บ้านลุงปกรณ์
"ลุงกรณ์คะ คุณปู่บอกว่าศิลาจะไปต่างประเทศแล้วค่ะ" เสียงใส ๆ ของเด็กเอ่ยกับคุณลุงใจดีที่เธออาศัยอยู่ด้วย
"อืม... หนูอยากไปเจอเขามั้ย" ลุงปกรณ์ถามคนตัวเล็กยิ้ม ๆ
"ไปไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวศิลาเห็นเอาไว้ศิลากลับมาค่อยไปรับนะคะ" เด็กสาวว่าเสียงใสเพราะเธอเข้าใจว่าไปฝึกงานต่างประเทศแค่เทอมเดียวแล้วกลับมาเรียนต่อจนจบ เธอเลยกะว่าตอนนั้นเธอจะไปเซอร์ไพรส์ชายหนุ่มที่บ้านคุณป้าเอง
"อืม... เอางั้นก็ได้แล้วนี่หนูเปิดเทอมเมื่อไหร่นะลูก"
"วันจันทร์หน้าค่ะ คุณป้าบอกว่าวันเสาร์จะพาไปดูหอแล้วเตรียมซื้อของเข้าไป งือ... หนูต้องคิดถึงลุงกรณ์กับดุ๊กดิ๊กแน่ ๆ เลยค่ะ" เสียงเล็กตอบพลางทำหน้าอ้อน ๆ อย่างเอ็นดู
"นั่นสิ ลุงก็คงคิดถึงหนูเหมือนกันลูก เอาไงดีเราจะได้ไม่คิดถึงกัน" ลุงกรณ์ทำท่าปรึกษาหน้ายิ้ม ๆ เพราะคุยกับคุณปู่ของเด็กไว้ว่าอยากให้เด็กสาวอยู่บ้านที่นี่ด้วยเพราะไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ไปรับส่งได้และของขวัญเองก็เป็นเด็กกลัวฟ้าร้องคุณปู่เลยไม่อยากให้ไปอยู่หอพักให้ลำบากคนอื่น
"งั้น เดี๋ยวน้องขวัญขอคุณปู่อยู่กับลุงกรณ์ที่นี่ได้มั้ยคะ ใกล้โรงเรียนแล้วก็มีเพื่อนด้วยแล้วได้ไปเล่นกับน้ำหวานด้วย" เด็กสาวว่าอย่างยิ้มแย้มเธอก็อยากอยู่ที่นี่ เพราะมีเพื่อนมีหมาตัวเล็กที่ลุงกรณ์เก็บมาให้อยู่เป็นเพื่อน ได้ไปเล่นกับเด็กบ้านข้าง ๆ ที่บ้านเธอขายพวงมาลัยในตอนเย็นที่ชื่อน้ำหวานซึ่งเป็นเด็กรุ่นเดียวกันกับเธอ เธอก็สอนภาษาอังกฤษให้เพื่อนใหม่และเพื่อนใหม่ก็สอนภาษาไทยให้เธอ
"เอางั้นเหรอ อย่าพูดให้ลุงกรณ์ดีใจนะ" คุณลุงใจดีว่ายิ้ม ๆ
"จริง! น้องขวัญจะอยู่เป็นหลานลุงกรณ์ให้ลุงกรณ์เบื่อไปเลยดีมั้ยคะ" เด็กสาวว่าขำ ๆ
"ใครจะเบื่อหนูคิตตี้ของลุงกัน อยู่กับลุง ลุงจะได้มีเพื่อนแล้ววันไหนอยากไปนอนบ้านคุณปู่ลุงก็ไปส่งไงลูก ดีมั้ย"
"ดีค่ะ แต่ถ้าศิลาไปต่างประเทศแล้วน้องขวัญอยากไปเอาแท็ปเล็ตจังเลยค่ะ มือถือที่คุณป้าซื้อให้มันใช้ไม่ค่อยถนัดเลย จอมันเล็กมองหน้าหม่ามี้ไม่ชัดเลยค่ะ" เด็กสาวว่ายิ้ม ๆ เพราะที่ต่างประเทศเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้มือถือ หม่ามี้เลยซื้อแท็ปเล็ตไว้ให้ทำการบ้านและหาข้อมูลต่าง ๆ แค่นั้น
"โอ... นี่จอใหญ่ที่สุดแล้วนะ (ว่าพร้อมกับหยิบมือถือเครื่องหรูราคาเกินครึ่งแสนของเด็กสาวที่คุณป้าเธอซื้อให้มาดู) หนูจะได้เอาไปโรงเรียนได้ไงลูก เลิกเรียนก็โทรให้ลุงไปรับไงแล้วเนี่ย...วัยรุ่นเขาใช้กัน" ลุงกรณ์ว่ายิ้ม ๆ ชีวิตที่อยู่ไปวัน ๆ ก่อนหน้านั้นกลับมามีความสุขอีกครั้ง หลังจากที่มีเด็กคนนี้เข้ามาในบ้าน เจ้าตัวเล็กช่างเจรจาถึงภาษาไทยจะไม่ค่อยคล่องแต่ก็พยายามคุย พยายามถาม ว่าง ๆ ก็ขอให้สอนอ่านเขียนภาษาไทยซึ่งเหมือนความสุขที่ขาดหายได้รับการเติมเต็มจากเด็กสาว
..........//..........
บ้านเศรษฐทรัพย์ไพศาล
"พรุ่งนี้จะเดินทางแล้วสิ" คุณปู่พูดขึ้นเนิบ ๆ กลางโต๊ะอาหารเย็นก่อนวันเดินทาง "ครับ"
"อืม... ถ้าไม่ไปไหนตามไปคุยกับปู่ที่ห้องทำงานซักเดี๋ยว" คุณปู่ว่าพลางลุกออกจากโต๊ะอาหารเย็นเดินเข้าห้องทำงาน ศิลาหันมามองหน้าพ่อกับแม่ ซึ่งท่านทั้ง 2 ต่างพยักหน้าให้ ชายหนุ่มเลยจำต้องลุกขึ้นเดินตามคุณปู่เข้าไปที่ห้องทำงานของท่านโดยมีพ่อกับแม่ตามเข้าไปสมทบ
"มานั่งนี่สิ" คุณปู่เอ่ยเรียกชายหนุ่มให้ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานแล้วเลื่อนซองเอกสารสีน้ำตาลเก่า ๆ ไปตรงหน้าชายหนุ่ม "เปิดสิ"
ศิลาเปิดซองเอกสารออกอย่างระวังแล้วดึงกระดาษสีน้ำตาลที่ระบุวันที่ย้อนหลังไปกว่า 40 ปีออกมาอ่านอย่างละเอียดโดยที่มีคุณปู่นั่งมองหน้าหลานชายอยู่เงียบ ๆ
"อย่าบอกนะว่านี่เป็นสัญญาสลักหลังที่พี่ชายอาเนมหาอยู่" ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นถามอย่างตกใจ
"อืม..." คุณปู่พยักหน้าเนิบ ๆ มองหน้าหลานชาย
"มันมี 2 ฉบับหรือครับ"
"มีฉบับเดียวนี่แหละ..." ตอบหลานชายพร้อมกับเริ่มเล่าที่มาของสัญญาให้หลานฟัง
"ปู่กับปู่อาจเป็นเพื่อนร่วมสาบานกันมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กวัดด้วยกัน เราช่วยกันทำงานเก็บหอมรอมริบจนได้เงินมาก้อนเลยไปลงทุนซื้อที่แล้วทำนากัน ปีแรกได้ข้าวดีเศรษฐีเลยมาขอซื้อนาแล้วให้ปูอาจสอนทำนาเขาได้ข้าวงามเขาก็ให้ปู่กับปู่อาจหาทำเลที่นาให้ช่วงนั้นกำไรดีมากใครก็คิดว่าเราดูที่นาเป็นก็ให้ปู่กับปู่อาจหาที่นาให้แล้วปู่อาจก็สอนวิธีทำนาให้ได้ข้าวงามด้วย เราก็ทำมาเรื่อย ๆ แล้วพอฝรั่งเข้ามาทำบ้านจัดสรรค์ขาย ปู่อาจเห็นว่าเราพอมีเงินมีที่ในเมืองเราก็เลยแบ่งที่เป็นแปลง ๆ ทำบ้านขายเหมือนฝรั่งจ้างคนด้วยทำเองด้วย ปู่อาจเขาเป็นคนขยันมากทำงานทั้งกลางวันกลางคืนเชียว จนเรามีเงินเก็บร่วมกันสมัยนั้นสิบล้านนี่ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ เราเลยตั้งบริษัทร่วมกันด้วยเงินก้อนนั้น ก็ไม่รู้ว่าเงินใครเท่าไหร่เราเลยทำสัญญานี้ด้วยกันก่อนที่จะมีพ่อแกกับอาเนมซะอีก" คุณปู่เล่าให้หลานชายฟังเสียงเนิบมองหน้าชายหนุ่มอย่างพิจารณา
"แต่ในสัญญานี้ต้องให้ 2 ตระกูลเกี่ยวดองกันนี่ครับหุ้นใหญ่ถึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมายแต่พ่อกับอาเนมเป็นผู้ชายทำไมไม่แบ่งกันไปคนละครึ่งล่ะครับ" หลานชายถามอย่างไม่เข้าใจ
"เพราะความตั้งใจของปู่อาจไม่ใช่แบบนั้นไงล่ะ จริง ๆ บริษัทนี้ตั้งขึ้นเพราะความคิดของปู่อาจไม่ใช่ปู่ ปู่เป็นคนไม่ได้เรื่องหรอกนะ ดูที่ก็ไม่เป็น ทำนาก็ไม่เป็นปู่อาจต้องคอยสอนให้ปู่ทำตาม ปู่อาจเป็นคนที่ถนัดลงมือแต่พูดไม่เก่ง แต่ปู่จะเป็นคนที่ลงมือไม่ค่อยเป็นแต่จะสังเกตสิ่งที่ปู่อาจทำแล้วอธิบายเป็นคำพูดได้ แล้วที่ปู่อาจเสนอให้ทำสัญญานี้ขึ้นเพราะเขาเคยให้คำมั่นว่าเขาจะไม่ทิ้งปู่ถึงแม้ว่าวันนึงบริษัทไปได้ดีแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ทิ้งปู่ไปทำให้ปู่ต้องดูแลบริหารรอเจ้าของที่แท้จริงตายไม่ได้อยู่นี่ไง"
"อ้าว..." หลานชายร้องอ้าวขึ้นทันที
"ศิลาฟังปู่นะ (คุณปู่มองหน้าหลานชายอย่างตัดสินใจ) ตอนนี้อาเนมล้มละลายทรัพย์สินต่าง ๆ ของไกรสิทธิรักษ์ ที่ไทยถูกถ่ายโอนเปลี่ยนมือไปหมด รวมถึงที่ต่างประเทศไอ้โตมรมันก็ปลอมแปลงเอกสารขายหมดแม้กระทั่งบ้านที่อาเนมอยู่ทุกวันนี้ บริษัทของอาเนมมันก็จ้างล็อบบี้จนโดนฟ้องล้มละลาย แม่กับพ่อของเรากำลังส่งทนายไปช่วยอาทางนั้นก่อนที่จะโดนศาลสั่ง"
"แล้วมันทำแบบนั้นทำไมครับ ทรัพย์สินของปู่อาจก็เป็นพันล้านนี่ครับ?"
"ใช่ เคยมีเป็นพันล้านที่ตอนนี้ใกล้หมดแล้วจากความโง่ของโตมรกับแม่มัน แต่สัญญาฉบับนี้ตอนนี้มันมีค่าเกินกว่าหมื่นล้าน เพราะมันคือ เคเอส กรุ๊ป ทั้งหมด" ท่านภูษิตบอกลูกชายสีหน้าจริงจัง
"แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับในเมื่อสัญญามันไม่สมบูรณ์" หลานชายเอ่ยถามงงๆ
"มันจะสมบูรณ์ถ้าหากครอบครัวฝั่งใดฝั่งหนึ่งแต่งงานกับตระกูลอื่นหุ้นทั้งหมดจะถูกถ่ายโอนไปให้อีกตระกูลทันที สัญญานี้มันสิ้นสุดแค่ที่ปู่กับปู่อาจตาย แล้วถ้าโตมรมันถือสัญญานี้ไว้แกแต่งงานเมื่อไหร่ เคเอส กรุ๊ป จะตกเป็นของ ไกรสิทธิรักษ์ ทันทีแล้วแน่นอนว่าไอ้โตมรมันต้องทำทุกทางให้อาเนมหมดสิทธิ์ในหุ้นนี้เหมือนที่มันกับแม่เคยทำ แล้วปู่จะบอกให้แกหายโง่อีกอย่างว่าที่ยายหนูแมรี่นั่นมาคบกับแกก็เพื่อให้แกพลาดแต่งงานกับคนตระกูลอื่น มันเป็นแผนของไอ้โตมรกับแม่ของมัน " คุณปู่พูดอย่างจริงจัง
"แล้วถ้าผมไม่แต่งกับใครล่ะครับ"
"ปู่จะเชื่อแกได้ซักแค่ไหนกัน ปู่ไม่อยากให้สิ่งที่ปู่กับปู่อาจร่วมสร้างกันมาต้องตกเป็นของคนชั่วอย่างโตมรกับแม่ของมันหรอกนะ" คุณปู่พูดขึ้นเนิบ ๆ
"เพราะแบบนี้หรือเปล่าครับคุณพ่อกับอาเนมถึงได้สร้างบริษัทตัวเองขึ้นมาด้วย" ชายหนุ่มว่าอย่างกระจ่าง
"อืม... เพราะพ่อเรากับอาเนมรู้ถึงข้อตกลงในสัญญาและยอมรับสัญญานี้ถึงได้สร้างเนื้อสร้างตัวของตัวเอง ก็ไม่ได้มั่นใจกับรุ่นแกนักหรอกเพราะแกกับของขวัญห่างกันมากแล้วอีกอย่าง เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้"
"อาเนมล้มละลาย... สาเหตุนี้หรือเปล่าที่ของขวัญได้มาเรียนที่ไทย" ชายหนุ่มกล่าวถึงเด็กสาวอย่างรู้สึกผิด
"อืม...แต่แกไม่ต้องคิดว่าน้องขวัญจะมาเป็นภาระแม่แกหรอกนะอาเนมมีเงินก้อนสุดท้ายที่อยู่ในบัญชีเป็นชื่อน้องพอจะให้เรียนได้จนจบ ป.ตรี นั่นแหละ ถึงตอนนั้นเนมมันคงสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้แล้วล่ะ" คุณปู่ว่า
"แล้วของขวัญรู้ถึงสัญญานี้มั้ยครับ?"
"ไม่หรอก ของขวัญยังเด็กมากแต่อาจจะรู้เรื่องสภาพครอบครัวตอนนี้ว่าขัดสนขึ้น แค่นั้น"
"ถ้าสัญญานี้มันมีค่าถึงหมื่นล้านจริง แล้วบริษัทนี้ก็เป็นของปู่อาจครึ่งหนึ่งมันต้องช่วยอาเนมได้สิครับปู่เพราะสัญญาข้อสุดท้ายบอกว่าถ้าตระกูลใดตระกูลหนึ่งตกระกำลำบากอีกแล้วอีกฝั่งยอมให้คำมั่นว่าจะเกี่ยวดองด้วย จะสามารถใช้สัญญานี้ค้ำประกันได้ทั้งหมด" ชายหนุ่มเอ่ยถึงข้อสุดท้ายของสัญญา
"ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับแกจะตัดสินใจแล้วศิลา"
หลังจากที่ทั้ง 2 ตกลงที่จะแต่งงานกันโดยความคิดของของขวัญนั้นอยากจัดงานเล็ก ๆ ในครอบครัวหลังจากที่เรียนจบ ป.โท (เน้นประหยัด) และจะมีลูกหลังจากนั้น แต่...ทางด้านท่านประธานศิลานั้นค้านหัวชนฝา หน้าชนกำแพงอย่างหนัก เพราะเขาต้องการจัดการงานใหญ่พร้อมกับงานเปิดตัวท่านประธานสาขาใหญ่ที่กรุงเทพในต้นปีหน้า (ซึ่งก็อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่แหละ) และมีลูกเลย ^o^"งั้นศิลาก็หาเมียใหม่ไปเลยค่ะ น้องขวัญไม่ได้รีบ" คนตัวเล็กกอดอกพูดขึ้นหน้าบึ้ง ๆ"แต่พี่รีบพี่แก่แล้วนะอย่าลืมสิ เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้กันพอดี" คนเริ่มแก่ค้านทันที"31 เรียกว่าแก่แล้วคุณปู่เรียกว่าอะไรคะ" หญิงสาวเถียงอย่างไม่ยอม"เรียกว่ามีอายุครับ แต่ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันก่อน พี่ไม่ให้เปี๊ยกฉีดยาอีกแล้วนะ มันอันตรายเกิดมดลูกฝ่อไปนี่สูญพันธุ์ได้เลยนะ" คนอยากแต่งงานหาข้ออ้างร้อยแปดให้ผู้ใหญ่สงสาร"งั้นศิลาก็ป้องกันสิคะ น้องขวัญไม่ชอบกินยาแล้วยังไม่พร้อมมีลูกตอนนี้ค่ะ""โอเค งั้นพี่ป้องกันเองแต่เราต้องแต่งงานกันก่อน ไม่รอจบโท" คนเอาแต่ใจยังยืนยันความต้องการของตัวเอง"งั้นก็เ
"ทนทานขนาดนั้นเลย?" เสียงอู้อี้ถามคล้ายประชดดังเบา ๆ ที่ซอกคอ"ไม่ได้เรียกว่าทนทาน เขาเรียกว่าซื่อสัตย์ ก่อนมาจากไทยพี่มีเมียแล้ว" ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วก้มลงสบตากับคนตัวเล็กที่ดีดตัวออกห่างมองชายหนุ่มตาโตทันที"ฮะ!" *ซวยแล้วยัยของขวัญนรกกินกบาล นายทวารเขียนชื่อลงกระดูกหมาแน่ แอบกินผัวชาวบ้านจริง ๆ หรือวะเนี่ย ..>~<*"ครับ พี่มีเมียแล้ว อันนั้นเรื่องจริง" จบคำกำปั้นน้อย ๆ ทุบรัวลงที่อกแกร่งพร้อมกับน้ำตาเม็ดโต ๆ ไหลอาบแก้มเนียนของคนตัวเล็กทันที"คนบ้า... ทำไมทำแบบนี้ ทำไมถึงนอกใจภรรยาตัวเอง ออกไปจากบ้านน้องขวัญนะ ออกไปเลย" เสียงโวยวายปนสะอื้นพร้อมกับพยายามดิ้นลงจากตัก ชายหนุ่มกระชับแขนไว้แน่นขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ มองหน้าคนขี้โวยวายอย่างใจเย็น *นั่นไง คิดเองเก่งจริง ๆ ยัยเปี๊ยกเอ๊ย! ...* ชายหนุ่มคิดในใจขำ ๆ"นี่ไงไม่ฟังให้จบ คิดเองเก่ง สรุปเก่งนะเราเนี่ย หื้ม ~" ว่าแล้วก้มลงจรดหน้าผากตัวเองกับหน้าผากมนแล้วส่ายเบา ๆ อย่างหยอกล้อ"ไม่ฟัง! ออก.." "เมียพี่ชื่อคิดถึงเสมอ" ชายหนุ่มเอ่ยสวนประโยคขับไล่ของคนตัวเล็ก "ตอนนั้นเธอเป็นเด็กอายุแค่ 13
ก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้คนที่อยู่ในห้องถึงขั้นลนลานมองหาทางหนีทีไล่ขึ้นมาทันที ก๊อกแก๊ก! เสียงไขกุญแจด้านนอกทำให้คนในห้องยิ่งกลัว *หลบไหนได้วะเนี่ย...* คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ตัดสินใจกระโดดขึ้นเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมจนมิดหัวแล้วหลับตาปี๋เหมือนกำลังหลับจริง ๆ แก่ก! กรึ่บ! เสียงเปิดประตูเข้ามาตามด้วยเสียงปิดประตูลงกลอนพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่พยายามลงเท้าให้เบาที่สุดเดินตรงมาที่เตียงเล็กของหญิงสาว ของขวัญหลับตาแน่นพร้อมกับกลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึกจนเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมที่ไรผมและปลายจมูก ฝ่ามือชื้นด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องค่อนข้างเย็นศิลาค่อย ๆ นั่งลงที่เตียงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับดึงผ้าห่มผืนหนาออกจากหัวของคนที่กำลัง (ทำท่า) หลับ มือหนาลูบหัวทุยอย่างเบามือแล้วก้มจูบที่ไรผมชื้นเหงื่อเบา ๆ อย่างแสนคิดถึง"หึ! รู้นะว่าไม่หลับ" คนตัวโตก้มลงพูดชิดแก้มอย่างรู้ทันเมื่อเห็นขนตายาวงอนกระพริบถี่ ๆ เหมือนเด็กที่กำลังแกล้งหลับหนีความผิด"ลืมตามาคุยกันก่อน พี่รู้ว่าเปี๊ยกเป็นอะไร" ชายหนุ่มพยายามพูดอย่างใจเย็น "......""หนีทำไม ทำไมไม่ร
"เอ็ดเวิร์ด!" "ครับบอส" เอ็ดเวิร์ดเปิดประตูเข้ามาทันทีเหมือนรอเรียก"สั่งพักงาน 2 คนนี้ 2 เดือน โทษฐานที่เผยแพร่ข่าวเท็จในบริษัท ถ้ามีข่าวแบบนี้ออกไปอีกให้ไล่ออกไปเลย" เอ่ยสั่งเลขาเสียงห้วนแล้วหันมามอง 2 สาวที่นั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา "แต่ถ้าพวกคุณจะลาออกผมก็ไม่ขัด ผมจะไม่เขียนรายงานพฤติกรรมพวกคุณในใบเวิร์คละกัน...ออกไปได้" เอ่ยจบพร้อมสั่งแล้วหันมามองแผนกการตลาดระหว่างประเทศที่ยืนก้มหน้าเงียบอยู่ด้านหลังโซฟา"ผมจ้างพวกคุณมาทำอะไร"ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นเสียงห้วน พร้อมกับกัดปากล่างแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ที่สุด"กูถามเอง มึงพักก่อน" มาร์คพูดด้วยภาษาไทยให้ได้ยินด้วยกันแค่ 2 คนพร้อมกับรั้งแขนเพื่อนให้นั่งลงที่เก้าอี้แล้วกดบ่าไว้เบา ๆ เมื่อเห็นสภาพเพื่อนที่ตอนนี้กำมือแน่นน้ำตาเริ่มคลอหน่วย และอาจควบคุมอารมณ์ไม่ได้เหมือนครั้งที่ชายหนุ่มพุ่งจะทำร้ายแมรี่เมื่อตอนที่ของขวัญหายไป ตอนนั้นรั้งกัน 3 คนแทบไม่ไหวเพราะศิลาเป็นคนตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มและออกกำลังกายเป็นประจำ แล้วตอนนี้เขาแค่คนเดียวย่อมทานกำลังศิลาไม่ได้แน่นอน"อือ... มึงจัดการไปเลยไม่งั้นกูจะยุบแผนกนี้ซะ" ชายหน
ห้องทำงานของท่านประธาน เคเอส กรุ๊ป สาขาอังกฤษศิลานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้ใหญ่หลังโต๊ะทำงานตั้งแต่กลับมาจากทานข้าวกับแม่และเพื่อน ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่ประโยคเดียวพร้อมทั้งสั่งยกเลิกประชุมแก้ไขงานภาคบ่ายและเลื่อนนัดลูกค้าทั้งหมดอย่างไม่มีกำหนด จนเพื่อนชายถึงกับอ้าปากเหวอเมื่อทราบถึงคำสั่งดังกล่าว แต่ก็เข้าใจดีถึงสภาพจิตใจเขาตอนนี้...~~~~~~~~มือหนาเปิดลิ้นชักโต๊ะกลางหยิบกล่องเหล็กใบเล็กเก่า ๆ ที่ผูกริบบิ้นเป็นโบสีชมพูออกมาเปิดพร้อมทั้งหยิบสร้อยเส้นเล็กที่เขาตั้งใจจะคืนให้เธอในวันนี้ขึ้นมาดูด้วยสายตาเศร้าหมอง น้ำตาเอ่อซึมที่หางตา จนต้องเก็บสร้อยเข้ากล่องแล้วเก็บลงไว้ที่เดิมก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องด้านหลังตู้โชว์ปิดลงกลอนและขังตัวเองอยู่ในนั้นเงียบ ๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปอันเล็กที่วางอยู่ข้างหัวเตียงมานั่งมองนิ้วเรียวเขี่ยตรงรูปก้อนผ้าขนหนูสีชมพูเบา ๆ พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยนปนเศร้าแบบที่ไม่เคยมองใครมาก่อน"ศิ กูรู้แล้วนะน้องไปไหน" เสียงมาร์คร้องบอกอยู่หน้าประตูทำให้ชายหนุ่มรีบแหงนหน้ากระพริบตา
ครืด....ครืด....เสียงมือถือของน้ำหวานดังขึ้นทำให้เธอจำเป็นต้องล้วงออกมาดูแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนอย่างปรึกษา ของขวัญเม้มปากส่ายหน้าเบา ๆ เพราะตอนนี้เธอไม่พร้อมรับรู้ข่าวสารอะไรทั้งสิ้น น้ำหวานตัดสินใจโยนมือถือเครื่องเล็กของตัวเองไว้ที่โซฟาแล้วหันหลังให้เตรียมจะเดินออกจากห้องอีกรอบครืด...ครืด...เสียงมือถือของของขวัญดังขึ้นจากกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ ซึ่งทั้ง 2 มองหน้ากันของขวัญล้วงมือถือออกมาดูซึ่งคนที่โทรเข้ามาคือมาร์คเช่นกัน เธอจึงตัดสินใจกดปิดเสียงแล้วโยนไว้ข้างมือถือของเพื่อนแล้วมองหน้าเพื่อนพร้อมกับเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างตัดใจ "ปะ ไปกันเถอะ" ว่าจบก็จูงแขนกันลงลิฟต์ออกจากอพาร์ตเมนต์หาแท็กซี่ตรงไปสนามบินทันที"ทำไมไม่รับสายกันวะ" มาร์คพูดพึมพำมองหน้าจอมือถือของตัวเองอย่างหงุดหงิด"เป็นอะไรลูก น้องไม่รับสายหรือ" คุณหญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนลูกชาย"ครับแม่ สงสัยพากันกินข้าวแล้วปิดเสียงแน่ ๆ เลยครับ เดี๋ยวศิลามันมาถึงก็ค่อยไปรับน้องเลยละกันครับ" มาร์คว่าพร้อมกับกลับมานั่งรอเพื่อนที่โซฟาเดิม"ก็ดี แม่จะได้พูดเองเลย ร
"แล้วถ้ามันไม่จริงล่ะคะ ถ้าคุณปะ...คุณหญิงท่านมาคนเดียว แต่จริง ๆ บอสเขาก็อยู่กับภรรยาเขาอยู่ทุกวัน มันก็เป็นข่าวเท็จนะคะแล้วถ้ามีคนเอาข่าวนี้ไปบอกภรรยาบอสว่าได้ยินมาจากแผนกเรามันจะซวยทั้งแผนกนี่น่ะสิ" น้ำหวานว่าขึ้นพลางเหลือบมองหน้าเพื่อนที่กำลังซีดเผือดอย่างห่วงใย"น้องหวานหมายถึงว่าบอสอยู่กับคุณโรซี่แแล้วน่ะหรือคะ" โอปอล์ว่าอย่างตื่นเต้น (ได้ข่าวใหม่ข่าวใหญ่อีกแล้วชั้น...>.<)"พี่ปอล์คิดว่าแฟนบอสคือคุณโรซี่หรือคะ?" น้ำหวานขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย"ก็บอสไม่เคยเดินกับใครเลยนอกจากคุณโรซี่นะคะ แฟนบอสจะเป็นใครได้ล่ะ แล้ววันนี้นะตอนที่พี่เอาเอกสารไปยื่นก่อนบอสออกไปข้างนอก บอสเซ็ตผมทรงใหม่ หล่อมาก..." โอปอล์ว่าขึ้นพร้อมกับลากเสียงยาวตอนท้ายแล้วทำตาลอยอย่างเพ้อฝัน ก่อนที่น้ำหวานจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะสงสารเพื่อนที่นั่งเงียบตลอดเวลาตั้งแต่เข้ามา แล้วพากันแยกย้ายกันทำงานเมื่อถึงเวลาเข้างานช่วงเช้า 2 สาวนั่งทำงานที่ห้องแผนกการตลาดระหว่างประเทศกันตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือความเงียบของของขวัญที่เพื่อนเธอก็แอบชำเลืองบ่อย ๆ ด้วยความห่วงใยความรู้สึกของหญิงสาว ข่าวเร
ในขณะที่ของขวัญกำลังหลับอยู่ภายในห้องนอนของตัวเองด้วยความเพลีย วันนี้เธอมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้าย ๆ กับไม่สบายหลังจากที่เธอไปฉีดยาคุมกำเนิดมาเมื่อวันก่อน จนตอนเลิกงานเธอจึงชวนน้ำหวานไปหาหมออีกรอบและคำตอบที่ได้คืออาจเป็นผลข้างเคียงมาจากยาที่ได้รับ อาจจะมีอาการแบบนี้ไปอีกซักระยะและอาจทำให้อารมณ์ช่วงนี้ไม่คงที่มากนักเนื่องจากฮอร์โมนกำลังปรับสภาพ และเมื่อกลับมาถึงห้องหญิงสาวเลยขอเพื่อนดื่มแค่นมกล่องเดียวแล้วกินยานอนเลย แต่ต้องสะดุ้งตื่นเอากลางดึกเมื่อรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างมากอดรัดเธออย่างแรงจนรู้สึกอึดอัด"อื้อ ~ เมามาหรือเปล่าคะเนี่ยกลิ่นหึ่งเลย" เสียงอู้อี้ดังจากปากคนหลับพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะตัวเอง"ดื่มมานิดหน่อย คืนนี้พี่นอนนี่นะ" เสียงทุ้มเอ่ยข้างหูพร้อมกับยกมือขึ้นดึงผ้าออกจากหัวคนตัวเล็กห่มให้ถึงคอแล้วหอมแก้มคนหลับเบา ๆ อย่างคิดถึง"อือ…" เสียงครางตอบรับเบา ๆ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างค่อย ๆ สอดตัวเองเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน สอดแขนข้างหนึ่งเข้าใต้คอคนหลับ อีกข้างรั้งเอวบางเข้ามาแนบตัวเบา ๆ แล้วกดจมูกลงที่กลุ่มผมสลวยอย่างชื่นใจ"หัน
"เอ่อ... *จะบอกว่าไปหาหมอก็ไม่ได้อีกสิ บอกว่าไงดีวะ...* (ของขวัญคิดในใจพลางสบตาเพื่อนอย่างขอความช่วยเหลือ) คือว่า..." "พากันไปร้านดอกไม้มาค่ะ ยัยน้องขวัญเอาดอกกุหลาบช่อใหญ่ไปให้ร้านอบแห้งให้แล้วบ่นจนหูหวานชาได้ยินเสียงวิ้ง ๆ จนเลิกงานเราเลยไปหาหมูกระทะมาเยียวยาค่ะแหะ!" น้ำหวานเอ่ยยืดยาวพร้อมกับยิ้มแหย ๆ ช่วยเพื่อนเต็มที่ พวกเธอคุยกันแล้วว่าเรื่องที่เธอไปแอบคุมกำเนิดมาจะให้ชายหนุ่มรู้ไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่มีข้ออ้างในการหลบหลีกแต่คำพูดของน้ำหวานทำเอาเจ้าของช่อดอกไม้ถึงกับยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที พร้อมกับก้มลงจูบที่หน้าผากคนตัวเล็กเบา ๆ อย่างเอ็นดูความน่ารักของเธอ"แล้วทำไมเอริน่าบอกว่าพวกเราไปคุยกับโฮสต์" มาร์คเลิกคิ้วถามคนตัวเล็กในอ้อมกอดเพื่อน *เออ...กอดเข้าไป หอมเข้าไป มึงจะรวมร่างกับน้องกูในลิฟต์เลยมั้ยไอ้ท่านประธาน...* มาร์คคิดในใจอย่างหมั่นไส้เพื่อน"ก็..." ติ๊ง! ลิฟต์ถึงชั้นที่พวกเธอทำงานพอดี "มาร์คมึงปิดเลยขึ้นไปคุยให้รู้เรื่อง" เสียงทุ้มเอ่ยสั่งเพื่อนพร้อมกับกระชับเอวคนตัวเล็กให้แน่นขึ้น"แต่หวานขอลงได้มั้ยคะ หวานต้องไปทำงานค่ะบอส" น้ำหวานเอ่ยขึ้นเสียงเบา