FAZER LOGINเมื่อนักเขียนช่างฝันต้องรับคำท้าของมหาเศรษฐีจอมหยิ่ง เดิมพันด้วยหัวใจ กับเกมที่กติกาเดียวคือ...ห้ามรัก เธอเชื่อในรักแท้ แต่โชคชะตากลับเหวี่ยงเธอให้มาพบกับ กู้เทียนอี้ มหาเศรษฐีผู้มองความรักเป็นเพียงเกมเย้ยหยัน เขาเสนอบทเรียนราคาแพงที่มีหัวใจของเธอเป็นเดิมพัน ปลายทางมีเพียงสองทางเลือก...โบยบินไปกับเขา หรือร่วงหล่นจนแหลกสลาย ทว่าเธอจะเอาชนะเกมที่ห้ามตกหลุมรักได้อย่างไร ในเมื่อเพียงสบตาเขาครั้งแรก เธอก็พ่ายแพ้ไปแล้วทั้งหัวใจ
Ver mais“ผมมีข้อเสนอจะให้คุณ”
น้ำเสียงทุ้มพร่าเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ หากแต่กังวานอยู่ในความเงียบของห้องราวกับมนตร์สะกด หลินซีเผลอกลั้นหายใจ หัวใจกระตุกวูบไปกับสุ้มเสียงที่นุ่มนวลดุจเครื่องดนตรีชั้นเลิศ
“ค่ะ”
เธอตอบรับเสียงแผ่ว พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มคู่นั้น ดวงตาที่เปล่งประกายคมปลาบราวกับรัตติกาลที่ประดับด้วยดาวนับล้านดวง
ทว่าแววตาที่จ้องกลับมากลับเจือไปด้วยความหยอกเย้า หรือบางทีอาจเป็นความเย้ยหยัน เธอรอ...รอให้เขาเอ่ยประโยคถัดไป แต่เขากลับนิ่งเงียบ ปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันอย่างเลือดเย็น บีบคั้นเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
ความอึดอัดเริ่มเกาะกุมจนเธอทนไม่ไหว
“แล้ว...ข้อเสนอของคุณคืออะไรเหรอคะ”
ริมฝีปากหยักได้รูปของเขาค่อย ๆ เผยอออกเป็นรอยยิ้มอย่างเชื่องช้า เป็นรอยยิ้มที่เผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาด แต่กลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลย เขายังคงไม่พูดอะไร ปล่อยให้เธอจมอยู่กับความสับสนของตัวเองต่อไป
“หรือว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดคะ” ครั้งนี้หลินซีกระแทกเสียงถาม ความหงุดหงิดฉายชัดขึ้นมาในแววตา
ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก
“ผมมีเรื่องจะพูดเยอะแยะเลยล่ะครับ” ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นลูบไล้ไปตามเส้นผมสีดำขลับของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูสง่างามจนน่าโมโห “แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณพร้อมที่จะฟังมันแล้วรึยัง”
“ก็เห็นอยู่ว่าฉันพร้อมแล้ว”
เธอสวนกลับทันควัน พลางเสมองไปทางอื่นอย่างรวดเร็วเกินไปจนดูมีพิรุธ แผงอกกำยำที่โผล่พ้นสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งไม่ได้ติดกระดุมสองเม็ดบนนั้น ดึงดูดสายตาอย่างร้ายกาจ จินตนาการบ้า ๆ แล่นพล่านเข้ามาในหัว อยากให้เขาปลดกระดุมเม็ดที่เหลือ...อยากเห็นกล้ามเนื้ออกที่ซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อผ้า...อยากกระชากเนคไทที่คลายออกอย่างหลวม ๆ นั่นทิ้งไป แต่เธอก็ทำได้เพียงกำมือแน่น พยายามสะกดความปรารถนาของตัวเองไว้ เธอจะไม่มีวันให้เขารู้เด็ดขาดว่าเธออ่อนแอต่อเสน่ห์ของเขามากแค่ไหน
“ดีครับ” เขาก้าวเข้ามาใกล้เธออีกหนึ่งก้าว ตัดระยะห่างระหว่างพวกเขาทันที
หลินซีกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออีกครั้ง หัวใจในอกเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก ผิวเนื้อร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“แล้ว...ข้อเสนอของคุณคืออะไรคะ”
น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาราวกระซิบ เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สัญชาตญาณกำลังกรีดร้องให้ออกห่างจากชายคนนี้ เธอพอจะเดาได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร แต่ใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะหาคำตอบรับมือกับเกมบ้า ๆ ของเขาได้อย่างไร เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะมีสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับใคร ยิ่งกับคนที่แทบไม่รู้จักอย่างเขาด้วยแล้ว
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณพร้อมแล้วจริง ๆ” เขาหัวเราะในลำคอขณะก้าวตามเข้ามาอย่างคุกคาม
“ฉันบอกว่าพร้อมแล้วไงคะ” ครั้งนี้เธอหยัดยืน ไม่ยอมถอยอีก เธอจะไม่ยอมให้เขาได้ใจไปมากกว่านี้
“ผมต้องแน่ใจก่อนว่าคุณจะรับมือผมไหว”
เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองช้า ๆ เป็นภาพที่อันตรายและเซ็กซี่อย่างเหลือร้าย ในชั่วขณะนั้น หลินซีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแกะที่กำลังจะถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์ขย้ำ
“รับมือเรื่องอะไรคะ”
เธอกลืนน้ำลายอีกครั้ง สายตาเจ้ากรรมกลับทรยศความคิดโดยเลื่อนไปจับจ้องยังต้นแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม สมองเจ้ากรรมกลับวาดภาพว่ามันจะรู้สึกอย่างไร หากแขนคู่นั้นจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงเธออยู่บนเตียง เธอหน้าแดงก่ำกับความคิดของตัวเอง
ให้ตายสิ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่...
“ทุกเรื่อง” เขาเอ่ยเรียบ ๆ แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับลากไล้สำรวจเรือนร่างของเธออย่างจาบจ้วงราวกับจะเปลื้องผ้าเธอด้วยสายตา
“ทุกเรื่องเหรอคะ” เธอเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง
“ผมอยากจะให้คุณยอมจำนนต่อผม...หลินซี” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าลงราวกับเสียงคำราม เปลวไฟแห่งความปรารถนาลุกโชนขึ้นอย่างเปิดเผยในดวงตาของเขา
“ว่าไงนะคะ!” ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เขาไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด เธอคาดว่าเขาจะอ้อมค้อมกว่านี้ แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะชอบตัดเข้าประเด็นเลย
“ผู้ชายอย่างผม...อยากได้อะไรก็ต้องได้...เมื่อไหร่ที่ต้องการ” กู้เทียนอี้ปลดเนคไทของตัวเองออกแล้วโยนมันลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี ราวกับกำลังปลดเปลื้องพันธะชิ้นสุดท้าย “นั่นคือสิ่งที่คุณต้องจำไว้”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอมองตามเนคไทที่กองอยู่บนพื้น แล้วเงยหน้ามองเขา
เขาจะทำอะไรต่อไป?
“แน่ใจเหรอครับ”
ร่างสูงขยับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแต่เด็ดขาด ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองออกทีละเม็ด...ทีละเม็ด...ทุกวินาทีที่ผ่านไปเหมือนถูกยืดออกจนยาวนาน หลินซีรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวถูกสูบออกไปจนหมดขณะจ้องมองแผ่นอกสีมะกอกที่ค่อย ๆ เผยออกมา นี่มันเหมือนความฝัน ช่างเป็นฝันร้ายที่แสนยั่วยวน
“ค่ะ” เธอพยักหน้า พยายามกลืนน้ำลายอีกครั้ง แต่ในคอกลับไม่มีน้ำลายเหลืออยู่แล้ว เขาถอดเสื้อเชิ้ตออกแล้วโยนมันไปกองอยู่ข้าง ๆ เนคไท “คุณ...คุณกำลังทำอะไรคะ” เธอถามเสียงสั่นเมื่อปลายนิ้วของเขาเลื่อนไปที่หัวเข็มขัด เธอมองตามมือของเขาที่ปลดมันออกอย่างชำนาญ
ไม่นะ...เขาคงไม่ได้จะถอดเสื้อผ้าทั้งหมดจริง ๆ ใช่ไหม
“ดูเหมือนอะไรล่ะครับ” เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองแล้วก็ยิ้มมุมปากใส่เธอ
“ทำไมคุณถึงถอดเสื้อผ้า”
“แล้วคุณคิดว่าทำไม” เขาไม่ตอบ แต่กลับก้มลงถอดกางเกงสีกรมท่าของตัวเองออก บัดนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เกือบจะเปลือยเปล่า เหลือเพียงบ็อกเซอร์สีขาวที่ปกปิดความเป็นชายของเขาไว้เท่านั้น
“คุณกู้เทียนอี้...”
ในหัวของเธอหมุนติ้ว ลำคอแห้งผาก ให้ตายเถอะ เขาเซ็กซี่เกินไปแล้ว
“ครับ?”
รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น ก่อนจะก้าวออกจากบ็อกเซอร์ชิ้นสุดท้าย ตอนนี้เขาเปลือยเปล่าโดยสิ้นเชิง สายตาของเธอถูกตรึงอยู่ที่แก่นกายของเขา เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งจะเปลื้องผ้าต่อหน้าเธออย่างสบาย ๆ นี่มันชักจะเลยเถิดเกินไปใหญ่แล้ว...เธอต้องหยุดเรื่องนี้เดี๋ยวนี้!
“คุณกู้เทียนอี้!” เธอถอยกรูด ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับจับไข้ เธอถลำลึกเข้ามาเกินไปแล้ว...จนกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ เธอครางออกมาอย่างจนมุม เขาต้อนเธอเหมือนกับที่วางแผนไว้ไม่มีผิด
“ครับ...หลินซี” ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาอย่างรู้ทัน
“คุณจะทำอะไร” เธอทวนคำถามเดิม น้ำเสียงสั่นเทาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
“ก็แค่...แสดงให้คุณเห็นว่าการปล่อยวางมันง่ายแค่ไหน”
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็กระแทกประตูปิดเสียงดัง ปัง!
เสียงลูกบิดที่ถูกล็อกดัง ‘คลิก’ สะท้อนก้องอยู่ในใจของเธอ
“ตอนนี้คุณพร้อมจะฟังข้อเสนอของผมรึยัง”
“ฉันไม่ใช่มืออาชีพหรอกค่ะ แค่มารับงานพิเศษ” เธอยักไหล่ แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “เข้าใจแล้ว” เขาพูดคำเดิมซ้ำ แต่สีหน้าและแววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความดูแคลนจนเธออยากจะยกมือขึ้นตบหน้าหล่อ ๆ นั่นสักฉาด “งั้นคืนนี้คุณก็เป็น ‘พนักงานเสิร์ฟ’ ของผม คนเดียวสินะ” “ใช่ค่ะ และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วย” เธอทำหน้าแหย ๆ “จริง ๆ แล้วฉันเป็นนักเขียน” เธอเน้นคำว่านักเขียน แม้จะรู้สึกเหมือนคนขี้โกหกอยู่บ้างก็ตาม จะเรียกตัวเองว่านักเขียนได้ยังไงในเมื่อยังไม่เคยมีผลงานตีพิมพ์เลยสักเล่ม “อ้อ ครับ” เขาพูดย้ำเป็นครั้งที่สามด้วยสีหน้าแบบเดิมที่ทำให้เธออยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ “ฉัน...ต้องกลับไปทำงานแล้วค่ะ” เธอบอกปัดแล้วเตรียมจะเดินหนี แต่เขากลับขยับร่างสูงใหญ่มาขวางทางไว้ “ถ้างั้น...ผมถอดกางเกงรอเลยดีไหม” “อะไรนะคะ!” เธอร้องเสียงหลง สายตาเจ้ากรรมดันเผลอเหลือบไปมองกางเกงสแล็คสีเข้มเข้ารูปของเขาโดยไม่ตั้งใจ ให้ตายเถอะ แค่เห็นเงาของช่วงขาที่แข็งแรงนั่นก็เซ็กซี่จะบ้าแล้ว “ก็คุณบอกว่าจะกลับไป ‘ทำงาน’ ผมนึกว่าคุณหมายถึงกลับมา ‘บริการ’ ผมซะอีก”
เสียงอึกทึกจากห้องโถงเลือนหายไปทันทีที่ร่างของเธอถูกลากผ่านเข้ามาในโถงทางเดินที่เงียบสงัด เหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นกับเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวอยู่ในอก หลินซีพยายามยื้อตัวขัดขืนแต่ก็ไร้ผล วงแขนที่รัดรอบเอวของเธอแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า “คุณจะทำอะไร!” เธอตวาดถามเสียงสั่น แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้ยิน เขาผลักประตูบานหนึ่งให้เปิดออกแล้วดันร่างเธอเข้าไปข้างใน ก่อนจะก้าวตามเข้ามาแล้วปิดประตูลง เสียง ‘กริ๊ก’ ของลูกบิดที่ถูกล็อกฟังดูดังเป็นพิเศษในความเงียบที่โรยตัวลงมารอบกาย เขากดเปิดไฟสลัวดวงหนึ่งที่ผนัง เผยให้เห็นห้องทำงานขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู ทุกอย่างอยู่ในโทนสีเข้มขรึม สะท้อนรสนิยมที่ไม่ธรรมดาของเจ้าของห้อง หลินซียืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางห้อง พยายามควบคุมลมหายใจที่เริ่มติดขัดอย่างหนักหน่วง เธอจ้องมองเขา...ผู้ชายที่ฉุดเธอเข้ามาในนี้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ยอมรับว่าทุกอณูในร่างกายกำลังตื่นตัวอย่างบ้าคลั่งกับความใกล้ชิดที่อันตรายนี้ ผมสีดำสนิทที่ตัดแต่งอย่างดี ดวงตาสีน้ำหมึกลุ่มลึกที่ฉายแววหยอกเย้า ผิวสีน้ำผ
หลินซีเริ่มเดินเสิร์ฟไปตามขอบห้องโถง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินอย่างร้ายกาจ เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะแผ่วเบา และเสียงแก้วแชมเปญกระทบกันดังก้องอยู่ในหู ตัดกับความเงียบงันในใจของเธออย่างสิ้นเชิง แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลสาดส่องลงมากระทบเครื่องเพชรบนเรือนร่างของแขกเหรื่อจนส่องประกายวิบวับบาดตา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงหลากหลายแบรนด์ปะปนกันในอากาศจนเธอแทบมึนหัว ที่นี่คือโลกอีกใบ โลกที่เธอเคยเห็นแต่ในนิตยสารหรือภาพยนตร์ ผู้ชายทุกคนสวมสูทหรูหราสั่งตัด ผู้หญิงทุกคนอยู่ในชุดราตรีที่งดงามราวกับจะเดินบนพรมแดงได้ทุกเมื่อ และเธอก็อยู่ท่ามกลางพวกเขา ในชุดสาวใช้ราคาถูกที่แทบจะปกปิดอะไรไม่มิด หญิงสาวพยายามประคองถาดในมืออย่างเกร็ง ๆ ขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่จัดเรียงอย่างสวยงามดูหนักอึ้งขึ้นมาถนัดใจ มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะทำมันหล่นโครมลงบนพื้นพรมราคาแพง ครั้งแรกอาไท่ปราดเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ส่วนครั้งอื่น ๆ เธอก็คว้ามันกลับมาได้ในวินาทีสุดท้ายอย่างหวุดหวิด “โอ้...อาเป่า คุณต้องลองล็อบสเตอร์กับคาเวียร์นี่นะ” หญิงสาวในชุดราตรีเกาะอกสีแดงไวน์ที่ขับผิวขาวผ่องราว
“นี่เธอ...เป็นเด็กใหม่สินะ” เสียงที่เป็นมิตรดังขึ้นข้าง ๆ ทำให้เธอหันไปมอง เห็นชายหนุ่มตัวสูงโปร่งนัยน์ตาสดใสกำลังส่งยิ้มมาให้ “ฉันอาไท่” เขายื่นมือมาตรงหน้าอย่างเป็นกันเอง “เธอมาทำงานแบบนี้ครั้งแรกเหรอ” “ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอหัวเราะแก้เก้อ พลางจับมือตอบ อาไท่พยักหน้า รอยยิ้มกว้างขึ้น “ก็เธอดูเหมือนลูกปลาที่เพิ่งถูกโยนขึ้นบกเลยนี่นา” “ก็...อาจจะอย่างนั้นมั้ง” เธอหัวเราะตาม “ฉันหลินซี ว่าแต่...ที่นี่เป็นบ้านคนจริง ๆ เหรอ” “ใช่ เศรษฐีสักคนน่ะ” อาไท่ยักไหล่ “พวกที่หาเงินในหนึ่งนาทีได้มากกว่าที่เราหาได้ทั้งปีนั่นแหละ” “ถ้าทำได้แบบนั้นบ้างก็คงจะดีเนอะ” เธอตอบรับอย่างนึกฝัน “ยินดีที่ได้รู้จักนะหลินซี” อาไท่มองเธอแล้วขยิบตาอย่างมีเสน่ห์ “ฉันว่า...หลังเลิกงานเราอาจจะไปหาอะไรดื่มกันก็ได้นะ” “อืม...น่าสนใจดีเหมือนกัน” หลินซียิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มแรกที่ออกมาจากใจจริงนับตั้งแต่มาถึงที่นี่ อาไท่มีรูปร่างสูงโปร่งและรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์ยามเช้า ผิวของเขาเป็นสีน้ำผึ้งสุขภาพดีเหมือนคนที่ชอบเล่นก
“ค่าจ้างคืนละแปดร้อยหยวน...ค่าจ้างคืนละแปดร้อยหยวน...” หลินซีพึมพำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ คำพูดเพียงประโยคเดียวที่สะกดใจเธอไว้ไม่ให้หักพวงมาลัยรถกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ “แปดร้อยหยวน...” เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ปล่อยให้มันลอยไปกับอากาศในรถที่เย็นเฉียบ หญิงสาวก้มลงมองชุดพนักงานเสิร์ฟที่รับมาแล้วทำหน้าแหย นี่มันไม่ใช่แค่ชุดพนักงานเสิร์ฟ แต่มันเหมือนชุดสาวใช้ราคาถูกที่จงใจตัดเย็บมาเพื่อยั่วยวนมากกว่า กระโปรงสีดำสั้นกุดจนน่าใจหาย เสื้อเชิ้ตสีขาวก็รัดติ้วจนแทบปริ แถมเนื้อผ้ายังบางเฉียบจนมองทะลุเห็นไปถึงไหนต่อไหน ซึ่งเธอเพิ่งจะมาสังเกตเห็นตอนที่ก้าวขาออกจากบ้านมาแล้ว คืนนี้เธอคงได้กลายเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ของงานเลี้ยงเป็นแน่ เผลอ ๆ อาจจะโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรก ให้ตายสิ นั่นคงจะน่าอายพิลึก เธอไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด แถมรูปลักษณ์ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าพนักงานเสิร์ฟมืออาชีพเลยสักนิดเดียว แม้ใจจะร่ำร้องอยากกลับไปขดตัวอยู่บนเตียงแล้วลืมเรื่องบ้า ๆ นี่ไปเสีย แต่เธอก็ต้องการเงิน “นี่แห
“ผมมีข้อเสนอจะให้คุณ”น้ำเสียงทุ้มพร่าเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ หากแต่กังวานอยู่ในความเงียบของห้องราวกับมนตร์สะกด หลินซีเผลอกลั้นหายใจ หัวใจกระตุกวูบไปกับสุ้มเสียงที่นุ่มนวลดุจเครื่องดนตรีชั้นเลิศ“ค่ะ”เธอตอบรับเสียงแผ่ว พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มคู่นั้น ดวงตาที่เปล่งประกายคมปลาบราวกับรัตติกาลที่ประดับด้วยดาวนับล้านดวงทว่าแววตาที่จ้องกลับมากลับเจือไปด้วยความหยอกเย้า หรือบางทีอาจเป็นความเย้ยหยัน เธอรอ...รอให้เขาเอ่ยประโยคถัดไป แต่เขากลับนิ่งเงียบ ปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันอย่างเลือดเย็น บีบคั้นเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกความอึดอัดเริ่มเกาะกุมจนเธอทนไม่ไหว“แล้ว...ข้อเสนอของคุณคืออะไรเหรอคะ”ริมฝีปากหยักได้รูปของเขาค่อย ๆ เผยอออกเป็นรอยยิ้มอย่างเชื่องช้า เป็นรอยยิ้มที่เผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาด แต่กลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลย เขายังคงไม่พูดอะไร ปล่อยให้เธอจมอยู่กับความสับสนของตัวเองต่อไป“หรือว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดคะ” ครั้งนี้หลินซีกระแทกเสียงถาม ความหงุดหงิดฉายชัดขึ้นมาในแววตาในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก“ผมมีเรื่อ












Comentários