ใช่แล้วค่ะ... ฉันเปลี่ยนหน้าจอคอมจากงบการเงินที่ตัวเลขยังขัดแย้งกันไปหมด
ไม่ใช่เพราะสมการไม่สมดุล แต่เพราะสมองฉันมัน ‘ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว’มันมัวแต่ย้อนไปเมื่อคืน ภาพในหัววนซ้ำเหมือนวิดีโอที่กดรีเพลย์
...เสียงหัวเราะต่ำ ๆ นั่น ...แววตาเจ้าเล่ห์แบบที่ทำให้ฉันอยากหันหน้าหนีแต่ขากลับไม่ยอมก้าว ...และ ‘สัมผัส’ ที่มันดันจุดอะไรบางอย่างในตัวฉันขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตฉันถอนหายใจ แต่ดวงตาฉันกำลังจ้อง G****e เหมือนเป็นช่องทางสืบราชการลับ
ฉันแปลงนิ้วตัวเองให้เป็นสายสืบพิเศษทันที มือก็ค่อย ๆ พิมพ์ลงในช่องค้นหา...“พายุ”ชื่อเดียวที่ฉันมี
ชื่อเดียว ที่มันดังก้องในหัวตลอดเช้านี้...แล้วฉันก็นั่งค้างอยู่ตรงนั้น
นิ้วชะงักกลางแป้นพิมพ์ สายตาจ้องจอเหมือนคนโดนสาปเพราะฉันไม่รู้จะต่อยังไงต่อ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่ากำลังจะเจออะไร...หรือว่าอยากเจออะไรมีแค่เสียงในหัวที่ดังก้องอยู่เงียบ ๆ
"นี่ฉัน...กำลังจะเริ่มอะไร ที่มันควรเริ่มหรือเปล่านะ?"…
แต่ในอีกมุมหนึ่งของเมือง— ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทน้ำเงินเข้ม ยืนนิ่งอยู่กลางเวทีแสงไฟสาดสว่าง แสงแฟลชจากกล้องรอบตัวกะพริบรัวราวกับสายฟ้าในพายุ แต่ใบหน้าของเขากลับนิ่ง…ราวกับคุ้นชินกับมันทั้งหมดผู้ชายที่ใคร ๆ พากันเรียกว่า ‘เพอร์เฟกต์เกินจริง’
ทั้งหน้าตาคมเข้มเหมือนรูปปั้นหินอ่อนในพิพิธภัณฑ์ยุโรป โปรไฟล์ดีตั้งแต่เกิด และไม่ต้องพูดถึงดีกรีนายแบบระดับนานาชาติ ที่เพียงแค่ยืนเฉย ๆ โลกก็ดูเหมือนจะหยุดหมุนเพื่อเขาแต่ในจังหวะที่กล้องยังไม่หยุดกดชัตเตอร์
ภายใต้แววตาคมเข้มที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์นั้น... ความคิดของเขากลับลอยไปไกล ติดอยู่กับใบหน้าคนคนหนึ่ง ที่เพิ่งเข้ามา… แต่กลับฝังลึกอย่างน่าประหลาด..ทันทีที่งานแถลงข่าวจบ พายุก็เดินเข้าไปทักทายแฟนคลับกลุ่มเล็ก ๆ ที่รออยู่ด้านหน้า เขายิ้มบาง ยื่นลายเซ็น พร้อมพูดคุยสั้น ๆ อย่างสุภาพ แม้จะมีคนรุมล้อม จนกระทั่ง เขาเงยหน้าขึ้น และภาพตรงหน้า...ก็ทำให้หัวใจเขากระตุกวูบผู้หญิงคนหนึ่งในเดรสสีแดงสด รัดรูปจนเผยส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน
ยืนยิ้มราวกับรู้ทัน"มาริสา" ลูกสาวของนักธุรกิจชื่อดัง ผู้ครอบครองทั้งอิทธิพลในวงสังคมและฟอลโลเวอร์นับล้านในโลกออนไลน์ เธอคือนางแบบมืออาชีพวัย 30 ปี ที่รู้จักทุกจุดแข็งบนเรือนร่างตัวเอง และใช้มันอย่างมั่นใจไม่ต่างจากอาวุธใบหน้าคมเฉียบรับกับกรอบหน้ารูปไข่ ผิวเนียนสีน้ำผึ้งล้อแสงแดดยามสาย เผยให้เห็นความเรียบเนียนละเอียดราวกำมะหยี่ใต้ชุดเดรสเข้ารูปเนื้อผ้าชั้นดี
ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ส้นสูงคู่หรูเคาะพื้นซีเมนต์กึก... กึก... กึก... ...เหมือนเสียงของใครบางคนที่กำลังจะเปลี่ยนทิศทางของเกมเธอเดินตรงเข้ามา
ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีชา ทอประกายวาวระยับ เหมือนนักล่าที่เพิ่งพบเหยื่อในวินาทีที่อีกฝ่ายหนีไม่พ้น“พายุ... หยุดก่อนสิคะ”
เสียงของเธอนุ่มชัด แฝงแรงกดดันบางเบา ราวกับคำพูดนั้น...ไม่ใช่คำขอ แต่คือคำสั่งที่เธอรู้แน่ว่าเขาจะต้องได้ยินพายุกระชากสายตากลับ รีบหันตัวและเดินตรงขึ้นรถทันที
ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง“อย่ามาทำแบบนี้อีก มาริสา” เขาพึมพำกับตัวเอง
ขณะมือบีบพวงมาลัยแน่น และขับออกไปจากตรงนั้น เหมือนอยากหนีเจ้ากรรมนายเวร ในรูปของแฟนเก่าที่ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ …บนถนนทางเข้าที่ปูด้วยหินแกรนิตเรียงตัวเป็นระเบียบรถสปอร์ตสีดำเงาวับ แล่นเข้ามาด้วยเสียงเครื่องยนต์ต่ำ ๆ ทว่าเต็มไปด้วยอำนาจ แสงแดดสะท้อนเงารถเป็นประกายราวกับมีแสงไฟเฉพาะทางของมันเอง มันมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรส่วนตัวที่มีแต่ไม่กี่คนจะได้เหยียบย่างเข้าไป คฤหาสน์ชานนวิวัฒน์ ตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ดินกว่า 40 ไร่ บนทำเลทองของกรุงเทพฯด้านหลังพวงมาลัยคือ ทายาทผู้ครองอาณาจักร
ชานน วิวัฒน์ ลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับต้น ๆ ของประเทศ เจ้าของห้างสรรพสินค้า คอนโดระดับลักชัวรี และเครือโรงแรมระดับห้าดาวในเมืองไทย แววตาคมดุจใบมีดที่ไม่ต้องเปล่งเสียงก็ทำให้ใครหลายคนต้องถอยเขาเติบโตท่ามกลางคำว่าหรูหรา ได้ทุกอย่างที่ต้องการตั้งแต่ยังไม่ทันได้ขอ แต่สิ่งที่ไม่มีใครเคยสอนเขาเลย...คือการรักใครโดยไม่ต้องใช้เงิน…
ทันทีที่รถจอดสนิท บอดี้การ์ดชุดดำหลายคนก็รีบตรงเข้ามายืนประจำตำแหน่ง“คุณชายครับ เจ้าสัวไม่อนุญาตให้ขับรถเองนะครับ”
พายุลดกระจกลงเล็กน้อย ยิ้มนิด ๆ แบบไม่ใส่ใจนัก
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
เขาตอบเรียบ ๆ น้ำเสียงไม่ได้สูง...แต่เด็ดขาดพอให้คนทั้งแถวยอมถอยมือหนาผลักประตูรถออกอย่างไม่ลังเล ไม่รอใครเปิดให้ตามมารยาท เพราะพายุ ไม่เคยขออนุญาตใครในชีวิต
แม้จะเป็นคำสั่งจาก “เจ้าสัว” ตัวจริง ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้นเขาไม่ชอบให้ใครควบคุม
เพราะโลกนี้...เขาโตมากับคำว่า "ทุกอย่างซื้อได้" ยกเว้นอิสระของเขาเองร่างสูงในเสื้อเชิ้ตเข้ารูปกับนาฬิกาหรูแบรนด์โหด เดินเข้าประตูหน้าบ้านราวกับเจ้าป่า
แต่บอดี้การ์ดทั้งแถวยังต้องเดินตาม ห่างพอไม่ให้เกะกะ—ใกล้พอจะช่วยทัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นเสียงรองเท้าหนังแตะพื้นหินอ่อน ดังสะท้อน ไปทั่วโถงสูงเพดาน
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่พ่อเขาทุ่มเงินสร้างเพื่อโชว์อำนาจ แต่พายุ...กลับใช้มันแค่เป็นที่ซ่อนตัวของทุกอย่างในบ้านดูแพงฉิบหาย
แต่บรรยากาศมันเย็นเยียบเหมือนโรงแรมหรูที่ไม่มีแขก โซฟาหนังแท้ไม่มีรอยยับ โต๊ะอาหารสิบที่นั่ง แต่ไร้จาน แชนเดอเลียร์ระยิบระยับ แต่ไม่มีใครแหงนมองบ้านคนรวย...ที่ไม่มีใครอยู่จริง
เพราะเขาไม่เคย "กลับบ้าน" แบบคนอื่นพายุเดินตรงไปยังบันไดโดยไม่หัน
ไม่พูด ไม่ชี้ ไม่สั่งใคร แต่ทุกคนรู้ว่า—เขาไม่ต้องพูด คนก็ขยับตามอยู่ดีนี่คือโลกของเขา
โลกที่ไม่มีใครบังคับเขาได้ ...จนถึงตอนนี้“คุณพายุครับ เราต้องเลี้ยวเข้าทางสวนมะม่วงนี้นะครับ…จะมืดแล้วด้วย มันจะโอเคจริง ๆ เหรอครับ?”บอดี้การ์ดคนสนิทของผมเริ่มลังเล น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเส้นทางที่เรากำลังจะเข้าไปเป็นถนนดินลูกรัง ไร้แสงไฟ และทอดผ่านสวนมะม่วงเขียวครึ้ม“ขับไปตามเส้นทางที่วางไว้เถอะครับ” ผมตอบสั้น ๆอย่างไม่หวั่นไหว รถสปอร์ตคันเงาค่อย ๆ แล่นไปตามทางดิน ผ่านใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมอ่อนยามค่ำ ผมลดกระจกลงเล็กน้อย สวนมะม่วงสองฝั่งเต็มไปด้วยผลสุกหอม กลิ่นละมุนและสีเขียวชอุ่มที่ไม่คุ้นตา เส้นขอบฟ้าเปล่งแสงสีแดงส้มเติมแต่งบรรยากาศให้ดึงดูดใจผมอย่างยิ่ง อาจเพราะมันเผยอีกด้านหนึ่ง… ด้านที่ผมไม่เคยสัมผัสข้าง ๆ เบาะ ผมวางช่อดอกไม้ พร้อมโน้ตใบหนึ่งที่เขียนคำว่า “ขอโทษ… จากใจผม” ซึ่งผมตั้งใจมอบให้หญิงสาวผู้ใสซื่อ เหมือนความหมายของชื่อเธอ ด้วยมือของผมเองรถเคลื่อนตัวช้า ๆ ลัดเลาะผ่านสวนผลไม้ของชาวบ้าน บอดี้การ์ดสลับสายตาระหว่างแผนที่กระดาษขนาดเล็กในมือกับถนนเบื้องหน้า… จนในที่สุด รถก็หยุดนิ่ง เขาหันมาช้า ๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงมั่นใจ “ถึงแล้วครับ คุณพายุ ”ผมก้าวลงจากรถ อย่างไม่ไหวเอน แสงอาทิตย์สีส้มกำลังลับขอบฟ้า
ตึก…ตึก…เสียงหัวใจของ เจ้าสัวชานน เต้นหนัก ทุกก้าวของรองเท้าหนังเงาวับกระแทกพื้นหินอ่อนก้องสะท้อนทั่วคฤหาสน์ ความโมโหพวยพุ่งไล่ไปตามเส้นเลือด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ ดั่งภูเขาไฟที่จวนปะทุปัง! มือหนาผลักบานประตูห้องนอนจนไม้สั่นสะเทือนภายในกลับเงียบงันเตียงเรียบกริบไร้รอยยับ ระเบียงเปิดอ้า ลมพัดผ่านม่านสีครีมไหวเอื่อย ตัดกับหัวใจของเจ้าสัวที่กำลังลุกโชนเป็นไฟ ราวกับขุมเพลิงนรก ลางสังหรณ์คลืบคลานเข้ามาเหมือนเงาดำเกาะแน่น เจ้าสัวชานน รู้สึกได้ถึงความดันเลือดพุ่งสูงทุกวินาที สายตากวาดมองรอบห้องก่อนเหลือบไปเห็น บานตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้ม เท้าหนักขยับเข้าใกล้ หัวใจเต้นรัวระส่ำเหมือนลุ้นผลชี้ชะตาแกร๊ก …ข้างใน…เหลือเพียง ชุดทักซิโด้สีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตเพื่องานในวันนี้โดยเฉพาะ แขวนอยู่กลางตู้เด่นชัดเหมือนตั้งใจจะเย้ยหยัน ใต้ไม้แขวนมีกระดาษโน้ตใบเล็ก ติดอยู่ด้วยหมุดเงิน บนกระดาษมีลายมือที่เขาจำได้แม่น “ผมขอเป็นเจ้าของหัวใจตัวเองนะครับ พ่อ”โลกทั้งใบดับวูบราวมีใครตัดกระแสไฟลงฉับพลัน เสียงทุกอย่างหายไปกลายเป็นความเงียบหนาหนักจนหูอื้อ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บลามขึ้นขมับ ลมหายใจขาดห้วง สายตาพร่า
เช้าวันนี้ ฉันกับแม่ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ขูดมะพร้าว คั้นน้ำกะทิ เตรียมข้าวเหนียวมูนอย่างตั้งใจ ตัดมะม่วงสุกอย่างละเมียดละไม จนตอนนี้ ข้าวเหนียวมะม่วงในกล่องถูกจัดไว้อย่างสวยงาม แต่ละกล่องแต่งด้วยดอกกล้วยไม้สดสีม่วง วางเรียงเป็นแถวสะดุดตาฉันหยิบตะกร้าไม้หวายขึ้นมา แล้วเรียงกล่องทีละใบอย่างเบามือ เพราะรู้ดีว่าหากเผลอเอียงไปแม้เล็กน้อย ความตั้งใจทั้งหมดอาจเสียหายไปทันที“เสร็จหรือยังจ้ะ ลินลี่?”“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉันตอบพลางเงยหน้าขึ้น ขณะวางกล่องสุดท้ายลงในตระกร้าวันนี้ ทั้งสองคนแต่งตัวเหมือนกำลังจะไปงานสำคัญระดับกรมทหาร พ่อมาในสูทเรียบกริบไร้ที่ติ ส่วนแม่ก็เลือกชุดผ้าไหมแขนกระบอกที่ดูอ่อนช้อยส่วนฉันสวมเดรสแขนกุดสีฟ้ายาวเกือบปิดข้อเท้า คลุมไหล่ด้วยผ้าเรียบสีอ่อน ทุกอย่างดูเป๊ะไปหมดราวกับภาพที่พ่อแม่ออกแบบไว้ล่วงหน้า…พ่อขับรถออกจากสวนมะม่วง ใช้เวลาไม่นานนัก…เราก็มาถึงบ้านของอเล็กซ์ บ้านไม้สักทรงไทยสีแดงทั้งหลังตั้งโดดเด่น อยู่บนที่ดินกว่าสิบไร่ เมื่อเลี้ยวรถผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้าง เสียงเครื่องยนต์ดับลงพอดี ทั้งสามคนก็เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ฉันรู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ก้าวลงจ
ยิ่งห่างจากแสงสีและความวุ่นวาย มากเท่าไร ความโล่งใจยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้นนะ ลินลี่ เสียงหัวใจของฉันกระซิบแผ่วเบา ขณะกำมือถือเอาไว้ ก่อนจะกดปิดแล้วโยนมันลงกระเป๋าเหมือนสิ่งไร้ค่า เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ของครอบครัว ทุกสิ่งจากโลกภายนอกก็เหมือนไร้ความหมายไปทันทีรถเคลื่อนเข้าใกล้บ้านทีละนิด ความกดดันค่อย ๆ หลุดลอยไปทีละชั้น แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดผ่านสองข้างทาง สวนผลไม้ที่คุ้นตา กลิ่นมะม่วงสุกและความเขียวขจีพาฉันย้อนกลับไปสู่ความทรงจำในวัยเยาว์ฉันปีนต้นมะม่วง พลัดตกลงมา ร้องไห้เจ็บปวด พ่อแม่ต้องคอยปะคบปะหงมปลอบประโลม ความห่วงใยนั้นตีขึ้นมาอีกครั้งในใจ เพียงแค่คิด ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาเติมเต็มหัวใจ ฉันเผลอยิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับได้สัมผัสรักแท้ที่ไม่มีข้อแม้ ความรู้สึกนั้นค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว รถเคลื่อนผ่านสวนผลไม้ไปอย่างช้าๆ กระจกลงต่ำสุดลมกระทบใบหน้าฉันเบาๆ ฉันยื่นแขนออกไปให้มือสัมผัสใบไม้ไปที่ละใบ…ทีละใบไปเรื่อยๆในที่สุด… ก็มาถึง.. บ้านไม้สองชั้นตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนมะม่วงเขียวชอุ่ม ร่มรื่นเสียงเรือที่แล่นผ่านคลองหลังบ้านดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ เหม
ผ่านมาสองวันเต็มที่ฉันปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบในห้องแคบ ๆ … จนเวลาค่อย ๆ บรรเทาความอึดอัด ในใจให้จางลงทีละน้อยตอนนี้สายตาฉันหยุดนิ่งที่หน้าจอแท็บเล็ต ข่าวด่วนพาดหัวใหญ่ราวกับแถลงการณ์ทางการของผู้ทรงอำนาจ โดดเด่นจนกลบข่าวฉาวเมื่อวานไปหมดสิ้น“เจ้าสัวชานนท์วิวัฒน์ ประกาศยืนยันพิธีหมั้นของบุตรชายเพียงคนเดียว ‘พายุ’ กับ ‘มาริสา’ นางแบบชื่อดังและทายาทของตระกูลเดอลากูล อย่างเป็นทางการ วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา”ตัวอักษรบนหน้าจอชัดเจนเหมือนกำลังตบหน้าฉันเต็มแรง ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา…ก็แค่ความฝันสั้น ๆ ที่ไม่เคยมีอยู่จริง ฉันปิดแท็บเล็ตลงอย่างเด็ดขาด สูดลมหายใจเข้าลึก บังคับให้หัวใจที่สั่นไหวกลับมาเข้าที่ กดความเจ็บแน่นไว้ข้างใน แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง“พอแล้ว…ดราม่าทั้งหมด จบแค่นี้” เพราะโลกไม่ได้หยุดหมุนแค่วันนี้ ฉันยืดหลังตรง ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า วันนี้คือวันที่ต้องกลับราชบุรี ตามสัญญากับครอบครัว แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เสียงวิดีโอคอลจากมือถือก็ดังขึ้น นิ้วเรียวสไลด์รับแทบจะทันที ราวกับกลัวว่าถ้าช้าไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำภาพบนหน้าจ
“ลินลี่… เธอจะแจ้งตำรวจไหม?” แพรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขณะที่สายตาเธอจ้องมาที่ฉัน ตอนที่ปลายนิ้วกำลังเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากแก้ม“ไม่เป็นไรหรอก แพรว..แยม”เสียงฉันเบา ราวกับยังไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองด้วยซ้ำ“เธอ… แน่ใจนะ ลี่?” แยมเอ่ยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉันถอนหายใจลึก ๆ ก่อนตอบออกไปอย่างไม่ง่ายดาย “ฉัน..แน่ใจ”แพรวพยักหน้าช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ ก่อนจะพูดตรงไปตรงมา“ฉันรีบมาเลยนะ ตอนเห็นภาพผู้หญิงใส่เดรสครีมนั้นแค่เสี้ยววินาที ฉันก็มั่นใจว่าเป็นแก แต่ฟังนะ ลี่…ฉันกับแยมไม่เคยคิดจะตำหนิแกหรอก อย่างน้อยสิ่งที่แกเลือกทำ มันก็คือการลองออกจากกรอบเดิม ถึงจะเจ็บ ถึงจะทิ้งรอยแผลไว้…แต่มันก็คือประสบการณ์ ที่ไม่มีใครแย่งไปจากแกได้”แยมขยับเข้ามาใกล้ ยกมือแตะไหล่ฉันเบาๆ “แต่แกน่าจะบอกพวกเรานะ ว่าแอบไปเดทกับพายุ อย่างน้อยฉันกับแพรวจะได้ดูอยู่ข้างหลังคอยกันไม่ให้ใครทำร้ายแก”ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาของแยมที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ทั้งหนักแน่น ทั้งห่วงใย ก่อนที่คำพูดจะพรั่งพรูออกมา“ลินลี่…แกเดินเร็วเกินไปแล้วนะ ลองถอยกลับมาสักก้าวได้ไหม? สำคัญที่สุด…เป็นไปได้ออกมาจากตรงนั้นเถอะ ที่ผ