เสียงสวดอภิธรรมดังขึ้นภายในศาลาวัดแห่งหนึ่ง ภายในนั้นมีหญิงสาววัยสิบแปดกำลังร้องไห้ดวงตาของเธอบวมช้ำเนื่องจากการเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ อีกทั้งข้างกันยังมีน้องชายน้องสาวที่อายุน้อยกว่าหลายปีในอ้อมกอด
ในระหว่างที่ทุกคนภายในงานขาวดำกำลังฟังพระสวดอย่างตั้งใจ จู่ ๆ ด้านนอกก็มีชายคนหนึ่งในสภาพเมามายเดินเข้ามา
ผู้คนภายในงานล้วนทราบดีว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาตรงเข้าไปยังโลงศพที่ตั้งอยู่ด้านหน้าก่อนจะนั่งลงฟูมฟายต่อหน้ารูปอันสวยงามของหญิงสาวผู้ที่กำลังส่งยิ้มหวานสมัยยังแรกแย้มออกมาทางทุกคน
“เจ้! จะไปไหน” เด็กหญิงตัวเล็กดึงชายเสื้อของคนเป็นพี่ถามด้วยความกลัว
“ไม่ต้องกลัว เจ้จะไปหาป๊า” คนเป็นพี่จับมือเล็กของน้องสาวออกแผ่วเบา
“แต่...” คนเป็นน้องลังเล
“หมวยเล็กปล่อย เจ้จัดการป๊าได้เชื่อเฮียสิ” เด็กชายผู้แก่กว่าสามปีบอกน้องสาวคนเล็ก
“กะ...ก็ได้ แต่เฮียมาอยู่กับหนูนะ” คนเป็นน้องเล็กต่อลอง
“อืม”
ชายคนนั้นยังคงร้องไห้ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาเสียใจจริงหรือว่าแสแสร้งแกล้งทำ
“ป๊ากลับบ้านไปเถอะ มาร้องไห้อะไรตอนนี้” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความเย็นชาห่างเหิน
“ลื้อจะรู้อา...หราย” เสียงยานคางของชายคนนั้นโต้
“รู้หรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์เพราะแม่ตายไปแล้ว ป๊าจะมาร้องไห้ให้ใครดูกัน ในตอนแม่อยู่ตัวเองไม่เคยใส่ใจไม่เคยทำอะไรดี ๆ” อารมณ์ของหญิงสาวขุ่นมัวเธออยากจะต่อว่าชายคนนี้ให้สมกับสิ่งที่เขาทำกับมารดาทว่าเธอก็ทำเพียงกำมือของตนแน่นและเบือนหน้าหนี
ย้อนกลับไปเมื่อวันวานตั้งแต่เธอจำความได้เธอก็เห็นคนเป็นพ่อเมามายมาตลอด จะมีบ้างบางคราวที่เขาไม่ดื่มช่วงเวลานั้นนับว่าชายคนนี้ก็ยังจัดได้ว่าเป็นคนดีแต่แล้วอย่างไรเล่าในเมื่อน้ำเมาเข้าปากเขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
งานการไม่ทำแม่เธอก็ไม่ว่า แต่เหตุใดถึงต้องหยามน้ำใจแม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เลิกร้องเถอะ หากไม่อายตัวเองก็ช่วยมองผู้คนโดยรอบบ้างว่าเขาสมเพชป๊ามากขนาดไหน หนูไม่เข้าใจว่าทำไมแม่จะต้องทนอยู่กับป๊าด้วย หากเลือกได้หรือย้อนเวลากลับไปได้หนูจะบอกให้แม่เลือกคนอื่น”
ชายคนนั้นนั่งฟังคำพูดของบุตรสาวก่อนที่จะสูดน้ำหูน้ำตาและกล่าวออกมาเสียงหนัก
“ไม่มีทางอั๊วไม่ยอมปล่อยแม่ของลื้อให้แต่งกับคนอื่นหรอก” เขาตอบโต้พลางลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโซซัดโซเซ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็มาดูกัน หากว่าหนูสามารถย้อนเวลาได้จริงหนูจะขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้ป๊าได้เจอแม่” เธอประกาศเสียงก้องไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินในตอนนี้หญิงสาวหน้ามืดตามัวโกรธจนขาดสติเสียแล้ว
หล่อนเองไม่ใช่ไม่รู้ว่าการย้อนเวลานั้นไม่มีจริงแต่เหตุใดหลังได้ยินคำกล่าวของบิดาจึงทำให้เธอกล่าววาจาเหลวไหลออกมาเช่นนั้นก็สุดจะรู้ได้ แขกในงานต่างมองมาทางคนทั้งคู่ด้วยความเห็นใจ
หลังจากพระสวดจบด้านนอกในเวลานี้ก็ได้มืดลงมากแล้วแขกที่มาในงานเองก็เริ่มทยอยกันเดินทางกลับ ในตอนนี้จึงคงเหลือเพียงเธอกับน้องชายหญิงและป๊าที่เมาหลับอยู่ตรงหน้าโลงศพของแม่ผู้ให้กำเนิดพวกเธอทั้งสามคน
“พวกเราก็ควรกลับกันบ้างเถอะ” หญิงสาวพูดกับน้องชายน้องสาวที่ยังเล็ก
“แล้วป๊าล่ะ” น้องคนเล็กถามพลางเหลียวไปมองพ่อที่กำลังนอนกอดขวดเหล้าไม่ยอมปล่อย
“ให้นอนอยู่ที่นี่แหละ มีพัดลมกับมุ้งป๊าไม่เป็นอะไรหรอกอีกอย่างก็มีคนเฝ้าศพมาอยู่เป็นเพื่อน” คนเป็นพี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ หากถามว่าเพราะอะไรเธอคงจะตอบเพียงว่าเธอรู้สึกผิดหวังกับพ่อของตนมากกระมั้งมากจนไม่อยากจะสนใจความเป็นไปของเขา
ในระหว่างที่พวกเธอกับน้องกำลังก้าวเท้าลงจากศาลา จู่ ๆ ก็มีแมวดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้า ไม่เพียงแค่นั้นแมวดำตัวนั้นยังจ้องดวงตาสีอำพันของมันมองมาทางเธอซึ่งผู้เป็นบุตรสาวคนโตเนิ่นนานก่อนจะวิ่งหายกลืนไปกับความมืดของรัตติกาล
“อะไรของแมวตัวนั้นจ้องเจ้ทำไม” น้องชายคนกลางพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกเราไม่ได้ทำอะไรมัน อีกอย่างเจ้ว่ามันคงตกใจนั่นแหละ” คนเป็นพี่ตอบทั้ง ๆ ที่ภายในอกของตนหัวใจกำลังเต้นโครมคราม
หลังจากวันที่แม่ผู้บังเกิดเกล้าจากไปเด็กทั้งสามก็ใช้ชีวิตร่วมกับป๊าผู้ดื่มเหล้าต่างน้ำ แม้ว่าพวกเธอจะพยายามห้ามเท่าไหร่ผู้เป็นบิดาก็หาฟัง อีกทั้งยังทำตัวเหลวแหลกยิ่งกว่าเดิมจนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายชีวิตของเขามาถึง
“มะเร็ง!” เมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรเขาก็เซื่องซึมจนน่าใจหายอีกทั้งยังไม่แตะสุรายาเมาอีกด้วย
ในตอนนี้ลูกทั้งสามผู้เติบโตเพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้กับคำว่าน้ำเมาคือน้ำเปลี่ยนนิสัยก็หลังจากเห็นว่าพ่อของตนเริ่ม เป็นผู้เป็นคนตั้งแต่ไม่แตะต้องมัน ทว่าโรคร้ายก็รุมเร้าเขาอย่างหนักจนร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
“เดี๋ยวป๊าก็หาย หากทำตามที่หมอบอก” นี่คือคำปลอบของลูก ๆ
“จริงเหรอ ขึ้นชื่อว่ามะเร็งอั๊วยังไม่เคยเห็นมีใครรอด” น้ำเสียงของคนป่วยแหบพร่าดวงตาแดงก่ำ
“ป๊า ขอถามหน่อยสิทำไมป๊าถึงต้องดื่มเหล้าด้วย” คำถามจากบุตรสาวคนเล็กทำให้ชายชรามองเขาก่อนจะหลั่งน้ำตาทว่ากลับไม่ยอมตอบสิ่งใดออกจากปาก
“หนูฟังจากที่แปะพูดมา เขาบอกว่าป๊าเสียใจที่ม่าตายจากนั้นก็ทำตัวเป็นนักเลง แปะให้เรียนหนังสือก็ไม่เรียนเรื่องนี้จริงหรือเปล่า” ครั้งนี้เป็นบุตรสาวคนโตถามออกมาบ้าง
แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเงียบงันเพียงอย่างเดียว “เอาเถอะไม่ตอบก็ไม่ตอบ ป๊านอนพักเถอะ เรื่องรักษาก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอส่วนป๊าก็ทำหน้าที่ของคนป่วยให้ดีก็พอ” ลูกชายคนกลางที่เงียบมานานพูดออกมาบ้าง
“พวกลื้อกลับไปเถอะ เดี๋ยวเจ้เฝ้าป๊าเอง”
เสียงประตูห้องผู้ป่วยปิดลง บรรยากาศภายในห้องเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง “อาหลินอีกไม่นานแม่ของลื้อก็จะมารับอั๊วแล้ว”
“ทำไมป๊าพูดอย่างนี้ล่ะ แม่ตายไปหลายปีแล้วป๊าลืมเหรอ”
น้ำตาของคนเป็นลูกกำลังจะไหลอาบร่องแก้ม แม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกดีกับบิดาของตนมากนักทว่าถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นผู้ให้กำเนิดดังนั้นไม่ว่าเธอจะใจแข็งเป็นหินสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจใจร้ายใจดำกับเขาได้ลงคอ
ย้อนกลับไปในอดีตตอนนั้นเธอยังคงไม่รู้ความเธอเคยถามกับมารดาว่าเหตุใดทำไมถึงยังอยู่กับป๊าทั้งที่เขาไม่ได้ความทำไมถึงไม่เลิก ๆ กันไปซะ
“ลื้อมันคนใจดำ” นี่คือคำพูดที่คนเป็นแม่เคยบอกแต่ในตอนนั้นเธอก็ยังคิดว่าใจดำอย่างไรก็ในเมื่ออยู่กับคนไม่ดีแล้ว ก่อเกิดแต่ความทุกข์ทำไมถึงต้องทน
เสียงไอจากคนเป็นพ่อทำให้หลินหลุดจากภวังค์ “ป๊าเอาน้ำไหม”
“ไม่! ลื้อไปเอาถุงของอั๊วมา”
บุตรสาวเข้าใจได้ทันทีว่าถุงที่ว่าคืออะไรเพราะเธอเคยจะเอาสิ่งที่เป็นขยะเหล่านั้นทิ้งตั้งหลายครั้งหลายครา ทว่าคนเป็นพ่อก็หวงแหนเป็นอย่างมาก
ผู้ป่วยพยายามลุกพิงกับหัวเตียง มืออันผอมบางเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกผิดจากเดิมลิบลับทำให้บุตรสาวรู้สึกใจหาย
“นาฬิกา? ป๊าได้มาจากไหน”
สิ่งที่ชายชราหยิบออกมาคือนาฬิกาพกสีเงินที่สามารถห้อยคอได้
“อั๊วได้มาจากยายแก่คนหนึ่งจำไม่ได้แล้ว หล่อนบอกว่านาฬิกาเรือนนี้สามารถทำให้ก่อเกิดปาฏิหาริย์ได้”
“ป๊าเชื่อ” หล่อนทำหน้าฉงนย้อนถามอย่างกังขา
“หากว่ามันมีจริงอั๊วก็อยากกลับไปเจอแม่ของลื้ออีก” น้ำเสียงของคนพูดสั่นเครือ
“แต่หนูว่าอย่าเลย หากป๊าไม่เปลี่ยนนิสัยหนูสงสารแม่” คำพูดของบุตรสาวหาได้ทำให้ชายชราโกรธเคืองแต่อย่างใด
“ถ้าอย่างนั้นอั๊วจะกลับไปแก้ไขตัวเอง” แววตาของคนพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“เฮ้อ! หนูว่ายากคนเราใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ หนูคิดว่าถ้าป๊าอยากเปลี่ยนแปลงต้องมีคนคอยคุม” จบคำพูดของหญิงสาวฉับพลันก็เกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งห้องของผู้ป่วยจากนาฬิกาที่อยู่ในมือของคนเป็นพ่อ
นับจากนั้นเป็นต้นมาก็เกิดเรื่องราวชวนหัวจะปวดผสมผสานกับความผูกพันทางสายเลือดอันแปลกประหลาดระหว่างพ่อผู้กำลังป่วยหนักกับลูกสาวคนโตที่ไม่ใคร่จะชอบนิสัยป๊าของตน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ร้าน "อาม่า หมูกระทะริมบึง" ได้ขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบระเบียบของใช้และผู้จัดการอาทิตย์ และด้วยความมั่นคงนี้เอง หลินก็ได้เริ่ม "ภารกิจ" ใหม่ของเธอ เธอมักจะแนะนำแบบอ้อม ๆ ให้ป๊านำเงินกำไรไปลงทุนซื้อที่ดินแปลงสวย ๆ ในทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะเจริญในอนาคตเก็บไว้ โดยเด็กหญิงมักอ้างว่า "หนูฝันเห็น" หรือ "หนูรู้สึกว่าตรงนี้มันสวยดี" ซึ่งใช้ที่เชื่อใน "ความโชคดี" และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของลูกสาวคนนี้อย่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบครัวตงอีกครั้ง เมื่อสวยภรรยาของใช้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง! และด้วยความเจริญทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ทำให้การไปฝากครรภ์ในครั้งนี้พวกเขาสามารถรู้เพศของทารกในครรภ์ได้ล่วงหน้า... และผลก็คือ พวกเขากำลังจะได้สมาชิกใหม่เป็น "เด็กผู้ชาย"! สร้างความยินดีให้กับอากงตงและอาม่าเคี้ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีหลานชายมาสืบสกุลเพิ่มอีกคน สำหรับหลินน้อยที่ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบกว่าแล้ว แม้ร่างกายจะเป็นเพียงทารกที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะและ หัดพูดเ
เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพาลูก ๆ ทั้งสองคนมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับน้องหลินอยู่เสมอ ชีวิตของทุกคนดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะทั้งสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเวลานี้เองกระแสแห่งความเจริญจากเมืองหลวงก็ได้เริ่มคืบคลานเข้ามายังตัวอำเภอที่เคยดูจะเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด และสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการมาถึงของ "ห้างสรรพสินค้า" ขนาดใหญ่และทันสมัยแห่งแรกของจังหวัด!
ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที่เขาหมายปอง ในสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้น ครอบครัวของจำปีดูจะมีฐานะมั่นคงจากการเป็น "ผู้รับเหมาก่อสร้าง" (ตามที่เขาเข้าใจผิดไปเอง) การแต่งงานกับหล่อนดูเหมือนจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใส ความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำจำปีท้องด้วยความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การชิงสุกก่อนห่ามทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา เขารบเร้าขอให้พ่อแม่ช่วยจัดงานแต่งงานให้โดยไม่ได้รับรู้ถึงความลำบากใจและความฝืดเคืองของครอบครัวในขณะนั้นอย่างแท้จริง&nb
หลังจากที่แขกเหรื่อทยอยกันกลับ และผู้ใหญ่ได้ทำพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอตามประเพณีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในเรือนไม้สักริมบึงบัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ เหลือเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วยความสุขใจ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จและความสุขอยู่นั้น ในใจของหลินกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าใจหาย... มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนที่เธอถูกดึงให้ย้อนเวลากลับมาในอดีตไม่มีผิด ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวขึ้น และความผูกพันที่เธอมีต่อโลกใบนี้... มันดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนรางลง... (หรือว่า... จะถึงเวลาแล้วสินะ...) หลินคิดในใจ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน ทั้งดีใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และใจหายที่จะต้องจากทุกคนที่เธอรักไป น้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงต
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ไปหาฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันมงคลสมรสที่ทุกคนรอคอยของใช้และสวยก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนั้น บรรยากาศที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือร้านขายผ้าของเถ้าแก่มิ่งคึกคักเป็นพิเศษ มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและพิธีรดน้ำสังข์ไว้อย่างสวยงามตามฐานะ ญาติสนิทมิตรสหายของฝ่ายหญิงต่างก็มาช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางด้านบ้านตึกแถวในตลาดของฝ่ายเจ้าบ่าวก็คึกคักไม่แพ้กัน เคี้ยงและตงอยู่ในชุดผ้าไหมสีทองอร่ามสมฐานะเจ้าภาพ กำลังดูแลความเรียบร้อยของขบวนขันหมากเป็นครั้งสุดท้าย และที่โดดเด่นสะดุดตาในวันนี้ คือภาพของใช้ เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดสูทกางเกงสีครีมทั้งชุดซึ่งเป็นสไตล์ที่ดูทันสมัยแบบสากล เนื้อผ้าเนี้ยบกริบตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาดูสง่างามและภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง