เมื่อสถานการณ์เฉพาะหน้าคลี่คลายแต่ปัญหายังคงอยู่ หลินจึงขยับเข้าไปใกล้อาม่าที่นั่งหน้าเศร้าด้วยความเห็นใจ "อา ม่าคะ..." เธอเอ่ยเรียกเสียงเบา
"หนูขอถามตามตรงได้ไหมคะ ที่บ้านเราพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างรึเปล่าคะ หนูรู้มาว่าอากงกับอาม่าก็ขยันทำงาน เฮียชัยเองก็ช่วยทำงานมาตลอด ก็น่าจะพอมีเก็บอยู่บ้างใช่ไหมคะ"
เคี้ยงมองหน้าหลานสาวอย่างชั่งใจครู่หนึ่งแม้จะกังขากับคำว่าพอรู้มาบ้างของเธอ กระนั้นด้วยไม่มีอารมณ์ซักถามให้มากความเธอจึงได้ปล่อยผ่าน ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วพยักหน้าลงอย่างช้า ๆ
"มีสิลูก..." นางตอบเสียงแผ่ว "ตั้งแต่กงกับม่าอพยพมาจากเมืองจีน เราก็ทำงานเก็บหอมรอมริบมาตลอด ตอนนี้... ก็พอมีอยู่ประมาณสองพันบาท"
หลินตาโตเนื่องจากต้องรู้ว่ายุคนี้เงินสองพันนั้นถือว่าไม่น้อยเลยพวกเขาต้องประหยัดกันมากขนาดไหนกว่าจะได้เงินจำนวนนี้
"แล้วก็มี... ทองคำกับหยกที่ติดตัวมาจากเมืองจีนอยู่นิดหน่อย ม่าเก็บซ่อนไว้อย่างดี" อาม่าพูดต่อ "เงินกับของพวกนี้ทั้งหมดน่ะ ม่ากับกงตั้งใจเก็บเอาไว้ซื้อที่ดินผืนเล็กสักผืนเพื่อทำสวน ปลูกบ้านดี ๆ ของเราเอง จะได้ไม่ต้องอาศัยบ้านเถ้าแก่เม้งอยู่แบบนี้" นางเว้นวรรคมองไปทางใช้ที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ
"แล้วที่สำคัญที่สุด... คือเก็บไว้เป็นทุนให้ไอ้ตี๋เล็กมันได้เรียนหนังสือสูง ๆ จะได้ไม่ต้องมาลำบากแบกข้าวเหมือนพ่อเหมือนพี่มัน"
สิ้นคำพูดของอาม่า หลินก็เข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่งทันที เงินเก็บทั้งหมดคือความหวังและอนาคตของครอบครัว คือบ้าน คือที่ดิน คือการศึกษาของป๊า ดังนั้นการที่จะต้องนำเงินก้อนนี้ไปจ่ายค่าสินสอดให้ชัยมันคือการทำลายความฝันทั้งหมดที่พ่อแม่เขาสร้างมา
"เรื่องนี้แหละ..." อาม่าถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ คราวนี้มีความขมขื่นเจืออยู่ในน้ำเสียง "ที่ทำให้อาชัยแกไม่พอใจอยู่เรื่อย คิดว่าป๊ากับม่าลำเอียงรักแต่น้องไม่ส่งเสียแก ทั้งที่ตัวแกเองนั่นแหละที่ไม่ยอมเรียนหนังสือต่อ เลือกจะออกมาทำงานกับป๊าเอง"
หลินนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งราวกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอ เธอเพิ่งเข้าใจความซับซ้อนและความรู้สึกขมขื่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเงียบขรึมและไม่พอใจของเฮียชัยหรือก็คือแปะของตน
มันไม่ใช่แค่เรื่องสินสอดอย่างเดียวแต่มันคือปมปัญหาเรื่องความคาดหวัง ความน้อยเนื้อต่ำใจ และโอกาสในชีวิตที่สะสมมานานหลายปีในครอบครัวผู้อพยพที่ต้องดิ้นรน และตอนนี้มันกำลังจะระเบิดออกมาเพราะสถานการณ์เรื่องแต่งงานบังคับ
บรรยากาศในห้องเงียบลงถนัดตา มีเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของเคี้ยงและเสียงเข็มนาฬิกาเก่าบนฝาผนังที่เดินติ๊กต็อกไปเรื่อย ๆ หลินมองใบหน้าอันเศร้าหมองของหญิงมากวัยกว่าตนด้วยแววตาแห่งความสงสารระคนเห็นใจ
(หรือนี่จะคือเหตุผลที่เราได้ย้อนเวลากลับมา) เด็กหญิงครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปากขึ้นเสียงอ่อน
"อาม่าคะ..." หลินขยับเข้าไปใกล้เอื้อมมือเล็กของตนไปกุมมือหยาบกร้านที่ผ่านการทำงานหนักของม่าแผ่วเบา เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นและความสั่นเล็กน้อย
"อาม่าคงลำบากใจมากเลยใช่ไหมคะ"
น้ำเสียงของหลานสาวเต็มไปด้วยความเห็นใจอย่างแท้จริง ทำให้นางเคี้ยงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาอ่อนล้าของเธอมีน้ำตาคลอหน่วย
"ลำบากกายไม่เท่าไหร่หรอกลูก แต่ลำบากใจนี่สิ..." หล่อยพึมพำ "เงินก้อนนี้...ม่ากับกงอดทนกัดก้อนเกลือกินมาไม่รู้กี่ปี ความฝันทั้งชีวิตของเราสองคนเลยนะ... แต่อาชัยมันก็ลูกทั้งคนจะให้ม่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องงานแต่งของมันได้ยังไง"
"แล้วตอนนี้ม่าจะทำยังไงคะ เพราะเงินส่วนนี้ก็มีส่วนของเฮียชัยด้วยเหมือนกัน" หลินถามหยั่งเชิงเพราะอยากรู้ว่าอาม่าของตนนั้นเป็นคนแบบไหน
"ม่าก็คงต้องให้เขานั่นแหละ" เคี้ยงตอบหลานสาวพลางระบายลมหายใจออกมาเพื่อหวังคลายความอึดอัด
"แต่...อั๊ว" เสียงของกงที่นั่งฟังอยู่ไม่ห่างอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา..ทว่าเขาก็หยุดลงก่อนจะอัดควันยาเส้นเข้าปอดหนัก ๆ หวังบรรเทาสิ่งที่กลัดกลุ้มอยู่ในตอนนี้
"ให้มันไป...อั๊วยังไม่ตายเอาไว้ค่อยหาใหม่" สิ้นคำพูดนั้น ตงก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสันทัดของเขาหันหลังให้ทุกคน ก่อนจะกระแทกส้นเท้าเดินลงบันไดเรือนหายไปอย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าของตงเงียบหายไปทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
ทุกสายตาในห้องหันไปมองตามทิศทางที่ชายวัยกลางคนเพิ่งเดินจากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาของชัย เขายังนั่งนิ่งอยู่กับที่แผ่นหลังตั้งตรงแววตาจับจ้องไปยังช่องบันไดว่างเปล่าระคนวูบไหวในอก
"ม๊า เงินนี่ถือว่าอั๊วยืมก่อนก็ได้ เอาไว้หลังจากอั๊วแต่งงานกับจำปีและได้ทำงานอั๊วจะคืนให้" เสียงของชัยดังขึ้นหลังจากทำการตัดสินใจดีแล้ว
"เฮ้อ! ไม่ต้องหรอก ม๊ารู้ดีว่าเงินนี้ลื้อก็สมควรได้ อีกอย่างลื้อกำลังจะเป็นพ่อคนยังต้องใช้เงินอีกเยอะ อาชัยการเป็นพ่อแม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนะลูก"
คำพูดของคนเป็นแม่ที่ทั้งปลอบประโลมและตอกย้ำถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่กำลังจะมาถึง ทำให้ชัยก้มหน้าลง เขากำหมัดที่วางอยู่บนเข่าแน่น ถ้อยคำที่อยากจะเอ่ยออกมาพลันจุกอยู่ในลำคอ
ในตอนนี้เขามีเพียงความรู้สึกผิดต่อบิดาและความซาบซึ้งใจของมารดา รวมถึงความหนักอึ้งของภาระที่ต้องแบกรับถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง เขาทำได้เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ เท่านั้น
เคี้ยงถอนหายใจยาวอีกครั้งมองลูกชายคนโตด้วยแววตาที่ผสมปนเปกัน ทั้งรัก ทั้งห่วง และเหนื่อยใจ นางรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าของชัยนั้นไม่ง่ายเลยแต่นางก็เลือกที่จะสนับสนุนเขาในฐานะแม่คนหนึ่ง
นางค่อย ๆ ลุกขึ้นเริ่มเก็บกวาดสำรับกับข้าวที่เหลืออย่างเงียบ ๆ คล้ายต้องการให้ทุกคนได้มีเวลาอยู่กับความคิดของตัวเอง
ใช้มองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความเงียบ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเงินที่พ่อกับแม่เก็บไว้ให้เขาเรียนหนังสือคงจะต้องถูกแบ่งไปให้เฮียชัยเสียแล้ว
เด็กชายรู้สึกวูบโหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ตั้งใจเรียน ดังนั้นจึงตั้งใจว่าตั้งแต่วันนี้เขาจะไม่ทำตัวเกเรอีกแต่เจ้าตัวก็ไม่กล้าแสดงออกมากนักเพราะกลัวว่าหากพูดไปแล้วทำไม่ได้ตัวเองจะเป็นที่ขบขัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่นั่งก้มหน้ามองนิ้วมือเพียงเท่านั้น
หลินเองก็รับรู้ถึงความรู้สึกของทุกคนในห้องนี้ได้เป็นอย่างดี ความเสียสละของอาม่า ความโกรธที่แฝงด้วยความเจ็บปวดของอากง ความรู้สึกผิดและกดดันของเฮียชัย ทุกอย่างหนักอึ้งจนบรรยากาศในบ้านหลังเล็กนี้แทบจะไม่มีอากาศให้หายใจ
(การเป็นครอบครัว... มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ สินะ) หลินคิดในใจ รู้สึกสงสารทุกคนเป็นอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่าการย้อนเวลามาของเธอจะช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากน้อยแค่ไหน หรือมันจะยิ่งทำให้ทุกอย่างซับซ้อนขึ้นไปอีก
"ดึกมากแล้ว" ในที่สุดอาม่าก็เป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หลังจากจัดการเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย "ไปนอนกันเถอะลูก มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะ" น้ำเสียงของนางอ่อนล้าแต่ก็ยังคงความอ่อนโยน
ไม่มีใครคัดค้านต่างคนต่างลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ แยกย้ายกันไปจัดการตัวเองก่อนนอน อาม่าดับตะเกียงดวงใหญ่เหลือเพียงแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันก๊าดดวงเล็กที่มุมห้อง ทำให้เงาของแต่ละคนทาบทอไปบนฝาผนังดูวูบไหวและอ้างว้าง
หลินเดินตามอาม่าไปยังเสื่อผืนเก่าตามที่อาม่าบอก เธอล้มตัวลงนอนข้างอาม่าในวัยสาว แม้ตาจะรู้สึกหนักอึ้งทว่าในหัวของเธอกลับยังคงมีแต่ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งและความเสียสละที่เธอเพิ่งได้เห็นเต็มสองตา เด็กหญิงนอนพลิกตัวไปมาพลางพยายามข่มตาให้หลับซึ่งมันช่างเป็นการกระทำที่ยากเสียเหลือเกิน