“ถ้าความเรียบร้อยเป็นคุณสมบัติของผู้หญิงที่ดี ฉันคงสอบผ่านทุกบททดสอบของโลกนี้แล้ว...”
ฉันชื่อ ลินลี่ อายุยี่สิบสี่ปี เติบโตมาในบ้านที่ทุกสิ่งต้องอยู่ในระเบียบ โต๊ะกินข้าวต้องสะอาด ช้อนต้องวางหันหัวออกจากตัว และเสื้อผ้าทุกชิ้นต้องรีดจนเรียบกริบก่อนออกจากบ้าน ฉันไม่เคยโดดเรียน ไม่เคยกลับบ้านเกินสี่ทุ่ม ไม่เคยโกหกพ่อแม่ และแน่นอน...ไม่เคยมีแฟน ใช่ค่ะ ฟังดูเหมือนคนโบราณใช่มั้ย? บางคนบอกว่าฉัน "น่ารัก" บางคนบอกว่าฉัน "น่าเบื่อ" แต่ฉันรู้ตัวดีว่าชีวิตฉันไม่มีอะไรตื่นเต้นเลยสักนิด จนกระทั่งวันหนึ่ง... วันธรรมดา ๆ ที่ฉันนั่งอยู่ในคาเฟ่กับกลุ่มเพื่อนสนิท พวกเธอกำลังเม้าท์กันอย่างออกรสเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ และ...เซ็กซ์ เรื่องที่สำหรับฉัน มันเหมือนอยู่คนละโลก “ลี่ แกไม่เคยเลยจริงดิ?” แพรว เพื่อนสนิทฉันถามพลางหัวเราะเบา ๆ “สมัยนี้ไม่มีแฟนไม่เท่าไหร่ แต่ไม่เคยจูบ? ไม่เคยแม้แต่โดนผู้ชายจับมือแบบใจสั่น? โอ๊ย! แกต้องลองบ้างแล้วว่ะ ชีวิตมันสั้น!” ตอนนั้น ฉันแค่ยิ้มจาง ๆ แล้วส่ายหน้า คำตอบที่ดูเหมือนไม่คิดอะไร แต่ข้างใน…กลับเต็มไปด้วยเสียงบางอย่าง เบา…แต่กัดกินเหมือนเสียงหยดน้ำในห้องมืด เงียบเกินไป จนได้ยินมันชัดเจนขึ้นทุกที "หรือฉันกำลังพลาดอะไรบางอย่างในชีวิตไปจริง ๆ?" บางอย่างมันไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่เป็นความรู้สึกว่า... ชีวิตนี้ฉันได้ “ใช้” จริง ๆ ไม่ใช่แค่รอด … แล้วมันก็เกิดขึ้นในคืนนั้น คืนที่ฉันไม่ได้วางแผนอะไร แค่อยากลอง แค่อยากรู้ แค่อยาก ‘เป็นผู้หญิงธรรมดา’ ที่มีสิทธิ์จะแซ่บบ้าง เขาเดินเข้ามาเหมือนพายุ หล่อจนโลกเบลอ แถมอันตรายพอจะทำให้หัวใจฉันสะดุด ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่า... แค่คืนเดียว จบ แค่นั้น แต่ความจริงคือ... มันไม่เคยง่าย และไม่เคยจบตรงที่คิด เพราะเมื่อไฟมันลุก…ใครบ้างจะหยุดมันได้ฉันกลับมาในโหมดที่ไม่มีเวลาจะหายใจ... หลังค่ำคืนอันแสนวาบหวามบนเรือยอชท์ลำหรู ห้วงเวลาที่ทั้งมหัศจรรย์และเกินจริง จนทำให้ฉันแทบลืมไปว่าโลกแห่งความเป็นจริงยังคงรออยู่ แสงแดดยามเช้ากระทบใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจก เผยให้เห็นร่องรอยของความอ่อนล้า... จากค่ำคืนที่เผาผลาญพลังงาน และเสียน้ำไปหลายยกแบบไม่มีเยื่อใยให้พักหายใจริมฝีปากยังเจือรอยแดงจากการบดขยี้ของชายหนุ่มและดวงตาคู่นี้... ยังไม่ทันลืมสายตาของเขาเมื่อคืนแต่ไม่ว่าจะหวามไหวแค่ไหน เสียงในใจก็เตือนชัด—วันนี้... ลินลี่ ต้องกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง หัวหน้าฉันเมล์มาตั้งแต่ไก่โห่ ว่าต้องไปถึง PWW Tower ให้ทันนัดสำคัญ พลางเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง 9 โมงตรง แม้จะยังอยากนอนทอดกายใต้ผ้าห่มหนานุ่มอีกสักนิด แต่คงไม่ใช่วันนี้ ในจังหวะเดียวกัน เสียง ติ้ง ดังขึ้นพร้อมไฟสว่างวาบบนหน้าจอ ฉันปรายตามองข้อความที่เพิ่งเด้งขึ้นมาแยม: "ฉันกับแพรวจะรีบตรงดิ่งไปหาเธอทันทีที่กลับจากพัทยาช่วงบ่าย พร้อมหิ้วส้มตำเจ้าประจำไปด้วยนะ คิดถึงยัยลี่สุดใจ มีเรื่องเมาท์มอยเพียบเลย!"และในช่วงวินาทีต่อจากนั้นเอง ไลน์จากพ่อกับแม่ก็ตามมาอีกข้อความหนึ่ง “อย่าล
ลินลี่ฉันและพายุ เรานั่งชิวริมบาร์ที่ร้านอาหารแห่งนี้กันได้สักพักแล้ว เสียงเพลงเบา ๆ คลอเคล้ากับกลิ่นลมเย็นในยามค่ำคืน แสงไฟจากสะพานสะท้อนระยิบระยับบนผิวน้ำเหมือนดาวพราวเต็มท้องฟ้าในคืนเงียบสงัดความเงียบปกคลุมช่วงเวลาสั้นๆปลายนิ้วหนาแตะลงบนข้อมือฉันเบา ๆสัมผัสนั้นอ่อนโยนเกินกว่าจะเรียกว่าเผลอ...แต่ก็ไม่ชัดเจนพอให้มั่นใจว่าเขาตั้งใจเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่แนบผ่านข้างแก้มเสียงของเขาเบาจนแทบกลืนไปกับสายลมแต่มันก้องในใจของฉันอย่างชัดเจน “ไปล่องเรือเล่นกันไหม”แค่ประโยคเดียว... หัวใจฉันเหมือนหยุดเต้นไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะกลับมาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนลงในช่วงเวลานั้นและฉันรู้แน่ชัด…ว่าฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆไม่เคยคาดคิดว่า จะมีคืนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกได้มากขนาดนี้ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ มาหลายปี ผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงานับไม่ถ้วนแต่น่าแปลกไม่มีคืนไหนเลยที่เป็นแบบนี้ไม่มีใครเคยดึงฉันออกจากวงจรเดิม ๆ ไม่มีใครเคยพาฉันออกไปเจออะไรที่ต่างจากที่เคยรู้จัก ไม่มีใคร...เคยมองฉันด้วยแววตาแบบนั้น แววตาที่ทำ
(มุมมองลินลี่)ผู้ชายจะมาหาฉันตอนเที่ยงคืน… จริงเหรอ?แค่คิดก็รู้สึกไม่ปกติแล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในชีวิตฉัน เอาจริง ๆ คือ ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ต่างหากฉันยืนอยู่หน้ากระจก มองเงาตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก มือข้างหนึ่งสางผมไปมาอย่างลน ๆ พยายามจัดให้มันดูไม่ยุ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับตั้งใจเกินไป แบบที่เขาจะคิดว่าเรา "เตรียมตัว" อะไรขนาดนั้นเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์ตัวเดิมกับกางเกงขาสั้นธรรมดา มันดูบ้าน ๆ จนน่าเอามือปิดหน้า แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ ฉันไม่ใช่คนที่มีลุคเป๊ะพร้อมรับแขกตลอดเวลา แล้วเขาก็กำลังจะมาถึงภายในไม่กี่นาที จะให้วิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าก็คงไม่ทันฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ สูดลมหายใจให้เต็มปอด แล้วปล่อยออกช้า ๆ ตามคำแนะนำที่เคยอ่านในบทความคลายเครียด แต่ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ใจยังเต้นแรงเหมือนเดิมแล้วก็มีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวแบบไม่ยอมหยุด เขามาทำไม? มาตอนนี้เพื่ออะไร? จะพูดเรื่องอะไร? หรือแค่ผ่านมาเฉย ๆ แต่ทำไมต้อง "ตอนนี้"? ฉันควรต้องหอบเอกสารลงไปด้วยไหม? หรือว่าเขาจะพูดเรื่องงาน? หรือไม่ใช่เลย… เรื่องส่วนตัว? หัวฉันเริ่มตีกันเองไปหมด ขณ
พายุทันทีที่รถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์ชานนวิวัฒน์ ผมก้าวลงด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ลมเย็นปะทะหน้า แต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อยผมเดินตรงไปยังห้องบาร์ด้านในสุดโดยไม่ลังเล เพราะผมรู้ดีว่าเขาอยู่ตรงไหนและอยู่กับใครในเวลานี้พ่อกำลังนั่งอยู่ในมุมโปรด จิบวิสกี้เงียบๆ ราวกับทุกอย่างในโลกนี้ไร้ความหมาย ไม่มีอะไรสำคัญพอจะทำให้เขาขยับตัวแม้แต่นิดเดียว“ว่าไง พายุ”เสียงทุ้มของพ่อเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้าไป ดวงตาคมจ้องตรงมา ไม่มีการหลบเลี่ยง เขาสะบัดมือเบาๆ ไล่หญิงสาวที่ยืนอยู่เงียบๆ ข้างเก้าอี้ออกไปเขายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วเบาๆ เหมือนตั้งใจจะเติมความกดดันเข้าไปอีกนิด ก่อนเอ่ยประโยคถัดไป“ฉันได้ข่าวว่าไมเคิลตายแล้ว... เสียดายนะ เขาเป็นคนที่ฉันไว้ใจ”ผมนิ่ง ไม่ได้ตอบ ไม่ใช่เพราะเสียใจเรื่องไมเคิล แต่เพราะกำลังดูสีหน้าพ่อ เขาเฉยชาจนผิดปกติ เขาวางแก้วลงบนโต๊ะไม้แน่นๆ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“แล้วทำไมแกถึงต้องลงมาจัดการเรื่องนี้เอง?”ผมจ้องตาเขาตรงๆ ไม่แม้แต่จะกระพริบตาก่อนตอบไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“เพราะผมอยากพิสูจน์ว่าผมไม่ได้มีดีแค่ภาพเพลย์บอยไม่มีแก่นสาร”ผมหยุดหา
พายุผมก้าวออกจากห้องน้ำชายของห้องบอลรูมด้วยท่าทีเรียบเฉยแม้ข้างในใจมั่นจะระส่ำอยู่ไม่น้อยก็ตาม เงาของผมทอดลงบนพรมแดงหรูใต้เท้า แสงไฟระย้าเหนือศีรษะสะท้อนลงมาที่รองเท้าหนัง และ...เธอก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ‘มาริสา’ เธอจ้องผมอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เสียงเธอเบา แต่ตรงมาริสา: “พายุ ดูสีหน้าคุณไม่โอเคเลย ค่ะ” ใช่เธอมองผมออกแม้ว่าผมจะซ่อนมันไว้อยู่ก็ตาม ผมก็หลบสายตาเธอโดยอัตโนมัติ สูดลมหายใจเบาๆ ตอบไปอย่างลวกๆพายุ: “ไม่มีอะไร ครับ”มาริสา: “ฉันมาตามคุณไปร่วมสัมภาษณ์กับสื่อค่ะ”เธอยิ้ม รอยยิ้มที่ดูดีจนสื่อรัก แต่ผมรู้ดีว่าข้างในไม่ได้ยิ้มด้วย เสียงของเธอนุ่มนวล ตัดกับเนื้อหาที่แท้จริงที่ฟังดูไม่ต่างจากคำสั่งมาริสา: “นักข่าวจาก The DealWire อยากสัมภาษณ์คุณ เกี่ยวกับโปรเจกต์ใหญ่ที่กำลังจะรวมตัวของ ตระกูลเรา...ค่ะ”ผมพยักหน้าเล็กน้อยพอเป็นพิธี ไม่แสดงสีหน้า แล้วตอบไปเรียบ ๆ เหมือนเดิม“ครับ”จากนั้นผมก็ก้าวเท้ายาว ๆ ออกจากมุมเงียบ เข้าสู่พื้นที่สื่อมวลชน…แชะๆๆๆๆ...เสียงกล้องกระหน่ำเหมือนฝนไม่ลืมหูลืมตา คำถามปลิวมาทุกทิศ ผมตอบทุกคำ ตามสคริปต์ ตามที่ซ้อมไว้หน้ากระ
พายุทันทีที่ผมเหยียบเข้าสู่ชั้นบอลรูมของโรงแรมชื่อดังภายใต้ชื่อ De Lacour Vincent สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่าและความหรูหรา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเมรัยชั้นดี ลอยมาตามอากาศเสียงเพลงแจ๊สไหลวนคล้ายละอองควัน มันไม่ใช่แค่ดนตรี แต่มันคือม่านบาง ๆ ที่คั่นโลกของคนธรรมดากับโลกที่กำลังจะกลืนผมเข้าไปแสงไฟสลัวขับให้คริสตัลระยิบระยับบนเพดานเปล่งประกาย แขกแวดวงธุรกิจและผู้คนในสังคมชั้นสูงต่างสวมรอยยิ้ม ที่เหมือนถูกแกะสลักด้วยมีดบาง ๆขณะบทสนทนาแต่ละคำคล้ายกลั่นกรองมาแล้วจากห้องประชุมลับของจิตใจทุกคนดูเหมือนรู้บทบาทของตนดี ต่างสวมชุดหรูหราราวกับอยู่ในแฟชั่นโชว์ระดับโลก พร้อมด้วยชื่อและตำแหน่งที่พ่วงท้ายมาด้วยน้ำหนักของอำนาจหรือมรดกผมหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึกอย่างแนบเนียนก่อนจะก้าวเข้าไปทักทายกลุ่มนักธุรกิจจากหลายบริษัทด้วยท่วงท่าเงียบขรึมแต่หนักแน่นสายตาของผมเรียบนิ่ง แต่เฉียบคมพอจะทำให้ใครบางคนรู้สึกถูกมองทะลุภายนอกผมอาจดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับสวมสูทของความมั่นใจแต่ในความเป็นจริง ใต้เงาเสื้อผ้าราคาแพงและรอยยิ้มนั้นผมซ่อนบางอย่างไว้อย่างแยบยลที่ใครยากจะหยั่งถึงพลัน…เสีย