สองวันผ่านไป...
สายวันอาทิตย์ แสงแดดอุ่น ลอดผ่านผ้าม่านบางทาบพื้นห้อง บรรยากาศมันควรจะ ชิลล์ เหมือนเช้าวันหยุดทั่วไปใช่ไหม? แต่ไม่เลย... วันนี้ฉันไม่มีเวลามานอนตากแดดสวย ๆ จิบกาแฟเอ็นจอยกับวันหยุดเพราะตอนนี้ ฉันกำลังนั่งจิกหัวตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ มือขยี้แชมพูใส่หัวแบบเอาเป็นเอาตาย
ฟองฟูเต็มศีรษะ แชมพูเปลี่ยนสีผมไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า ตาแดง ๆ เพราะแสบ หรือเพราะสำนึกก็ไม่แน่ใจภารกิจหลักวันนี้คือ
"กู้ลุคกลับมาจากความใจกล้าสุดฤทธิ์เมื่อสองวันก่อน" ให้ดูเนียนพอที่พ่อกับแม่จะไม่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า“ลูก...ไปทำอะไรมา?”ทันใด เสียงกริ๊งหน้าห้องดังขึ้นเป๊ะเหมือนนาฬิกาจับเวลา
ติ๊ง ต๊อง !“เดี๋ยววว! มาแล้ว ๆๆ!” ฉันวิ่งพรวดทั้งที่หัวฟองยังฟูฟ่อง เปิดประตูให้แยมกับแพรวเพื่อนสาวสายแซ่บ สองนางยืนจ้องฉันตาโตแบบไม่ได้ตั้งตัวแยมเบิกตากว้าง เหมือนเห็นฉันเอาหัวไปจุ่มถังสี
“แก...ทำไรกับหัววะ ลี่?”ฉันถอนหายใจยาว หน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา
“พรุ่งนี้พ่อแม่จะมา…แกคิดว่าถ้าฉันยังหัวบลอนด์อยู่จะรอดไหมอะ?”“ ต้องรีเซ็ตลุคก่อนโดนสอบสวนยับนะ!”แพรวหัวเราะคิกๆ มือยกมือถือขึ้นตั้งท่าจะถ่าย
“เฮ้ย อย่าเพิ่ง! จะถ่ายอะไรตอนนี้ ห้ามลงสตอรี่เด็ดขาดเลยนะ!”
ฉันร้องเสียงหลง รีบยกมือปัดกล้องแทบไม่ทัน แต่ดูเหมือนความวิตกของฉันจะไร้ค่าไปถนัดตา เมื่อสองสาวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว กระโจนขึ้นเตียง นอนกลิ้งหามุมเมาท์กันอย่างสบายใจ ทิ้งฉันให้เครียดอยู่คนเดียวกับเส้นผมและชะตากรรมอันใกล้ แล้วบทสนทนาของสาวแซ่บก็เริ่มขึ้นอย่างเมามัน“ว่าแต่เมื่อคืนเธอหายหัวไปไหน วะแพรว?” แยมยิงคำถามทันที
แพรวแค่หัวเราะหึ ๆ ในลำคออาการแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า มีดราม่าแน่ ๆ
ฉันมองพวกนางผ่านกระจก ขณะขยี้ผมแรงเหมือนจะขยี้ความทรงจำคืนวันศุกร์ไปด้วย
...คืนที่ฉันดัน “เผลอใจ” (หรือจะเรียกว่าพลีกายก็คงไม่ผิด) ให้กับผู้ชายที่เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง สองสาวก็ยังเม้าท์กันอย่างสนุก เหมือนไม่มีใครรู้เลยว่าฉันยืนหน้าเหวออยู่ตรงนี้ฉัน ต้องรีบพุ่งตัวเข้าห้องน้ำไปล้างแชมพูบนหัวออกให้ไว ก่อนที่ความคิดจะเผลอพาใจลอยลึกเกินควบคุม...แต่บทสนทนาของแยมกับแพรวยังดังก้อง เหมือนเสียงเบสหนัก ๆ รัวอยู่กลางผับ
“อย่าบอกนะ แพรวว่าเมื่อคืนแกจะกลายเป็นแขกรับเชิญในทอล์กโชว์ตอนเช้าอะ?” แยมแซะเสียงสูง“จะไม่ทอล์กได้ไงล่ะยะ ผู้ชายนั่นหล่อแบบฟาดมากกกก” แพรวเน้นคำสุดท้ายจนเสียงเกือบหลุดโทน
แยมหรี่ตาแหลมทันที “แล้วเขาฟาดแกกลับรึยัง?”
แพรวแค่ยักไหล่เบา ๆ ส่งสายตาเล่นหูเล่นตา
“ก็...ไม่รู้สินะ” เสียงลากยาวแบบมีอะไรในกอไผ่ชัดเจนเสียงหัวเราะสองสาวดังลั่น ฉันได้แต่ถอนหายใจ เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพผมเปียกชื้น พร้อมใช้ผ้าขนหนูขยี้หัวแรง ๆ หวังให้แห้งไวขึ้นและ ลืมเรื่องคืนวันศุกร์ให้เร็วขึ้นเหมือนกัน
(ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ… แต่มันดีจนเกินไป จนฉันเริ่มไม่เป็นตัวเอง)ฉับพลัน คำถามเด็ดจากแยมก็พุ่งตรงมาหาฉันทันที“แล้วแกละลี่... สุดหล่อคนนั้น เป็นยังไงบ้างฮึ?”
ฉันนิ่งไปแค่สองวินาที
..“ไม่รู้จริง ๆ … ไม่ได้แลกไลน์ ไม่ได้อะไรเลย” ฉันพูดพลางขยี้ผ้าขนหนูบนหัวแรงขึ้น เหมือนพยายามจะปัดความคิดบางอย่างออกไป
สองสาวเด้งตัวขึ้นนั่งพร้อมกันเหมือนสปริงถูกดีดเมื่อได้ยินประโยคสุดพีค“แต่แกก็รู้จักเขาไม่ใช่เหรอ แพรว?” แยมหันขวับไปจ้องเพื่อนทันที
แพรวลดเสียงลง กึ่งกระซิบกึ่งหัวเราะ
“ก็เจอในผับเมื่อเดือนก่อน กินเพื่อนเขาไปทีเดียว แค่นั้นเอง”
“รู้แค่ว่าดีกรีนายแบบ หล่อฟาดมาก แต่เรื่องอื่น โนไอเดียเลย”แยมกับแพรวหันมาล็อกสายตาฉันทันที ราวกับจับสัญญาณได้ว่าในใจฉันมีอะไรซ่อนอยู่
แยมยืดตัวตรงสบตาแพรวอย่างรู้กัน แล้วเลื่อนสายตาตรงมาที่ฉัน น้ำเสียงจริงจังเหมือนกำลังประกาศภารกิจปกป้องเพื่อนราวกับเรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นประเด็นใหญ่โตแน่นอน
“งั้นก็ต้องมีคนช่วยสืบแล้วล่ะ...” แยมพูดด้วยน้ำเสียงเข้มข้น แต่ดวงตากลับเจือไปด้วยความขี้เล่น
“ว่า ‘พายุ’ คนนี้เป็นใคร แล้วทำไมถึงทำให้ยัยลี่แก...สั่นไปทั้งหัวใจขนาดนี้วะ?”(ก็เพื่อนสนิทอ่ะเนอะ จะไม่รู้ความลับในใจฉันได้ไง...)
...แต่ฉันเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมแค่ได้ยินชื่อเขา หัวใจก็เหมือนโดนรีสตาร์ตทุกครั้งฉันได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ เมื่อได้ยินประโยคล่าสุดแต่ มือยังค้างอยู่ที่ไดร์เป่าผม แต่ในใจคือสับสนวุ่นวาย
ที่หัวใจมันเต้นแรงนี่...เพราะบีตเพลงในหัว หรือเพราะชื่อของ ‘พายุ’ กันแน่?แยมขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนประกาศกร้าว
“เอาล่ะ ลี่... งานนี้พวกเราจะเป็นสายลับคิวต์ ๆ ประจำตัวแกเอง! แค่แวะมาเช็กว่าแกยังโอเคดีอยู่รึเปล่าเท่านั้นแหละ เดี๋ยวพวกเราต้องไปต่อ มีภารกิจสำคัญกับหนุ่ม ๆ ที่คาเฟ่!”พุดจบ ทั้งแยมและแพรวก็รวบของใส่กระเป๋าโบกมือลา ทิ้งฉันไว้กับหัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ...และ “เบาะแส” ของผู้ชายคนนั้น ที่ชวนให้ต่อมอยากรู้ของฉันมันทำงานยิ่งกว่าตอนสอบไฟนอลนายแบบ …อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าหลังคำว่า พายุ มีตำแหน่งต่อท้าย
ฉันมองเงาตัวเองในกระจก ผมสีดำสนิทกลับมาปกติพร้อมเผชิญหน้าพ่อแม่ แต่ใจยังตีกลองรบไม่ยอมสงบ
ไม่รอช้า ฉันหมุนตัวไปที่โต๊ะ เปิดโน้ตบุ๊ก พิมพ์ลงช่องค้นหาแบบไม่กะพริบตา
“พายุ นายแบบ” …นิ้วชะงักค้างเสี้ยววินาที ก่อนเติมต่อ“พายุ นายแบบสุดฮอต 2025”กด Enter
ผลการค้นหากระจายเต็มหน้าจอในหนึ่งวินาที
และทันทีที่ภาพแรกปรากฏ…ฉันก็รู้เลยว่า เกมสืบรักครั้งนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นทันทีที่ภาพโหลดขึ้นเต็มหน้าจอ…ฉันถึงกับกลืนน้ำลายเงียบ ๆ
“พายุ ชานนวิวัฒน์”
– ดีกรีนายแบบแถวหน้าของวงการ – ทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าสัวนักธุรกิจพันล้าน – และแน่นอน…หน้าตาเหมือนถูกปั้นมาจากเทพบุตรสายฟ้าเขาในรูปยืนอยู่กลางแสงแฟลช รายล้อมด้วยกล้องนับสิบ
สูทสีดำสนิท ตัดเข้ารูป เผยให้เห็นสัดส่วนที่เป๊ะทุกองศา คิ้วเข้ม ตาคมจัด ผิวแทนเนียนแบบแดดทะเลก็ยังเกรงใจ ริมฝีปากบางเฉียบ ขบแน่นนิด ๆ ขณะจ้องกล้องอย่างรู้ทันภาพมันไม่แค่หล่อ...แต่มันสะเทือนใจอีกภาพเด้งขึ้นบนจอ เขายืนพิงราวริมสระของพูลวิลล่าหรู
เสื้อเชิ้ตขาวแง้มกระดุมลวก ๆ เผยแผงอกแน่นราวกับตั้งใจปล่อยให้ “บังเอิญ” เซ็กซี่ มือหนึ่งถือแก้วไวน์แดง ส่วนอีกมือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ใส่ใจ ...แต่แววตานิ่งเย็นแบบนั้น กลับร้อนแรงจนน่าใจหายภาพนิ่ง แต่บรรยากาศเหมือนทั้งวิลล่ากำลังเคลื่อนไหวเพราะผู้ชายคนเดียว
แค่ภาพเดียว ก็ทำเอาหัวใจฉันเต้นแรงกว่าเสียงเพลงในผับเมื่อคืนวันศุกร์ใต้ภาพมีพาดหัวจากบทความดัง:
“พายุทายาทพันล้านผู้ไม่เคยมีข่าวฉาว แต่เคยทำผู้หญิงทั้งวงการอกหักมาแล้วเป็นแถว”
หัวใจฉันเต้นโครม ๆ เหมือนคนเพิ่งออกจากฟลอร์เต้นรำ
หล่อ รวย หยิ่ง ปิดลับ ราวกับฟ้าประทาน... นี่แหละ คนที่ฉันนอนค้างกับเขาทั้งคืน แน่นอน ฉันกำลังเริ่มเดินเข้าสู่โลกของเขา... โลกที่เหมือนถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงหินอ่อน หรูหรา และห้ามยุ่ง และในระหว่างที่สายตากำลังเลื่อนผ่านข้อมูลไปเรื่อย ๆ นั่นแหละบางสิ่งทำให้มือฉันชะงักค้างอยู่บนเมาส์ชื่อหนึ่งโผล่ขึ้นมาพร้อมรูปคู่ถ่ายใต้เงาตึกหรู
“มาริสา เดอลากูร์ วินเซนต์”สาวลูกครึ่ง###### ลูกสาวของ อัลแบร์ เดอลากูร์ เจ้าของอาณาจักรโรงแรมห้าดาวระดับเอเชีย และ คุณหญิงณิชชา จิราธิวัฒน์ เดอลากูร์ อดีตนางแบบชื่อดังผู้ก่อตั้งแบรนด์แฟชั่น “NICHÉ’X”เธอไม่ใช่แค่นางแบบหุ่นเป๊ะ อินฟลูเอนเซอร์ระดับตัวท็อปของเอเชียเท่านั้น
แต่ยังเป็น “ทายาทที่ถูกจับตามอง” มากที่สุดในวงสังคมระดับสูงความสวยของเธอไม่ใช่แค่เปรี้ยว แต่คือ "ตัวแม่" ของสายแฟตัวจริง
ชุดเดรสรัดรูปสีแดงเพลิงในภาพนั้นแนบชิดกับร่างที่เป๊ะทุกส่วน แววตาของเธอมองเขาเหมือน "ของตาย" ที่รู้ว่ายังไงก็ไม่มีใครมาแทนได้ใต้ภาพมีข้อความแคปชั่นใหญ่โต
“คู่รักสุดฮอตแห่งวงการลูกสาวนักธุรกิจโรงแรมห้าดาว”
#คู่ที่น่าอิจฉาที่สุดในตอนนี้หัวใจฉันสะอึกวูบ...เหมือนใครเอาน้ำเย็นมาราดกลางหลัง
คู่รัก? แฟน? หรือแค่ข่าวลือ? แต่ไม่ทันให้สมองวิเคราะห์อะไรต่อมือฉันก็รีบปิดแล็ปท็อปฉับทันที เหมือนมันจะระเบิด“พอ! หยุด! วะลี่!” ฉันพูดกับตัวเองเสียงดัง
เหมือนต้องสะกดจิตให้หยุดคิดฟุ้งซ่าน เพราะไม่ว่ายังไง...เขาก็แค่“คนแรก” ที่เฟอร์เฟกต์แล้วเผลอเปิดซิงฉันเท่านั้นก็พออย่าเผลอคิดอะไรไปมากกว่านี้เลย…”สองวันผ่านไป... สายวันอาทิตย์ แสงแดดอุ่น ลอดผ่านผ้าม่านบางทาบพื้นห้อง บรรยากาศมันควรจะ ชิลล์ เหมือนเช้าวันหยุดทั่วไปใช่ไหม? แต่ไม่เลย... วันนี้ฉันไม่มีเวลามานอนตากแดดสวย ๆ จิบกาแฟเอ็นจอยกับวันหยุดเพราะตอนนี้ ฉันกำลังนั่งจิกหัวตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ มือขยี้แชมพูใส่หัวแบบเอาเป็นเอาตาย ฟองฟูเต็มศีรษะ แชมพูเปลี่ยนสีผมไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า ตาแดง ๆ เพราะแสบ หรือเพราะสำนึกก็ไม่แน่ใจภารกิจหลักวันนี้คือ "กู้ลุคกลับมาจากความใจกล้าสุดฤทธิ์เมื่อสองวันก่อน" ให้ดูเนียนพอที่พ่อกับแม่จะไม่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “ลูก...ไปทำอะไรมา?”ทันใด เสียงกริ๊งหน้าห้องดังขึ้นเป๊ะเหมือนนาฬิกาจับเวลาติ๊ง ต๊อง !“เดี๋ยววว! มาแล้ว ๆๆ!” ฉันวิ่งพรวดทั้งที่หัวฟองยังฟูฟ่อง เปิดประตูให้แยมกับแพรวเพื่อนสาวสายแซ่บ สองนางยืนจ้องฉันตาโตแบบไม่ได้ตั้งตัวแยมเบิกตากว้าง เหมือนเห็นฉันเอาหัวไปจุ่มถังสี “แก...ทำไรกับหัววะ ลี่?”ฉันถอนหายใจยาว หน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา “พรุ่งนี้พ่อแม่จะมา…แกคิดว่าถ้าฉันยังหัวบลอนด์อยู่จะรอดไหมอะ?”“ ต้องรีเซ็ตลุคก่อนโดนสอบสวนยับนะ!”แพรวหัวเราะคิกๆ มือยกมือถือขึ้นตั้
ใช่แล้วค่ะ... ฉันเปลี่ยนหน้าจอคอมจากงบการเงินที่ตัวเลขยังขัดแย้งกันไปหมด ไม่ใช่เพราะสมการไม่สมดุล แต่เพราะสมองฉันมัน ‘ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว’มันมัวแต่ย้อนไปเมื่อคืน ภาพในหัววนซ้ำเหมือนวิดีโอที่กดรีเพลย์ ...เสียงหัวเราะต่ำ ๆ นั่น ...แววตาเจ้าเล่ห์แบบที่ทำให้ฉันอยากหันหน้าหนีแต่ขากลับไม่ยอมก้าว ...และ ‘สัมผัส’ ที่มันดันจุดอะไรบางอย่างในตัวฉันขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตฉันถอนหายใจ แต่ดวงตาฉันกำลังจ้อง Google เหมือนเป็นช่องทางสืบราชการลับ ฉันแปลงนิ้วตัวเองให้เป็นสายสืบพิเศษทันที มือก็ค่อย ๆ พิมพ์ลงในช่องค้นหา... “พายุ”ชื่อเดียวที่ฉันมี ชื่อเดียว ที่มันดังก้องในหัวตลอดเช้านี้...แล้วฉันก็นั่งค้างอยู่ตรงนั้น นิ้วชะงักกลางแป้นพิมพ์ สายตาจ้องจอเหมือนคนโดนสาปเพราะฉันไม่รู้จะต่อยังไงต่อ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่ากำลังจะเจออะไร...หรือว่าอยากเจออะไรมีแค่เสียงในหัวที่ดังก้องอยู่เงียบ ๆ "นี่ฉัน...กำลังจะเริ่มอะไร ที่มันควรเริ่มหรือเปล่านะ?"…แต่ในอีกมุมหนึ่งของเมือง— ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทน้ำเงินเข้ม ยืนนิ่งอยู่กลางเวทีแสงไฟสาดสว่าง แสงแฟลชจากกล้องรอบตัวกะพริบรัวราวกับสายฟ้าในพายุ แ
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!เสียงเตือนจากมือถือดังรัวไม่หยุด เหมือนจะสะกิดฉันว่า “ตื่นได้แล้ว ยัยลินลี่”ฉันค่อย ๆ ขยับเปลือกตาขึ้นช้า ๆ แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งจากระเบียงของห้องพักในโรงแรมหรู กลิ่นหมอน กลิ่นผ้าห่ม และ...กลิ่นตัวเอง มึนไปหมดหัวฉันยังเบลอ ๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อคืน แถมจังหวะการเต้นของหัวใจก็ไม่เป็นปกติเท่าไหร่“โอ๊ย… ปวดหัวฉิบหาย”ใช่ค่ะ ยินดีด้วยกับตัวฉันเอง เมาค้างอย่างเป็นทางการฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงแหบเหมือนคนตากแอร์ทั้งคืน แล้วก็พลิกตัวไปอีกฝั่งของเตียงตามสัญชาตญาณหวังว่าจะเจออะไรบางอย่าง... หรือ “ใครบางคน”...แต่เปล่าเลยไม่มีเขา ไม่มีเสียง ไม่มีแม้แต่คำบอกลามีแค่กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจาง ๆ ที่ยังติดอยู่บนผ้าปูเตียง เหมือนจะกวนใจให้คิดวนอยู่นั่นแหละสายตาฉันเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ บนโต๊ะหัวเตียงฉันค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบมันมาด้วยหัวใจที่เต้นตุบ ๆทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะได้อ่านอะไร...คำอธิบาย? คำลาห่วย ๆ? หรือแค่...คำว่า “โชคดีนะ” แบบไร้เยื่อใย?แต่ถึงยังไง ฉันก็เปิดอ่านอยู่ดีเพราะในหัวตอนนี้...มีแค่คำถามเดียวที่ก้องชัดเหมือนเสียงลำโพงเบสหนัก“นี่ฉันไปเ
ทันทีที่ประตูปิดลงเสียงดัง ปัง!เขาโถมเข้ามาราวกับคลื่นที่อดทนรอวันซัดกระแทกฝั่ง ลมหายใจร้อนผ่าวไล้เฉียดแก้ม ก่อนที่ริมฝีปากหยัก จะทาบลงมาอย่างดุดัน ราวกับเสือที่ตะครุบเหยื่อฉันสะดุ้งกับแรงจูบที่ไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามา ล้ำลึก รุนแรงแฝงไปด้วยความหิวกระหายที่หวานเกินต้านมือฉันกำชายเสื้อเขาแน่น ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ฉันยึดเหนี่ยวได้ในวินาทีนั้นมือหนาเลื่อนลงมาทาบมือฉันไว้ แล้วดึงมันขึ้น...พาชายเสื้อหลุดพ้นตัวอย่างง่ายดาย“นี่คือครั้งแรกของฉัน…” เสียงในใจตะโกนขึ้นมาเบา ๆ ฉันควรทำอะไรต่อ? ต้องตอบสนองแบบไหน? ฉันไม่เคยรู้ ไม่เคยเรียนรู้…แต่ท่ามกลางความวูบไหวและความไม่แน่ใจนั้น ร่างกายฉันกลับ ไม่ต่อต้านนิ้วเรียวสัมผัสผิวอกแน่นกระชับเหมือนผ่านการดูแลมาอย่างดีปลายนิ้วหนาเลื่อนต่ำลง..โลกทั้งใบหยุดนิ่ง เหลือเพียงเสียงหัวใจฉัน…ที่เต้นแรงจนน่ากลัว ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงยอม แต่รู้แค่ว่า… คืนนี้ ฉัน เลือกเองแล้วชุดเดรสของฉันร่วงไปกองกับพื้นชั่วพริบตา ท่ามกลางแสงสลัวในสวีทรูม แสงไฟจากตึกระฟ้าสะท้อนผ่านม่านบางระบียงสาดทาบบนผิวเปลือยของฉันเหมือนแสงไฟที่แทะเล็มร่าง แววตานิ่งแ
เสียงเพลงกระแทกเข้าโสตประสาทเหมือนคลื่นเบสที่รัวตรงกลางอก ฉันยืนอยู่ใต้ลูกไฟหลากสี ใจเต้นแรงพอ ๆ กับจังหวะดนตรีที่โหมกระหน่ำเหลือบตาไปทางแพรวกับแยม—สองสาวตัวแสบขยิบตา ส่งซิกแบบไม่ต้องพูดว่า "นั่นแหละ...เป้าหมายของคืนนี้!"กลางฟลอร์ที่แออัดด้วยคนเต้น พายุยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัว เขาเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่ตอบรับจังหวะได้อย่างลงตัว ฉันสูดหายใจลึกก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ ก้าวตามจังหวะทีละนิด... แม้จะเต้นไม่เก่ง แต่เขานำฉันไปได้อย่างมั่นคง เราหมุนวนช้าๆ ท่ามกลางแสงไฟและผู้คน ราวกับในโลกนี้มีแค่เรามือหนาอุ่นทาบลงที่เอวฉันอย่างแนบแน่น อุณหภูมิจากฝ่ามือส่งผ่านเข้ามาเหมือนมีไฟลุกใต้ผิว แววตาคมกริบสบเข้ามาในดวงตาฉันในระยะประชิด และในวินาทีนั้น... ฉันรู้เลยว่า — คืนนี้ หนีหัวใจตัวเองไม่พ้นแล้วจริง ๆหัวใจฉันเต้นแรงขึ้นทุกจังหวะ เหมือนกลองรบเร่งเร้าให้ร่างกายสั่นสะเทือน ไฟหลากสีหมุนวนฉายผ่านม่านตา จุดไห้แอลกอฮอล์ในเลือดที่เริ่มวิ่งพล่าน ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาทีละนิด... มันตีขึ้นมาถึงลำคอ จุก แน่น และเริ่มควบคุมไม่ได้“ขอตัวแป๊บนะคะ...” เสียงเบาหวิวแต่สั่นคลอน กระซิบเบา ๆฉันผละตัวออกจากวงแขนของชายหนุ่
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ความรู้สึกคุ้นเคยก็ยังไม่มาสักทีฉันนั่งอยู่ท่ามกลางแสงสลัวและเสียงเพลงดังระรัว สมองกับหัวใจเริ่มเถียงกันเสียงดังลั่นในหัว“อยู่ต่ออีกนิดสิ ลองเปิดใจดูหน่อย”“แต่ก็ไม่ใช่ที่ของเราเลยนะ กลับเถอะ…”มือกำแก้วแน่น สายตามองไปรอบๆ อย่างเหม่อๆแล้วจู่ๆ...สายตาทั้งคู่ก็ถูกดึงดูดราวกับแม่เหล็กเหมือนภาพเบื้องหน้าสะกดทุกอย่างให้หยุดนิ่งเขา...ชายคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงพอดีตัวจมูกเป็นสัน คางคม ใบหน้าเรียวรับกับกรอบหน้าราวกับภาพถ่ายจากแมกกาซีนเขาก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนจะผ่านโลกมานับครั้งไม่ถ้วน หยุดอยู่แค่ตรงนั้น หน้าทางเข้า ทักใครบางคนสั้น ๆ แล้วเหลือบสายตามาทางนี้ชั่ววินาทีนั้น ลมหายใจฉันสะดุดเหมือนใครมากดปุ่มหยุดใบหน้าคมเงยขึ้นอีกครั้ง แววตาเฉียบคมเหลือบมาสบ เหมือนแค่ “บังเอิญ” … หรือ… มันไม่ใช่แค่บังเอิญกันแน่?และวินาทีนั้นเอง มุมปากเจ้าเสน่ห์ค่อยๆยกขึ้นแล้วยิงตรงมาที่ฉันอย่างจงใจแบบที่ทำให้ค็อกเทลในมือฉันเหมือนแรงไปในลำคอ...ฉันรู้เลยว่า คืนนี้ มันจะไม่เหมือนคืนไหนในชีวิตฉันอีกเลย“พายุ…”เสียงแหลมสูงของสาวกลุ่มหนึ่งด้านหลังดังขึ้น ทะลุผ่านจั