให้สักที”
“แกนี่นะอันนา...เฮ้ย!”
เอี๊ยดดดดด!!
เสียงเบรกรถดังสนั่นลั่นไปทั้งซอย พลอยทำให้ฉันกับหลินซี ต้องรีบวิ่งปรี่ออกมาดูเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นแถวหน้าประตูบ้าน ของมันเองนั่นแหละ
และไม่ใช่ใครที่ไหน...นอกซะจากนายตองเก้า เจ้าของฉายามารบรรพกาลที่ฉันเป็นคนตั้งให้ร่างสูงโปร่งยืนพิงข้างประตูรถเก๋งคันหรูของตัวเอง...รถเก๋งที่ราคาของมันสำหรับคนธรรมดาอย่างฉัน ไม่สามารถจับต้องมันได้นัยน์ตาเจ้าของร่างใหญ่ ที่กำลังมองตรงมาที่ฉันนั้นฉายแววประหลาด มันคล้ายกับปีศาจร้าย ที่ดูน่าเกรงขามในยามราตรี ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้า และแสดงอาการไม่พอใจออกมา โดยไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ในจังหวะเดียวกันกับที่ฉัน ได้หันไปบอกกับหลินซีว่า“ฉันไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับ ”“เออ...ไปเถอะโชคดีว่ะเพื่อน ”หลินซีตบไหล่ พร้อมกับพยักหน้าให้เชิงเป็นกำลังใจ เมื่อได้เห็นสีหน้ากับท่าทางเซ็งๆ ของฉัน ที่แสดงออกมาโดยไม่คิดจะปิดบังอาการฉันหันมองทางด้านข้างของรถผ่านกระจกบานใส เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างกันด้านใน ได้เงียบเสียงของตัวเองลงไป ตั้งแต่ตอนที่เราได้ออกมาจากบ้านของหลินซี ถึงแม้ตองเก้าจะหน้าตาดีมากแค่ไหน ก็ไม่ทำให้ฉัน อยากจะหันไปมองหน้าเขาสักเท่าไหร่ เราปล่อยให้ระยะเวลาผ่านไป แต่แค่เพียงไม่กี่นาที ตองเก้าก็ได้ทำลายความเงียบนี้ลง“ยัยบื้อ! นี่เธอเห็นข้างทาง น่ามองกว่าหน้าของฉันอย่างงั้นเหรอ? ”‘เออดิ’...ฉัน
บ้าจริง!นี่คือสิ่งที่ฉันต้องได้รับจากการกระทำของตน หรือนั่นเป็นเพราะอีกคนตั้งใจ ให้มันเป็นไปตามเกมส์รุกไล่ ที่เขาได้เป็นคนกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ต้นไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ถูกอีกคน จูบฉันอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย ยกเว้นจะผละออกในบางช่วงจังหวะ เพื่อให้ฉันมีเวลาได้พักหายใจฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาลูบไล้ แล้วกอบกุมมันไว้ทั้งสองเต้า ที่เขาเคยบอกออกมาว่า มันมีลักษณะแบนราบยังกับฝาบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังบีบเคล้น และหยอกเล่นกับมัน โดยไม่ยอมละไปจากตรงนั้น ของฉันได้สักทีสายไส้ไก่ที่ผูกไว้หลังคอ ได้ถูกเขาดึงมันออกไปโดยไม่รู้ตัว เพราะฉันมัวแต่รู้สึกหวามไหว และเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของอีกฝ่าย ที่ทำให้ฉันไม่สามารถจะครองสติของตนเอาไว้ได้ และฉันก็รู้ว่าเขาชอบใจ ที่สามารถทำให้ฉันคล้อยตาม ในสิ่งที่เขากำลังชักนำ เขาถึงได้กล้าทำทุกอย่างบนเรือนร่างของฉัน ราวกับตัวเขานั้นเป็นเจ้าของ ที่สามารถครอบครองและจับต้องมันได้ แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น“ ฉันอยากได้เธอ...อันนา...”ตองเก้าผละหน้าออกมาบอกกับฉันเสียงสั่นพร่า ฉันจึงใช้เวลาในช่วงจังหวะนั้น ดันใบหน้าเขาออกห่าง พลางปฎิเสธเขากลับไป ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน“ไม่
ตองเก้าเอาเสื้อคลุมของเขามาให้ฉันใส่ทับ และพาฉันมาที่ผับแห่งหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าผับของพี่โจ้อี้ถึงสี่เท่า บรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ต่างเดินเข้าออกกันให้วุ่นวายตองเก้าเอาแขนขึ้นมาโอบไหล่ เพื่อกันไม่ให้ฉันเบี่ยงตัวหนีเขาไปไหนได้ ก่อนจะพาฉันเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน“ไอ้เก้า...ทางนี้โว๊ยเพื่อน ” มือที่วางไว้บนลาดไหล่ เลื่อนลงมากุมมือฉันไว้ แล้วพาเดินตรงไปหากลุ่มของเพื่อนชาย ที่มีคนหนึ่งให้สัญญาณด้วยการโบกมือไปมา และสีหน้าของทุกคนดูประหลาดใจ เมื่อได้เห็นผู้ชายจอมเจ้าชู้อย่างตองเก้า ยอมเอาผู้หญิงบ้านๆ อย่างฉันมาควงออกหน้า“อันนา...เป็นแฟนของฉัน ”แถมตองเก้ายังแนะนำฉัน ให้เพื่อนๆของเขาได้รู้จัก จากนั้นจึงหันมาพยักหน้าให้ฉันนั่งลงอยู่ตรงข้างกัน ก่อนจะพูดต่อจากนั้น“ อันนา...นี่คือเพื่อนๆ ของฉัน คนนี้ชื่อทริคเกอร์ นั่นชื่อต้นไทร ส่วนคนสุดท้ายนี่มีชื่อว่า ตีหนึ่ง ซึ่งทุกคนล้วนเป็นจิตอาสากู้ภัย ที่อยู่จุดเดียวกับฉัน และอยู่มหาลัยเดียวกันกับเรา ”ฉันเลื่อนสายตามองหน้าของพวกเขาทีละคน อย่างรู้สึกสนใจโดย่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ส่งยิ้มการค้าไปให้ จากนั้นเพื่อนชายของตองเก้า ที่มีชื่อว่าตีหนึ่ง ได้เอ่ยท
ยอมรับว่าฉันกำลังกลัวคนตัวใหญ่กว่า เมื่อได้เห็นทีท่า กับคำที่เขาพูดออกมา ราวกับคนไม่มีสติเพราะฤทธิ์ของเหล้าที่เขากินเข้าไปเขาน่าจะเมาแล้วนั่นแหละ แต่ก็รู้กันดีว่าไอ้พวกขี้เหล้าทั้งหลาย มันก็มักจะบอกว่าตัวเองไม่เมากันทั้งนั้น และฉันก็ไม่ควรจะอยู่ต่อ เพื่อรอให้เขาเชือดได้ง่ายๆ สู้เสี่ยงไปตายเอาดาบหน้าท่าจะดีกว่ากันพอคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงผลักเขาออกไปจนสุดกำลังที่มี ก่อนจะรีบวิ่งหนีโดยที่ไม่สนใจคนข้างหลัง“ เฮ้ยอันนา! อย่าเพิ่งออกไป...ฉิบหายแล้วกู! ”ฉันไม่ฟังเสียงของตองเก้าที่ตะโกนตามหลังของฉันมา รู้แค่ว่าเจ้าของร่างใหญ่กว่า กำลังวิ่งตามฉันมาติดๆ อย่างที่ไม่คิดจะปล่อยฉันไปฉันวิ่งชนโต๊ะ ชนเก้าอี้ และชนคน จนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แต่ก็พยายามยันตัวลุกขึ้นยืน แล้วยังฝืนวิ่งหนีเขาต่อพอกันที!ให้ฉันคบกับเขานั่นก็เกินจะทนไหว แต่ถึงขนาดต้องพลีกายทั้งที่ใจยังไม่พร้อม ฉันยอมตายเสียยังดีกว่า ปล่อยให้เขารังแกฉันเหมือนที่ผ่านมาเมื่อฉันวิ่งออกมาจากประตูทางเข้า ก็ถูกตองเก้าคว้าเอวเอาไว้ได้ในที่สุด และหยุดฉันไว้ด้วยการจับร่างของฉัน ดันเข้าไปจนแผ่นหลังติดกับผนังกำแพงฉันหอบหายใจแรงๆ พร้อมกับที่มีน
ฉันรู้สึกหวั่นเกรงเมื่อเห็นนักเลงพวกนั้น พากันเดินเข้ามาหาตองเก้าและเขาก็ไม่ยอมถอยเจ้าตัวทั้งหลบ และเตะต่อยพวกมันกลับไปด้วยชั้นเชิงที่มีเหนือกว่า แต่ก็ไม่สามารถจะต้านเอาไว้ได้ เพราะจำนวนคนของอีกฝ่าย ที่มีมากกว่าเราอยู่หลายเท่าตัว “ เฮ้ย!! ไอ้พวกหมาหมู่ กล้ารุมเพื่อนกู งั้นพวกมึงก็อย่าอยู่เลย! ”และแล้วสวรรค์ ก็เห็นใจในความดีของเขา จึงได้ส่งอัศวินขี่ม้าขาว ให้เข้ามาช่วยเราอีกตั้งหลายคนอัศวินที่ว่านั่นก็คือเพื่อนๆ ของตองเก้า ที่หายหัวไปกับพวกสาวๆ นั่นแหละ และอาจมีคนเห็นว่าทางด้านหลังของร้าน กำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ถึงได้รีบเข้าไปบอกคนที่อยู่ด้านใน พวกเขาถึงออกมาได้ทันเวลาพอดีเพื่อนๆ ของตองเก้า ต่างก็วิ่งเข้าไปช่วยกันตะลุมบอนคนของอีกฝ่าย จนตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นใครกันบ้างและเมื่อตองเก้ายันตัวลุกมาขึ้นได้ เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในกลุ่มของคนพวกนั้น แล้วฉันจะอยู่เฉยได้อย่างไร?สายตาของฉัน เหลือบไปเห็นไม้ท่อนหนึ่ง ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะตัวเองไม่เคยมีเรื่องกับใคร อีกทั้งยังไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน.โพล๊ะ!ๆๆฉันได้ฟาดท่อนไม้ลงไปบนหลังของอีกฝ่าย ที่ม
"ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บตรงไหนบ้างมั้ยละ...มาให้ฉันดู?"ฉันเริ่มรู้สึกเจ็บหัวเข่า ตอนที่ได้ยินเขาถามนี่แหละ แล้วมันก็ลามไปที่สะโพกจนถึงต้นขา เพราะตอนที่กำลังวิ่งหนีเขาออกมา ฉันชนทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งตอนนั้นฉันยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะต้องการจะหนีเขาให้ได้เท่านั้นเอง.“ ขาเธอช้ำนี่ ใครเป็นคนทำฮะ พวกของไอ้กระจ๊วดรึไง? ” ตองเก้าเอ่ยถาม ขณะที่กวาดตามองไปทั่ว แล้วเห็นรอยจ้ำบนตัวของฉัน และได้รู้ในนาทีนั้น ว่าไอ้กระจ๊วดนั่นมันก็คือชื่อคน แต่ยังไม่ทำให้ฉันละความสนใจ“นายนั่นน่ะชื่อว่ากระจ๊วดจริงเหรอ? คืออะไร? มันมีความหมายในพจนานุกรมไหม? หรือว่าเป็นชื่อสัตว์ในตำนาน? ” ฉันยังคงตั้งคำถามมากมาย เพราะรู้สึกสงสัยไม่หาย หากไม่ได้ยินคำอธิบาย มันก็คงจะคาใจฉันไม่จบสิ้นตองเก้าขำพรืดออกมาทันทีที่ได้ยิน เพื่อให้ฉันสิ้นความสงสัย เขาจึงยอมอธิบายให้ฟัง“ มันชื่อ กระจั๊ว ที่แปลว่าแมลงสาปนั่นแหละ แต่แมลงสาปในที่นี้ เขาเอาไว้เปรียบกับผู้ชายที่ชอบเกาะผู้หญิงกิน เพียงแต่ฉันเปลี่ยนสรรพนามให้มันใหม่ ที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรม ในเมื่อเข้าใจแล้วก็เอารอยนั่นมาให้ฉันดูสิ”เขาเอื้อมมือมาในจังหวะนั้น ฉันจึงรีบดึงชายก
“ฉันอยากได้เธอ...อันนา”เขาผละออก แล้วบอกตอนที่วางฉันลงบนที่นอน ก่อนจะจูบฉันต่อจากนั้น ขณะเดียวกันก็จัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองไปด้วย จนเราทั้งคู่อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันทุกครั้งที่เขาต้องการฉัน เขาก็มักจะพูดประโยคนั้น และมันน่าจะฝังอยู่ในหัวของเจ้าตัวเขาไปแล้วคราวนี้เขาจูบฉันอย่างดูดดื่ม อีกทั้งยังอ่อนหวานและนุ่มนวล เชิงชวนให้ฉันคล้อยตาม แต่ยังคงไม่รุกล้ำร่างกาย คล้ายต้องการจะไล่ต้อนให้ฉันจนมุม แล้วยอมเขาเองด้วยการขบเม้ม และไล้เล็มริมฝีปากกดจูบฉันย้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนฉันต้องเป็นฝ่ายเผยอริมฝีปากให้ เขาจึงแทรกปลายลิ้นร้อนผ่าวของเขาเข้ามาได้คนเอาแต่ใจ!...และฉันก็ได้แต่คล้อยตามเขาไปได้เสียทุกครั้ง ทั้งที่ปากก็บอกออกไปว่า 'ไม่' นั่นแหละ...ตองเก้าทั้งเก่งและช่ำชอง เขารู้ว่าต้องทำยังไงแบบไหน ถึงทำให้ฉันยอมเขา โดยที่ไม่จำเป็นต้องบังคับเอา และฉันก็ยังให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดีทั้งที่รับรู้ทุกอย่างแต่มันเริ่มไม่มีสติสตัง เพราะฝ่ามือกว้างที่กำลังลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของฉัน ขณะที่ริมฝีปากของเขาก็ทำงานไปพร้อมกัน“อื้อ~~”ฉันครางอือ เมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนอ่อนนุ่ม แต่ทว่าชื้นแฉะแล
เสียงลมหายใจหอบหนักของเราทั้งคู่ บ่งบอกให้ฉันรู้ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันเอง หลังจากที่ได้ฟังตองเก้าพูดประโยคนั้นของเขาจบลง“ฉันพร้อมเป็นของเธอ แล้วเธอละพร้อมแล้วใช่มั้ย?”ฉันไม่ได้เอ่ยอะไร ได้แต่ยกแขนขึ้นไปกอดคอเขาไว้เชิงตอบรับ พร้อมกับจูบเขาก่อนอย่างที่ถูกสอนมา ขณะที่มือหนาของอีกฝ่าย ก็ลูบไล้สัมผัสร่างกายของฉันไปทั่วเนิ่นนานที่มีแค่เสียงจูบกันของเรา แล้วหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเขา เรียกชื่อฉันตามมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ในขณะที่ฉันยังหลับตาพริ้มอยู่“อันนา...”“...?...”“ให้ฉัน...เป็นของเธอนะ?”“อื้อ...นายเป็นของฉัน”ฉันตอบอย่างเผลอไผล ตามเขาไปราวกับคนไร้สติ ในบางช่วงจังหวะเวลาของอารมณ์เมื่อฉันตอบรับเขากลับไป ด้วยสติที่เหลือน้อยเต็มที มีหรือที่อีกคนจะรีรอ พอได้ยินอย่างนั้น ตองเก้าจึงแยกเรียวขาของฉันอ้าออก โดยที่ไม่ต้องบอกว่าเขาจะทำอะไรเพราะฉันรู้สึกได้ จากความเป็นชายที่แข็งแกร่งเป็นแท่งร้อน ซึ่งฉันได้เห็นมันตอนที่เขากำลังเอามันถูไถ กับส่วนอ่อนไหวกลางกาย นั่นทำให้ฉันต้องเบิกตากว้าง....อย่างรู้สึกตกใจ"นะ..นาย...ฉันไม่...อร้าย!"ปึ๊ก!หากฉันคิดเปลี่ยนใจ มันสามารถหยุดเขาเอาไว้ได
[ตองเก้า...จากต้นไทรวอสองเปลี่ยน]ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาแต่ไกล แต่เป็นความรู้สึกที่คลับคล้ายกับกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น...แล้วผมก็พยายามฝืนที่จะลืมตา[ไอ้เก้า!...มึงมัวทำห่าอะไรอยู่วะ...ทำไมมึงถึงไม่พาน้องมันมาสักที..กูกับหลินนั่งรอพวกมึงมาชั่วโมงกว่าๆ อีกสิบห้านาทีถ้ามึงยังไม่มา หลินบอกว่าจะไปหาอันนาที่เต๊นแล้วนะเว้ย]เสียงของไอ้ต้น! ที่เป็นคนเรียกชื่อผมดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร นั่นจึงทำให้ผมรีบหันไปคว้ามันมากดคีย์รับ"เออโทษทีว่ะ...อากาศกำลังดีมันเลยทำให้กูเผลอหลับไปพร้อมกับอันนา"[ มึงคิดว่ากูไม่รู้เลยงั้นสิ...ไอ้สันดาน ]"เออตามนั้น...ในเมื่อมึงรู้แล้วจะถามกูทำไม...บอกหลินด้วยว่าไม่ต้องมาเพราะกูกับอันนากำลังจะไป"ผมรีบตัดบทสนทนา ก่อนหันมองอันนาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี"ไอ้ต้นมันเรียกวิทยุตามเราสองคนน่ะ" ผมบอกเจ้าของใบหน้าน่ารัก ก่อนก้มลงไปจุ๊บริมฝีปากของเธอทีหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่น่าจะพอเพราะเมื่อผมผละออกมา อันนาก็รั้งต้นคอของผมให้ลงไปจูบกับเธออีกครั้งก่อนจะผละออก"ต่อกันไหม?...ฉันจะได้วิทยุบอกไอ้ต้นมันว่า ให้พาหลินไปเดินเที่ยวที่งานดนตรีกันก่อนไม่ต้องรอ""ขืนต่ออีกที ฉันคงได
วันสิ้นปี ณ.ที่เขาใหญ่{Unna part}เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราสองคนมากมาย จึงเป็นเหตุที่ทำให้การจัดกิจกรรม ของชมรมวิศวะไฟฟ้าคราวนั้นต้องถูกยกเลิกกลางคัน และหลังจากที่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้ ตองเก้าจึงจัดทริปเค้าดาวน์ที่เขาใหญ่เพราะเจ้าตัวเขาต้องการเอาใจฉันนั่นเองอยากรู้ใช่ไหมละ ว่าทำไมฉันถึงเลือกเค้าท์ดาวน์ข้ามปี ณ.ที่เขาใหญ่แห่งนี้..นั่นเป็นเพราะที่นี่มีงานลานดนตรีที่ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักครั้งซึ่งในบริเวณงานดังกล่าว จะมีพื้นที่ประมาณราวหนึ่งตารางกิโลเมตรเห็นจะได้ บริเวณด้านในจะประกอบไปด้วยเวทีต่าง ๆ ที่เอาไว้สำหรับให้นักร้องทั้งหลายขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตให้คนที่ตั้งใจมาในงานนี้ได้ฟัง ซึ่งแต่ละเวทีก็ยังแยกประเภทของดนตรีแต่ละแนวอย่างเช่น Jazz Pop Rock หรือลูกทุ่ง กระทั่งรำวงย้อนยุค รวมไปถึงการระเล่นต่างๆ อย่างมากมายที่นี่จึงเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางให้คนที่มีดนตรีในหัวใจได้มารวมตัวกัน เพราะมีเหล่าบรรดาศิลปินในดวงใจหลากหลาย ที่เราจะได้เห็นพวกเขามารวมตัวกันที่นี่นั่นเองและจุดที่เราเข้าพักก็จะอยู่ใกล้กับสถานที่ที่จัดงานลานดนตรี ซึ่งฉ
"ไม่ให้กลับ!...โอ๊ย!"ตองเก้าร้องเสียงดัง พลางทำหน้าแหยเพราะคงเจ็บแผลจากการเคลื่อนไหว ด้วยการใช้กำลังแขนของตัวเองมากเกินไป"ฉันบอกนายแล้วเห็นมั้ยว่าอย่าขยับ!..." ว่าแล้วฉันก็ค่อยๆ ประคองร่างใหญ่ให้นอนลงไปที่เดิม"ฉันไม่กลับแล้วก็ได้... ฉันขอโทษความจริงฉันไม่น่ายั่วให้นายโกรธเลย...เจ็บมากมั้ย?""เจ็บมาก..." เจ้าตัวพูดว่าเจ็บแถมยังเบะปาก จนฉันอยากจะขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้าตาของเขา"สามวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ทำฉันคิดถึงเธอมาก...จูบหน้าผากฉันหน่อยได้ไหม?"ตองเก้ากำลังอ้อนฉันด้วยการใช้คำพูดหวานๆ และมันก็ทำให้ฉันใจอ่อนกับเขาอีกตามเคย"แค่หน้าผากเองเหรอ?" ฉันถามขณะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากตามที่เขาร้องขอ จากนั้นจึงถามเขาต่อว่า"พอไหม?" แต่ฉันไม่ได้รอคำตอบอะไร เพราะฉันค่อยๆ จูบไล่จากหน้าผากลงมาจนถึงริมฝีปากของเขา แต่จูบแค่เพียงเบาๆ"เอาอีก..."เห็นไหมละ...ว่าพอเจ้าตัวได้คืบก็จะเอาศอก ฉันจึงได้บอกเขาออกไปว่า..."พอก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะถามนาย.." ฉันว่าพลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม"เรื่องอะไร?"“แหวนของนะโม อยู่กับแม่นายใช่ไหม ฉันอยากขอเอาไปคืนให้เขา”“อยู่ที่เอวา เอวาอาสาว่าจะเ
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องพิเศษของตองเก้าพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปมองหน้าของนะโมเพื่อขอกำลังใจนะโมพยักหน้าให้พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเชิงต้องการขออนุญาตคนที่อยู่ด้านใน แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เมื่อคนที่อยู่ด้านในกลับเป็นฝ่ายเปิดออกให้เอง“อันนา!...อันนามาแล้วค่ะแม่”เอวาร้องลั่นราวกับดีใจนักหนาเมื่อเห็นว่าเป็นฉัน ก่อนหันไปบอกคนเป็นมารดาที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับบิดาของเธอเรายกมือขึ้นไหว้พวกท่านพร้อมกัน และเมื่อเห็นว่าท่านรับไหว้ฉันกับนะโมจึงเดินตามหลังเอวาไปนั่งด้วยกันที่โซฟา แต่ทว่า..อยู่คนละฝั่ง และฉันเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ตรงกลางทุกคนในครอบครัวของตองเก้ารู้เรื่องราวของนะโมทุกอย่าง โดยผ่านการบอกเล่าจากฉันเมื่อสามวันที่ผ่านมา"เราใช่ไหมที่มีชื่อว่านะโม?..."แม่ของเอวาเลื่อนสายมาที่นะโมตอนถาม เพราะเมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเราอยู่โรงพยาบาล พวกท่านยังไม่ทันได้สังเกตใคร นอกฉันกับคนเป็นลูกชายของท่านเท่านั้น"ครับ.." นะโมตอบกลับสั้นๆ พอได้ยินอย่างนั้นท่านจึงได้พูดกับเขาในประโยคต่อไปอีกว่า"ครอบครัวของเราขอขอบใจเธอมากนะ ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของเราไว้ แล้วยังพาเขามา
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน จากชั่วโมงหนึ่งกลายเป็นสองสามสี่ และในชั่วโมงที่ห้านั่นเองที่ฉันได้เห็นร่างของหมอใหญ่เปิดประตูออกมา แล้วบอกกับพวกเราทุกคนว่า“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”ทุกคนเฮโลลั่นโรงพยาบาลประสานเสียงกัน จนถูกคุณหมอดุเข้าให้นั่นแหละถึงได้พากันเบาเสียงลงฉันเห็นคนเป็นพี่ชายพลอยดีใจร่วมไปกับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของทั้งสองคน มันยังคงไม่จืดจางฉันคิดว่าอย่างนั้นพี่อุนเดินมาโอบไหล่ฉันเชิงให้กำลังใจ ขณะเดียวกันก็ดึงฉันเข้าไปกอด ก่อนจะผละออกมาพูดว่า“แกกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ดูเสื้อผ้าของแกมีแต่เลือดอยู่เต็มไปหมด หมอบอกว่าไอ้เก้ามันพ้นขีดอันตรายแล้ว เราแค่รอให้มันฟื้นหมอถึงจะอนุญาตให้เราเข้าเยี่ยมมันได้"หลังจากที่พี่ชายบอกฉัน หลินซีก็เข้ามาพูดในทำนองเดียวกัน“ฉันก็คิดแบบพี่อุลนะ แกกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถอะ มอมแมมเป็นลูกหมาเลย”ฉันรับฟัง แต่ยังไม่ขยับไปไหน เนื่องจากฉันกำลังสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครบางคน“หลิน... นะโมละเขาไปไหน แกเห็นเขาไหม?” ฉันเอ่ยถามเอากับเพื่อนสนิทเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้ดี“นะโมกลับไปเอารถที่ห้าง
เราสองคนช่วยกันพยุงตองเก้าให้นอนราบไปกับพื้นรถทางด้านหลัง และนะโมยังจับดูชีพจรของตองเก้าอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยที่เราสองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยนะโมเปิดกระเป๋าร่วมยาแล้วล้วงเอาผ้าก๊อต มาปิดปากแผลให้ตองเก้าที่ด้านหน้า จากนั้นเราจึงช่วยกันพลิกร่างหนาเพื่อทำแผลให้เขาที่ด้านหลังเจ้าตัวทำหน้าแหยทุกครั้งนั่นแหละแต่ทว่ากลับไม่มีเสียงร้อง ผิดกับฉันที่มีน้ำตาไหลนองออกมา โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดไหลได้สักทีเมื่อปฐมพยายาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บเสร็จสรรพ ฉันจึงแจ้งทางศูนย์กลับไปว่า เราได้นำตองเก้าขึ้นรถกู้ชีพของเขาไปส่งโรงพยาบาลให้เอง โดยสั่งการให้ศูนย์ช่วยประสานกับทางโรงพยาบาลว่าให้เตรียมทุกอย่างไว้รอพอได้ยินเสียงฉัน พี่อุลจึงขึ้นความถี่เรียกขาน ทั้งอย่างนั้นเวลานี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันฉันไม่แคร์ เพราะฉันสนแค่คนที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันในตอนนี้เท่านั้นเองนะโมให้ฉันเอาผ้าสะอาดที่มีในกระเป๋า กดทับบาดแผลของตองเก้าเอาไว้อีกชั้น เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลออกมามาก จากนั้นเขาจึงใช้ผ้าด้ายดิบผืนใหญ่ที่มีไว้สำหรับห่อคนตาย แต่มันยังไม่ผ่านไช้งาน มาห่มให้ตองเก้าเพราะเราไ
ปัง!...ปัง !เสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดกัน ฉันถูกเกี่ยวเอวแล้วล้มลงไป พร้อมกับมีร่างใหญ่ของอีกคนทับฉันไว้ที่ด้านบนมีอะไรเกิดขึ้นกับเราทั้งสองคนงั้นเหรอ? “อันนา...เธอ...ปลอดภัยใช่ไหม?”ตองเก้าผงกหัวขึ้นมาถามฉันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งที่เขายังทับร่างของฉันอยู่ ถึงฉันจะจุกจนพูดไม่ออกแต่ก็พยายามเปล่งเสียงบอกเขากลับไปว่า“ฉันไม่เป็นไร..”พอได้ยินอย่างนั้นตองเก้าจึงใช้แขนยันตัวเองขึ้น ก่อนพลิกร่างใหญ่ออกไปนอนแผ่หลา ขณะที่ทำสีหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดจากอะไรสักอย่าง และฉันก็ได้เห็นเลือดที่ติดอยู่กลางลำตัวของเขาซึ่งเราทั้งสองคนเหมือนกันเพียงแต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บเท่านั้นเองเสียงปืนที่ดังขึ้นติดกันสองนัดเมื้อกี้ มีเราสองคนที่เป็นเป้าหมาย...ใช่ไหม? รึยังไง?“ตองเก้า!...นายถูกยิง!” ฉันอุทานเสียงดังอย่างรู้สึกตกใจ ก่อนช้อนแขนเข้าไปประคองศรีษะของเขาขึ้นมาวางไว้บนตักของฉัน จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือลูบไปทั่วใบหน้าขณะเดียวกันก็ตบแก้มเขาเบาๆ เชิงต้องการให้เขามีสติ“นายต้องไม่เป็นอะไร อดทนไว้นะตองเก้า...ฮื่อๆ ”ฉันร้องไห้ก่อนวางมือบางบนหลังมือใหญ่ ที่เขาใช้กดทับบาดแผลของตัวเองเอาไว้ทั้งสองข้าง ทั้งอย่างนั้นมัน
เราสองคนคุยกันถึงเรื่องทั่วไปมากมาย จนมาถึงเรื่องที่ฉันตั้งใจจะถามเขา...“อีกเดือนกว่าๆ มหาลัยของฉันก็จะปิดเทอมแล้วนะ ฉันอยากไปเที่ยวหานายที่อเมริกาบ้างน่ะ แล้วถ้าฉันไปนายพอจะมีเวลาว่างพาฉันเที่ยวที่นั่นบ้างได้ไหม?""ได้อยู่แล้วสิ...ไม่เห็นต้องทำหน้าเกรงใจแบบนั้นเลยนี่""ก็เราปิดเทอมไม่ตรงกัน ถึงตอนนั้นนายก็คงจะเรียนหนักมาก..งั้นฉันเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วดีกว่า ”"เวลาของฉันทั้งหมดเป็นของเธอ...อันนา""..!!!.."ฉันเบิกตากว้างพร้อมกับอ้าปากค้าง เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเพราะตั้งแต่นะโมเปิดเผยความรู้สึกที่มีให้ฉัน คำพูดของเขาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปพอๆ กับสายตาแต่เชื่อไหมละว่า...คำพูดคำจาและสายตา ที่มองฉันมาอย่างลึกซึ้งของอีกฝ่าย กลับไม่เคยทำให้หัวใจของฉันหวั่นไหว ซึ่งไม่เหมือนกับคำพูดและสายตาของใครบางคน ทั้งที่คำพูดเหล่านั้นมันไม่ใช่ของจริง“ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะแก้แค้น แต่เมื่อได้ใกล้ชิดเธอทีไรมันกลับทำให้ฉันลืมทุกอย่าง ลืมกระทั่งสิ่งที่ตั้งใจจะทำกับเธอ แล้วเผลอใจไปรักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อันนา...เธอช่วยให้โอกาสฉันได้แก้ตัวใหม่กับเธออีกครั้งได้ไหม? ”ตอนนี้คำพูดของตอ
“มึงคิดว่าน้องกูยังอยากจะคุยกับมึงอยู่อีกรึไง...มึงรีบกลับบ้านของมึงไปซะ ก่อนที่กูจะทนเห็นหน้ามึงไม่ได้”ไอ้อุลมันว่าผมเสียงเข้มและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ทว่าผมก็คงโกรธมันไม่ได้อยู่ดี“กูยอมรับว่ากูรักอันนา และไม่ได้คิดกับน้องของมึงอย่างที่กูได้พูดออกไป เป็นเพราะกูเข้าใจมึงผิด กูขอโทษ” ผมอยากให้มันหายโกรธจึงยอมลดตัวขอโทษมันก่อน และไอ้อุลมันก็ได้ย้อนผมกลับมาในเวลาเดียวกัน“กูไม่รับ! มึงรีบกลับบ้านไปเลยไป๊ บอกเอวาด้วยว่าไม่ต้องเสียเวลาโทรมาหากูอีก เพราะถึงยังไงกูก็ไม่ยกโทษให้พวกมึงทั้งคู่ ต่างคนต่างอยู่มึงกับกูไม่เคยรู้จักกัน รวมถึงอันนาน้องกูนั่นก็ด้วย”“มึงจะโกรธเกลียดกูกูไม่ว่า แต่กูอยากเจออันนาก่อน” “ตอนนี้น้องกูไม่อยู่! มึงฟังกูพูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ!” ไอ้อุลตะเบงเสียงดังใส่ แต่ผมไม่สนใจจะฟัง และยังคงถามมันกลับไปอย่างใจเย็น“แล้วอันนาไปไหน?”เพราะคิดว่าไอ้อุลมันกำลังกันท่า อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าที่มันบอกผมออกมานั่นจะจริงแท้สักแค่ไหน มันเกลียดผมเข้าไส้มันจึงพยายามกันผมออกไปให้พ้นจากน้องสาวของมันเท่านั้นที่ผมเข้าใจ“ในเมื่อมึงอยากจะรู้มากนักเป็นงั้นกูบอกมึงก็ได้ ว่าอันนาไปดูหนังกับผ