เมื่อโชคชะตานำพาให้หญิงสาวผู้เป็นลูกสาวคนโตได้มีโอกาสย้อนเวลากลับมาในช่วงที่ป๊าของตนอายุสิบสี่ในร่างของเด็กหญิงวัยห้าขวบ เธอจะจัดการเปลี่ยนชะตานี้อย่างไร "หากป๊ายังไม่เปลี่ยนนิสัย หนูจะหาพ่อใหม่"
View Moreเสียงสวดอภิธรรมดังขึ้นภายในศาลาวัดแห่งหนึ่ง ภายในนั้นมีหญิงสาววัยสิบแปดกำลังร้องไห้ดวงตาของเธอบวมช้ำเนื่องจากการเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ อีกทั้งข้างกันยังมีน้องชายน้องสาวที่อายุน้อยกว่าหลายปีในอ้อมกอด
ในระหว่างที่ทุกคนภายในงานขาวดำกำลังฟังพระสวดอย่างตั้งใจ จู่ ๆ ด้านนอกก็มีชายคนหนึ่งในสภาพเมามายเดินเข้ามา
ผู้คนภายในงานล้วนทราบดีว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาตรงเข้าไปยังโลงศพที่ตั้งอยู่ด้านหน้าก่อนจะนั่งลงฟูมฟายต่อหน้ารูปอันสวยงามของหญิงสาวผู้ที่กำลังส่งยิ้มหวานสมัยยังแรกแย้มออกมาทางทุกคน
“เจ้! จะไปไหน” เด็กหญิงตัวเล็กดึงชายเสื้อของคนเป็นพี่ถามด้วยความกลัว
“ไม่ต้องกลัว เจ้จะไปหาป๊า” คนเป็นพี่จับมือเล็กของน้องสาวออกแผ่วเบา
“แต่...” คนเป็นน้องลังเล
“หมวยเล็กปล่อย เจ้จัดการป๊าได้เชื่อเฮียสิ” เด็กชายผู้แก่กว่าสามปีบอกน้องสาวคนเล็ก
“กะ...ก็ได้ แต่เฮียมาอยู่กับหนูนะ” คนเป็นน้องเล็กต่อลอง
“อืม”
ชายคนนั้นยังคงร้องไห้ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาเสียใจจริงหรือว่าแสแสร้งแกล้งทำ
“ป๊ากลับบ้านไปเถอะ มาร้องไห้อะไรตอนนี้” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความเย็นชาห่างเหิน
“ลื้อจะรู้อา...หราย” เสียงยานคางของชายคนนั้นโต้
“รู้หรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์เพราะแม่ตายไปแล้ว ป๊าจะมาร้องไห้ให้ใครดูกัน ในตอนแม่อยู่ตัวเองไม่เคยใส่ใจไม่เคยทำอะไรดี ๆ” อารมณ์ของหญิงสาวขุ่นมัวเธออยากจะต่อว่าชายคนนี้ให้สมกับสิ่งที่เขาทำกับมารดาทว่าเธอก็ทำเพียงกำมือของตนแน่นและเบือนหน้าหนี
ย้อนกลับไปเมื่อวันวานตั้งแต่เธอจำความได้เธอก็เห็นคนเป็นพ่อเมามายมาตลอด จะมีบ้างบางคราวที่เขาไม่ดื่มช่วงเวลานั้นนับว่าชายคนนี้ก็ยังจัดได้ว่าเป็นคนดีแต่แล้วอย่างไรเล่าในเมื่อน้ำเมาเข้าปากเขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
งานการไม่ทำแม่เธอก็ไม่ว่า แต่เหตุใดถึงต้องหยามน้ำใจแม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เลิกร้องเถอะ หากไม่อายตัวเองก็ช่วยมองผู้คนโดยรอบบ้างว่าเขาสมเพชป๊ามากขนาดไหน หนูไม่เข้าใจว่าทำไมแม่จะต้องทนอยู่กับป๊าด้วย หากเลือกได้หรือย้อนเวลากลับไปได้หนูจะบอกให้แม่เลือกคนอื่น”
ชายคนนั้นนั่งฟังคำพูดของบุตรสาวก่อนที่จะสูดน้ำหูน้ำตาและกล่าวออกมาเสียงหนัก
“ไม่มีทางอั๊วไม่ยอมปล่อยแม่ของลื้อให้แต่งกับคนอื่นหรอก” เขาตอบโต้พลางลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโซซัดโซเซ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็มาดูกัน หากว่าหนูสามารถย้อนเวลาได้จริงหนูจะขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้ป๊าได้เจอแม่” เธอประกาศเสียงก้องไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินในตอนนี้หญิงสาวหน้ามืดตามัวโกรธจนขาดสติเสียแล้ว
หล่อนเองไม่ใช่ไม่รู้ว่าการย้อนเวลานั้นไม่มีจริงแต่เหตุใดหลังได้ยินคำกล่าวของบิดาจึงทำให้เธอกล่าววาจาเหลวไหลออกมาเช่นนั้นก็สุดจะรู้ได้ แขกในงานต่างมองมาทางคนทั้งคู่ด้วยความเห็นใจ
หลังจากพระสวดจบด้านนอกในเวลานี้ก็ได้มืดลงมากแล้วแขกที่มาในงานเองก็เริ่มทยอยกันเดินทางกลับ ในตอนนี้จึงคงเหลือเพียงเธอกับน้องชายหญิงและป๊าที่เมาหลับอยู่ตรงหน้าโลงศพของแม่ผู้ให้กำเนิดพวกเธอทั้งสามคน
“พวกเราก็ควรกลับกันบ้างเถอะ” หญิงสาวพูดกับน้องชายน้องสาวที่ยังเล็ก
“แล้วป๊าล่ะ” น้องคนเล็กถามพลางเหลียวไปมองพ่อที่กำลังนอนกอดขวดเหล้าไม่ยอมปล่อย
“ให้นอนอยู่ที่นี่แหละ มีพัดลมกับมุ้งป๊าไม่เป็นอะไรหรอกอีกอย่างก็มีคนเฝ้าศพมาอยู่เป็นเพื่อน” คนเป็นพี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ หากถามว่าเพราะอะไรเธอคงจะตอบเพียงว่าเธอรู้สึกผิดหวังกับพ่อของตนมากกระมั้งมากจนไม่อยากจะสนใจความเป็นไปของเขา
ในระหว่างที่พวกเธอกับน้องกำลังก้าวเท้าลงจากศาลา จู่ ๆ ก็มีแมวดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้า ไม่เพียงแค่นั้นแมวดำตัวนั้นยังจ้องดวงตาสีอำพันของมันมองมาทางเธอซึ่งผู้เป็นบุตรสาวคนโตเนิ่นนานก่อนจะวิ่งหายกลืนไปกับความมืดของรัตติกาล
“อะไรของแมวตัวนั้นจ้องเจ้ทำไม” น้องชายคนกลางพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกเราไม่ได้ทำอะไรมัน อีกอย่างเจ้ว่ามันคงตกใจนั่นแหละ” คนเป็นพี่ตอบทั้ง ๆ ที่ภายในอกของตนหัวใจกำลังเต้นโครมคราม
หลังจากวันที่แม่ผู้บังเกิดเกล้าจากไปเด็กทั้งสามก็ใช้ชีวิตร่วมกับป๊าผู้ดื่มเหล้าต่างน้ำ แม้ว่าพวกเธอจะพยายามห้ามเท่าไหร่ผู้เป็นบิดาก็หาฟัง อีกทั้งยังทำตัวเหลวแหลกยิ่งกว่าเดิมจนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายชีวิตของเขามาถึง
“มะเร็ง!” เมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรเขาก็เซื่องซึมจนน่าใจหายอีกทั้งยังไม่แตะสุรายาเมาอีกด้วย
ในตอนนี้ลูกทั้งสามผู้เติบโตเพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้กับคำว่าน้ำเมาคือน้ำเปลี่ยนนิสัยก็หลังจากเห็นว่าพ่อของตนเริ่ม เป็นผู้เป็นคนตั้งแต่ไม่แตะต้องมัน ทว่าโรคร้ายก็รุมเร้าเขาอย่างหนักจนร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
“เดี๋ยวป๊าก็หาย หากทำตามที่หมอบอก” นี่คือคำปลอบของลูก ๆ
“จริงเหรอ ขึ้นชื่อว่ามะเร็งอั๊วยังไม่เคยเห็นมีใครรอด” น้ำเสียงของคนป่วยแหบพร่าดวงตาแดงก่ำ
“ป๊า ขอถามหน่อยสิทำไมป๊าถึงต้องดื่มเหล้าด้วย” คำถามจากบุตรสาวคนเล็กทำให้ชายชรามองเขาก่อนจะหลั่งน้ำตาทว่ากลับไม่ยอมตอบสิ่งใดออกจากปาก
“หนูฟังจากที่แปะพูดมา เขาบอกว่าป๊าเสียใจที่ม่าตายจากนั้นก็ทำตัวเป็นนักเลง แปะให้เรียนหนังสือก็ไม่เรียนเรื่องนี้จริงหรือเปล่า” ครั้งนี้เป็นบุตรสาวคนโตถามออกมาบ้าง
แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเงียบงันเพียงอย่างเดียว “เอาเถอะไม่ตอบก็ไม่ตอบ ป๊านอนพักเถอะ เรื่องรักษาก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอส่วนป๊าก็ทำหน้าที่ของคนป่วยให้ดีก็พอ” ลูกชายคนกลางที่เงียบมานานพูดออกมาบ้าง
“พวกลื้อกลับไปเถอะ เดี๋ยวเจ้เฝ้าป๊าเอง”
เสียงประตูห้องผู้ป่วยปิดลง บรรยากาศภายในห้องเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง “อาหลินอีกไม่นานแม่ของลื้อก็จะมารับอั๊วแล้ว”
“ทำไมป๊าพูดอย่างนี้ล่ะ แม่ตายไปหลายปีแล้วป๊าลืมเหรอ”
น้ำตาของคนเป็นลูกกำลังจะไหลอาบร่องแก้ม แม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกดีกับบิดาของตนมากนักทว่าถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นผู้ให้กำเนิดดังนั้นไม่ว่าเธอจะใจแข็งเป็นหินสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจใจร้ายใจดำกับเขาได้ลงคอ
ย้อนกลับไปในอดีตตอนนั้นเธอยังคงไม่รู้ความเธอเคยถามกับมารดาว่าเหตุใดทำไมถึงยังอยู่กับป๊าทั้งที่เขาไม่ได้ความทำไมถึงไม่เลิก ๆ กันไปซะ
“ลื้อมันคนใจดำ” นี่คือคำพูดที่คนเป็นแม่เคยบอกแต่ในตอนนั้นเธอก็ยังคิดว่าใจดำอย่างไรก็ในเมื่ออยู่กับคนไม่ดีแล้ว ก่อเกิดแต่ความทุกข์ทำไมถึงต้องทน
เสียงไอจากคนเป็นพ่อทำให้หลินหลุดจากภวังค์ “ป๊าเอาน้ำไหม”
“ไม่! ลื้อไปเอาถุงของอั๊วมา”
บุตรสาวเข้าใจได้ทันทีว่าถุงที่ว่าคืออะไรเพราะเธอเคยจะเอาสิ่งที่เป็นขยะเหล่านั้นทิ้งตั้งหลายครั้งหลายครา ทว่าคนเป็นพ่อก็หวงแหนเป็นอย่างมาก
ผู้ป่วยพยายามลุกพิงกับหัวเตียง มืออันผอมบางเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกผิดจากเดิมลิบลับทำให้บุตรสาวรู้สึกใจหาย
“นาฬิกา? ป๊าได้มาจากไหน”
สิ่งที่ชายชราหยิบออกมาคือนาฬิกาพกสีเงินที่สามารถห้อยคอได้
“อั๊วได้มาจากยายแก่คนหนึ่งจำไม่ได้แล้ว หล่อนบอกว่านาฬิกาเรือนนี้สามารถทำให้ก่อเกิดปาฏิหาริย์ได้”
“ป๊าเชื่อ” หล่อนทำหน้าฉงนย้อนถามอย่างกังขา
“หากว่ามันมีจริงอั๊วก็อยากกลับไปเจอแม่ของลื้ออีก” น้ำเสียงของคนพูดสั่นเครือ
“แต่หนูว่าอย่าเลย หากป๊าไม่เปลี่ยนนิสัยหนูสงสารแม่” คำพูดของบุตรสาวหาได้ทำให้ชายชราโกรธเคืองแต่อย่างใด
“ถ้าอย่างนั้นอั๊วจะกลับไปแก้ไขตัวเอง” แววตาของคนพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“เฮ้อ! หนูว่ายากคนเราใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ หนูคิดว่าถ้าป๊าอยากเปลี่ยนแปลงต้องมีคนคอยคุม” จบคำพูดของหญิงสาวฉับพลันก็เกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งห้องของผู้ป่วยจากนาฬิกาที่อยู่ในมือของคนเป็นพ่อ
นับจากนั้นเป็นต้นมาก็เกิดเรื่องราวชวนหัวจะปวดผสมผสานกับความผูกพันทางสายเลือดอันแปลกประหลาดระหว่างพ่อผู้กำลังป่วยหนักกับลูกสาวคนโตที่ไม่ใคร่จะชอบนิสัยป๊าของตน
เมื่อสถานการณ์เฉพาะหน้าคลี่คลายแต่ปัญหายังคงอยู่ หลินจึงขยับเข้าไปใกล้อาม่าที่นั่งหน้าเศร้าด้วยความเห็นใจ "อา ม่าคะ..." เธอเอ่ยเรียกเสียงเบา"หนูขอถามตามตรงได้ไหมคะ ที่บ้านเราพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างรึเปล่าคะ หนูรู้มาว่าอากงกับอาม่าก็ขยันทำงาน เฮียชัยเองก็ช่วยทำงานมาตลอด ก็น่าจะพอมีเก็บอยู่บ้างใช่ไหมคะ"เคี้ยงมองหน้าหลานสาวอย่างชั่งใจครู่หนึ่งแม้จะกังขากับคำว่าพอรู้มาบ้างของเธอ กระนั้นด้วยไม่มีอารมณ์ซักถามให้มากความเธอจึงได้ปล่อยผ่าน ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วพยักหน้าลงอย่างช้า ๆ"มีสิลูก..." นางตอบเสียงแผ่ว "ตั้งแต่กงกับม่าอพยพมาจากเมืองจีน เราก็ทำงานเก็บหอมรอมริบมาตลอด ตอนนี้... ก็พอมีอยู่ประมาณสองพันบาท"หลินตาโตเนื่องจากต้องรู้ว่ายุคนี้เงินสองพันนั้นถือว่าไม่น้อยเลยพวกเขาต้องประหยัดกันมากขนาดไหนกว่าจะได้เงินจำนวนนี้"แล้วก็มี... ทองคำกับหยกที่ติดตัวมาจากเมืองจีนอยู่นิดหน่อย ม่าเก็บซ่อนไว้อย่างดี" อาม่าพูดต่อ "เงินกับของพวกนี้ทั้งหมดน่ะ ม่ากับกงตั้งใจเก็บเอาไว้ซื้อที่ดินผืนเล็กสักผืนเพื่อทำสวน ปลูกบ้านดี ๆ ของเราเอง จะได้ไม่ต้องอาศัยบ้านเถ้าแก่เม้งอยู่
ในขณะที่แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ โรยตัวลงหลังแนวไม้ไผ่ห่างออกไปไม่ไกลท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมม่วงไล่เฉดจนเข้มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมลมเย็นที่พัดผ่านใบไม้ให้สั่นไหวแผ่วเบา เป็นความสบายที่แตกต่างจากอากาศร้อนอบอ้าวของช่วงกลางวันโดยสิ้นเชิงม่าเคี้ยงเดินนำหลินลงมายังท่าน้ำหลังบ้านริมคลองสายเล็กที่ไหลเอื่อย มีเพียงแผ่นไม้ไม่กี่แผ่นปูต่อกันยื่นออกไปพอให้ยืนเหยียบได้พอดี บันไดไม้เล็ก ๆ นำทางลงสู่ผืนน้ำขุ่นข้นที่มีกลิ่นดินเฉพาะตัวในมืออาม่ามีขันอะลูมิเนียมใบเล็กกับสบู่สมุนไพรสีเขียวเข้ม กลิ่นหอมจาง ๆ แบบไทยแท้โชยออกมา หลินอยู่ในผ้าถุงลายดอกสีซีดกระโจมอกตามแบบฉบับของหญิงสาวยุคก่อนที่อาม่าเป็นคนช่วยนุ่งให้เรียบร้อยมันทั้งแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น ความรู้สึกโล่ง ๆ วูบวาบที่เธอไม่เคยชินในชีวิตประจำวันที่ต้องมาอาบน้ำในที่โล่งแจ้งพลันเกิดขึ้น“ลงมาสิอาหมวย น้ำกำลังเย็นสบายเลย” เสียงอาม่าที่ลงไปยืนอยู่ในน้ำระดับเอวแล้วเอ่ยเรียกพร้อมกับกวักมือส่งยิ้มมาอย่างอ่อนโยนหลินสูดลมหายใจลึกก่อนจะค่อย ๆ ย่ำบันไดไม้ลงไปทีละขั้น เมื่อฝ่าเท้าแตะกับผิวน้ำความเย็นวาบแล
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดความอ่อนเพลียก็เริ่มดึงสติของเด็กหญิงให้เลือนรางลง เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อย ๆ ปิดสนิทแต่แทนที่จะจมดิ่งสู่ความมืดมิดเธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยไปยังสถานที่แห่งหนึ่งรอบกายของหลินไม่ใช่ห้องไม้สลัว ๆ อีกต่อไป แต่เป็นสวนกว้างที่ดูคุ้นตาคล้ายกับสวนที่เธอเดินผ่านมาเมื่อตอนกลางวัน แต่ทว่ามันดูสวยงามและสงบสุขกว่ามาก มีแสงสีทองอ่อนสาดส่องลงมา อากาศเย็นสบายบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ไม่รู้จักลอยมาตามลม ทุกอย่างดูเหมือนจริงแต่ก็รู้สึกคล้ายความฝันเด็กหญิงมองไปรอบ ๆ อย่างงุนงงก่อนจะสะดุดตากับร่างของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ หญิงคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบบจีนโบราณสีอ่อนสะอาดตา ""อาม่า..." คำเรียกนั้นหลุดออกจากปากของหลินระคนดีใจหญิงวัยกลางคนส่งยิ้มกว้างให้เธอ "อยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้างอาหมวยน้อยของอาม่า" น้ำเสียงของท่านทุ้มนุ่มและอบอุ่นอย่างประหลาด"อาม่าหมายถึงบ้านของป๊าหรือคะ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยค่ะ" หลินตอบตามตรงพร้อมกับถอนหายใจออกมา"ม่ารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่อาหมวย ม่ารู้ว่าหนูจะเป
ยุ่งเองก็หยุดเดินมองตามใช้ไปด้วยแววตาระคนคุ้นเคยฉายชัด เขารู้ดีว่าคนที่ใช้กำลังวิ่งไปหาคือใคร ก่อนที่หลินจะก้าวเดินต่อช้า ๆ เคียงข้างยุ่ง สายตาจับจ้องไปยังร่างของผู้ชายสองคนที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลนัก คนหนึ่งดูสูงใหญ่กว่าเล็กน้อย ส่วนอีกคนมีรูปร่างใกล้เคียงกับใช้ในตอนนี้ แต่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพวกเขาทั้งคู่สวมเสื้อกุยเฮงแขนยาวถูกพับทบขึ้นมาเกือบถึงข้อศอก เสื้อสีเข้มที่น่าจะเป็นสีกรมท่าหรือสีดำนั้นดูซีดจางและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นและรอยด่างจากเหงื่อไคลแตกต่างจากเสื้อนักเรียนของใช้ที่ยังดูสะอาดสะอ้านกว่ามากแผ่นหลังกว้างของทั้งคู่ดูแข็งแรงสมกับเป็นคนทำงานหนัก ผิวบริเวณต้นคอและแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อที่พับขึ้นนั้นคล้ำแดดจัดเมื่อใช้วิ่งไปถึง ชายร่างสันทัดกว่าที่หลินเดาว่าน่าจะเป็น อากงของเธอก็หันมาพอดี ดวงตาเรียวคมภายใต้คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยมองลูกชายคนที่สอง"อ้าว อาใช้ ลื้อไปไหนมาเย็นป่านนี้แล้วยังไม่เปลี่ยนชุดนักเรียนอีก" เสียงทุ้มที่ฟังดูอบอุ่นแต่แฝงความเข้มงวดเล็กน้อยดังขึ้น"ไปกินหวานเย็นร้านอาแปะมาป๊า" ใช้ตอบเสียงใสหันไปยิ้มให้พี่ชายที่ยืนอยู่ข้างกั
"ใช่เสียงของจำปีหรือเปล่า" เคี้ยงพูดออกมาโดยไม่เจาะจงว่าหล่อนถามใคร"ใช่ครับ อั๊วขอไปดูก่อน" ชัยตอบพลางลุกจากพื้นชายหนุ่มเดินเร็ว ๆ ออกไปยังชานตรงบันไดเรือน ที่นั่น หญิงสาวในชุดเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงินกับผ้าซิ่นสีเดียวกันยืนรออยู่จริงด้วยท่าทางกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัดแสงสลัวจากในบ้านส่องให้เห็นใบหน้าของจำปีไม่ถนัดนัก แต่พอชัยเดินเข้าไปใกล้เขาก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของคนรักนั้นซีดเผือด ดวงตาฉายแวววิตกกังวลอย่างปิดไม่มิด มือทั้งสองข้างบีบกันแน่นอยู่ตรงหน้าตัก"จำปี... มีอะไรรึ มาถึงนี่" ชัยถามเสียงเบาพยายามควบคุมความรู้สึกตัวเองหลังจากเพิ่งมีปากเสียงกับพ่อเรื่องของหล่อนไปหมาด ๆจำปีเงยหน้าขึ้นสบตาของเขา แววตาของหล่อนสั่นระริก ก่อนจะตัดสินใจดึงแขนคนรักให้เดินลงบันไดไปสองสามขั้น เพื่อให้พ้นจากสายตาของคนที่อยู่ในตัวเรือนซึ่งอาจจะมองออกมา"เฮีย..." จำปีเรียกเสียงสั่นเครือ น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด "ฉัน... ฉัน..." หล่อนอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาปี๋แล้วโพล่งออกมา "ฉันท้อง!"คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจของชัย เขายืนนิ่
ใช้จูงมือหลินโดยมียุ่งเดินตามลัดเลาะไปตามทางเดินแคบ ๆ ในสวนที่มีทั้งมะพร้าวและส้มโอ ในขณะที่แสงแดดยามบ่ายส่องลอดใบไม้เหล่านั้นลงมาเป็นจุด ๆ อากาศในตอนนี้แม้ว่าจะเริ่มเย็นทว่าก็ค่อนข้างอบอ้าว โชคดีที่ยังพอมีลมพัดเอื่อยให้คลายร้อนได้บ้าง"ป๊า! ในนี้จะมีร้านขายหวานเย็นด้วยเหรอ" หลินเงยหน้าถามเจ้าของมือใหญ่กว่าตน พลางกวาดตามองไปรอบสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้และร่องน้ำเล็กที่มีผักตบชวาลอยอยู่ประปราย เธอไม่เห็นวี่แววของร้านค้าเลยด้วยซ้ำ"เปี๊ยก ลื้อเรียกอั๊วว่าเฮียดีไหม แม้แต่แฟนอั๊วยังไม่มีจะมีลูกตัวโตขนาดลื้อได้ยังไง" ใช้พูดเสียงห้วนด้วยความไม่ชอบใจต่อคำเรียกขานของเจ้าตัวเล็กเฮ้อ...!! หลินระบายลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของป๊าในตอนนี้ดูสูงโปร่ง ผิวขาวสะอาดหมดจด จมูกโด่งเป็นสันรับกับดวงตาเรียวเล็กที่ฉายแววขี้เล่นอย่างที่เธอคุ้นเคย หากแต่ทุกอย่างกลับดูแปลกตาเมื่ออยู่บนร่างกายของเด็กหนุ่มวัยรุ่นตรงหน้า(นี่คือป๊าในวัยสิบสี่...) ความรู้สึกประหลาดแล่นริ้วในอก มันทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่จนเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกข
Comments