อยากทานข้าวผัด 1/2
- 9 -
“เราไม่ใช่สเปกพี่เลยเลิกกลัวได้แล้ว” พี่ภูพูดจบก็เอามือมาจับหัวฉันโยกไปมา ราวกับฉันเป็นเด็กห้าขวบยังไงยังงั้น
‘ไม่ใช่สเปก ไม่ใช่สเปก ไม่ใช่สเปก … ม่ายประบ่านะ!’ หลังจากที่ได้ยิน ฉันไม่สามารถเอาคำนี้ออกจากหัวได้จริงๆ ฉันไม่ใช่สเปกพี่ภูเลยงั้นเหรอ ความคิดที่อยากจะจีบพี่ภูของฉันล่มกลางทางแล้วเหรอ
ฉันค่อยๆ ลุงจากเก้าอี้เดินไปที่เตียงกลางห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก กลิ้งไปกลิ้งมาสักพักก็หลับสนิท
‘ทำกับข้าวให้หยีทานหน่อยสิ หยีหิวแล้ว’
‘น้องหยีอยากทานอะไรละ’
‘หยีอยากทานข้าวผัด’
‘งั้นรอพี่แป๊บหนึ่ง นั่งวาดรูปเล่นรอก่อน วันนี้แม่ไม่อยู่ เดี๋ยวพี่ทำให้’
ภาพของเด็กผู้หญิงวัยห้าขวบ กับเด็กผู้ชายตัวโตที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่โซฟาที่บ้านหลังหนึ่ง เขาลุกเข้าไปในห้องครัวหลังจากที่เด็กตัวเล็กบ่นอยากกินข้าวผัด ส่วนเธอกำลังวาดรูปเล่นที่ห้องรับแขก สักพักเขาก็เดินออกมาจากในครัว มือข้างหนึ่งถือตะหลิว อีกข้างหนึ่งถือจานข้าวเดินมาหาเธอ ใบหน้ามอมแมมถูกป้ายไปด้วยสีดำเต็มไปหมด คาดว่าน่าจะเป็นสีจากเถ้าถ่าน เขาเดินตรงมาวางจานข้าวผัดลง เด็กผู้หญิงมองข้าวผัดในจานสลับกับมองหน้าเขาไปมา สองสามรอบ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบช้อนเพื่อตักข้าวเข้าปาก อ้ำ!
‘อี๋! ทำไมมันเค็มแบบนี้’
‘มันเค็มเหรอ ไหนพี่ลองชิมหน่อย’
‘แหวะ! เค็มจริงๆ ด้วย พี่จะเรียนทำอาหาร ถ้าพี่เรียนจบ พี่จะมาทำให้หยีทานทุกวันเลย แต่วันนี้เดี๋ยวพี่ไปต้มไข่ให้นะ’
เฮือก! ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้างนอกนั้นมืดสนิทเพราะเป็นทะเลสาป ฉันมองซ้ายมองขวาหาผู้ชายอีกคน แต่กลับไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ในตรงนี้ ฉันมองดูโคมไฟที่หัวเตียงแล้วลุกเดินไปดูที่ห้องน้ำ ได้ยินเสียงสายน้ำกระทบพื้น คาดว่าพี่ภูน่าจะกำลังอาบน้ำอยู่ ฉันเลยถอยทัพออกมาและเดินออกไปยืนรับลมที่ระเบียง สายลมกลางคืนค่อนข้างหนาวกว่าเมื่อช่วงเย็นมาก ฉันไม่ทันได้ดูพระอาทิตย์ตกดินเลยสินะ รู้สึกเสียใจแฮะและไม่รู้ด้วยว่าพรุ่งนี้จะได้พักที่นี่อยู่ไหม พรุ่งนี้คนอื่นๆ ก็บินกลับไทยกันแล้ว ฉันรู้แค่ว่าพี่ภูขอให้พี่ปันหยาเลื่อนตั๋วแต่ไม่รู้ว่าเลื่อนได้กี่วัน เสื้อผ้าข้าวของรวมถึงโทรศัพท์ของฉันอยู่ที่โรงแรมเก่าหมดเลย คิดว่าน้ำขิงน่าจะเป็นคนเก็บกลับให้ เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยชิ้นเชิง
ตื๊ด! ตื๊ดดด! ตื๊ดดด!
ฉันได้ยินเสียงสั่นของวัตถุอื่นเบาๆ ที่ได้ยินเพราะมันประบ่าเสียงสั่นอยู่บนโต๊ะกระจก คาดว่าน่าจะเป็นโทรศัพท์ของพี่ภู จะเข้าไปดูก็เกรงว่าจะเสียมารยาท ฉันจึงยืนมองจนมันดับไป
ตื๊ดด! ตื๊ด! เสียงสั่นจากโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ขาของฉันก็ก้าวไปตามเสียงนั้น และหยุดลงที่โทรศัพท์ต้นเสียงหน้าจอโชว์ภาพของคนที่โทรเข้ามาคือพี่ปันหยา ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของพี่ภู กำลังจะสไลด์กดรับ เพราะกลัวว่าจะมีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า
“ทำอะไรน่ะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะกดรับ พี่ภูที่เดินออกมาจากห้องน้ำ สวมชุดเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ กับกางเกงขายาวลายสก็อตสีฟ้าอ่อน กำลังเช็ดผมเดินออกมาจากจากห้องน้ำ จ้องหน้าฉันเงียบๆ เดินมาหยุดด้านข้างเหลือบมองโทรศัพท์ สลับกับมองหน้าฉันนิ่งๆ แล้วเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ที่มือฉันกำอยู่ ปลายสายก็ตัดไปพอดีพี่ภูมองหน้าฉันนิ่ง ราวกับโกรธมากที่ฉันเข้ามายุ่งเกี่ยวกับของส่วนตัวของเขา
“คือ หยีเห็นพี่ปันหยาโทรมาหลายสายแล้ว กลัวจะมีธุระด่วน เลยจะรับให้ก่อน..ค่ะ”
“คราวหลังอย่ายุ่งกับของพี่อีก ถ้าพี่ไม่ได้บอก”
"ค่ะ" ฉันหยักหน้าเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินกลับมานั่งที่เตียงอย่างหงอยๆ เหมือนเดิม
"พี่ซื้อมาเผื่อเราด้วย วันนี้ก็ดึกแล้ว ทำได้แค่ไปเดินชายทะเลสาบ อยากไปไหม?" พี่ภูยื่นถุงมาให้ ฉันหยิบออกมาดูก็เห็นว่าเป็น เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวลายสก็อตสีชมพูอ่อน ฉันหันไปมองพี่ภู ก็เห็นพี่ภูกำลังเช็ดผมยืนจ้องหน้าฉันนิ่งๆ
"พอดีที่ร้านเขากำลังจะปิดแล้ว พี่เลยไม่ทันได้ดู ใส่ได้ใช่ไหม?"
"ใส่ได้ค่ะ งั้นหยีขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ"
หลังจากอาบน้ำเสร็จ สายตาเหลือบเห็นที่โต๊ะเครื่องแป้งมีไดร์เป่าผมอยู่ ฉันเดินไปนั่งหน้ากระจกบานใหญ่กำลังหยิบไดร์มาเป่าผมที่เปียกชุ่ม พี่มีผ้าผืนหนึ่งลอยมาคลุมที่หัว ก่อนจะถูกขยี้เบาๆ
"ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งก่อน เช็ดให้แห้งก่อนค่อยเป่าสิ" พี่ภูบ่นไป เช็ดผมให้ไป ฉันอยากหยุดเวลานี้ไว้แค่นี้จริงๆ พี่ภูทั้งอบอุ่นเรื่องดูแลคือดีมาก ดีทุกอย่างฉันชอบมากนะ หลังจากเช็ดผมจนหมาดพี่ภูก็หยิบไดร์ที่ฉันถืออยู่ไปจากมือมาเป่าผมให้ฉันเป็นความโรแมนติกแบบที่ฉันเคยวาดฝันไว้ว่า จะได้รับความรู้สึกแบบนี้จากผู้ชายที่ฉันรัก และเป็นสามีในอนาคต ฉันได้แต่นั่งนิ่งให้พี่ภูเป่าผมให้ไม่มีท่าทีขัดขืน ก็แหงละโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ นะ อิอิ
"เสร็จแล้ว" พี่ภูบอกพลางใช้มือสางผมที่ยาวประบ่าของฉันเบาๆ ฉันตะแคงซ้าย-ขวา ดูผลงานที่พี่ภูทำให้ แล้วยิ้มเล็กๆ
"พี่ภูเป่าผมให้สาวๆ บ่อยใช่ไหมคะ เป๊ะเชียว"
"เราคนแรก ชอบเหรอ"
"อื้อ!" ฉันยิ้มให้พี่ภูจนตาหยี ก็คนมันชอบจริงๆ นี่นา
"จะไปเดินเล่นไหม?"
"ไปค่ะ ไปๆ"
ตื๊ด ตื๊ด เสียงโทรศัพท์ดังอีกครั้ง พี่ภูเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะหยิบมารับสาย
'ว่าไง'
'โอเค ขอบใจมาก'
'กินแล้ว'
'ไม่ต้องห่วง สบายมาก'
สุดท้าย..ก็เป็นเธอ- 21 -“พี่ภูคะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันหยุดเท้าที่กำลังเดินตามพี่ภูลง ทำให้ผู้ชายด้านหน้าเองก็หยุดชะงักพร้อมกันนั้นพี่ภูเองก็หันหน้ามามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากคนขี้เล่น เป็นสายตาที่ดูจริงจังละกังวล“ทำไมยาหยีถึงถามเรื่องนี้กับพี่อีกแล้วคะ หรือไปรู้อะไรมาเหรอ” พี่ภูยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถามฉันด้วยน้ำเสียงกังวล“ทุกครั้งที่ยาหยีถาม พี่ภูจะกังวลเรื่องนี้ทุกครั้ง พี่ภูดูมีพิรุธนะคะ มีอะไรอยากเล่าให้หยีฟังไหม” ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้ความฝันที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริงหรือสิ่งที่ฉันมโนขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความฝัน มันก็ดูจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่มีเค้าโครงความจริงอะไร ทำไมพี่ภูไม่เคยปฏิเสธ“ยาหยีจะเป็นเจ้าสาวของพี่ภูคนเดียวเท่านั้น..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...” ฉันเงียบฟังคำที่พี่ภูเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่งงเหมือนไก่ตาแตก และฉันมั่นใจว่านั่นมันคือความฝันที่ฉันฝันเห็นและได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำไมพี่ภูเองถึงรู้ความฝันนั้นฉันได้ละ“ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่คนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...”“หนูตอบพี่สิ
ตัดสินใจยุติข้อห้าม- 20 -“พี่ภูคะ..พี่ภูกับหยี เคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันสังเกตเห็นแววตาของพี่ภูที่สั่นไหวแบบแปลกไป แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น พี่ภูก็ปรับอารมณ์กลับมาได้ปกติ“หนูเป็นอะไรคะ เมื่อกี้พี่ตกใจมากรู้ไหม นั่งตัวแข็งทื่อ พี่เรียกก็ไม่หือไม่อือ จนพวกพี่จะโทรเรียกรถพยาบาลแล้วนะคะ” พี่ภูยังคงเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางกังวล“น้องตกใจมากนะภู พาไปโรงพยาบาลก่อนไหม” พี่ปันหยาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเรียบเฉย แต่น้ำเสียงแสดงออกถึงอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียง“ทำไมพี่ ๆ มาอยู่ที่นี่กันได้คะ” ฉันที่พอจะรู้สึกตัวเองดีแล้ว หันมองพี่ ๆ ทุกคนหลังจากเอ่ยถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือฉันไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตู และพี่ภูเองก็นอนหลับอยู่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย“เรื่องนี้พี่ก็อยากรู้ค่ะ ว่าทำไมภูผากับยาหยีถึงมาอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง..หวังว่าแกจะจำสิ่งที่แกรับปากพวกฉันได้นะภูผา” พี่ปันหยาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ด้วยสายตาที่จริงจัง จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู
ความทรงจำที่หายไป- 19 -กว่าที่ฉันจะแกะมือปลาหมึกของพี่ภูออกมาได้ ก็เล่นเอาหอบเหนื่อยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพี่ภูนั้นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่พอฉันรวบรวมความกล้าที่มีตวาดลั่นดุพี่ภูอย่างจริงจัง ผู้ชายคนนี้ก็หน้าหงิกเป็นเด็กน้อยแล้วหันหลังใส่ฉันพร้อมกับนอนหลับไปเสียอย่างนั้นครืด!ฉันลุกขึ้นไปหยิบมือถือของตัวเองที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่มาวินที่โทรเข้ามาหลายสายแล้ว แต่เวลานั้นฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย“ค่ะพี่มาวิน” ฉันกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน เพราะไม่รู้เลยว่าพี่มาวินมีธุระอะไรหรือไม่“น้องหยี ไอ้ภูอยู่ห้องน้องไหม มันเมาแล้วบอกจะกลับห้อง แล้วออกไปเลย พี่หามันไม่เจอ” ฉันฟังเสียงที่ตื่นตกใจของพี่มาวิน พร้อมกับมองบุคคลที่ถามถึงก่อนจะกดเปิดวิดีโอคอล แล้วชูหน้าจอไปที่คนที่หลับไม่ได้สติ“ไอ้ภู! พี่ก็วิ่งหามันทั่วคอนโด ไม่คิดว่ามันจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้ งั้นพี่ฝากน้องหยีดูมันด้วยนะ พี่ลงมาข้างล่างแล้วคงไม่กลับขึ้นไปแล้ว” พี่มาวินร่ายยาว ใบหน้าแสดงอาการทั้งดมโห ทั้งขำ ปนเปกันไปหมด ฉันพยักหน้าให้เป็นการรับปากแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้กดวางมือถือ เสียงของผู้หญิงที่แทร
สิบห้าปี..ยังหนีไม่พ้น- 18 -“ไอ้ภู! มึงกับน้อง..” พี่มาวินตาโต นิ้วชี้ค้างกลางอากาศ แต่มีหรือพี่ภูจะสนใจ ฉันเองได้แต่นั่งนิ่ง หยิบขนมมาเคี้ยว “ไอ้ภูเอ๊ย”“เลิกเรียกกูได้แล้ว จะกินมั้ยเหล้าอะ” พี่ภูเดินมาทิ้งตัวลงข้างฉัน ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นไปหยิบแก้วใสมาวางให้สองใบ พร้อมกันนั้นก็หยิบหอบข้าวของไปแกะใส่จานมาวางไว้ให้ทั้งคู่“งั้นหนูกลับห้องก่อนนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปหยิบขนมอีกชิ้นในซองมาเคี้ยวก่อนจะทำท่าจะเดินออกจากห้อง “อ่อ..พี่ภูพรุ่งนี้ไปดูทำเลร้านพร้อมหนูไหมคะ ถ้าไปก็อย่าดื่มมากนะคะ”“ครับ” ผมยิ้มหวานให้เด็กสาว เธอเองก็ยิ้มตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป“เล่า!” ทันทีที่ในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้วิน วิญญาณนักข่าวก็เข้าสิงมันทันที“ก็อย่างที่มึงเห็น กูคบกับน้อง” ผมพูดจบพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์“แล้วเรื่องกฎของร้านมึงจะทำไง” ไอ้วินเองก็ถามคำ กินเหล้าคำพอ ๆ กับผม แต่จากสายตาของผม มันเองก็ดูเหมือนจะมีอะไรในใจเหมือนกัน“ก็ไม่ทำไง เดิมทีกูก็จะปรึกษาพวกมึงเรื่องนี้”“แล้วทำไมไม่ปรึกษา”“ยาหยีอยากออกจากที่ร้าน”“ทำไมวะ เพราะกฎนี้นะเหรอ เฮ้ย! มันต้องมีทางออกอื่น”“น้องอยากทำธุรกิจ
คนนี้ของยาหยี 2/2- 17 -เธอใช้สองมือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ แก้เขิน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งเธอมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก“ไม่ชอบจริงเหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผู้หญิงด้านหน้า จนเธอหันมามองหน้าผมชัด ๆในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเปิดออก เธอเลือกที่จะหอมแก้มหนัก ๆ ของผมฟอดใหญ่ด้วยความเร็วและรีบวิ่งออกจากลิฟต์กลับไปทางห้องของตัวเองแบบไม่หันกลับมามองผมเลยสักนิด ผมยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมายืนมองเธอที่รีบกดรหัสผ่านเข้าห้องไปด้วยความเอ็นดูติ๊ง!‘พี่ภูเป็นแฟนกับยาหยีนะคะ’ ผมเปิดอ่านข้อความที่มาจากคนตัวเล็กส่งมาหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มในห้องนอนของตัวเอง‘พี่ต้องเป็นคนขอไม่ใช่เหรอ’‘รอพี่ภูขอ หยีแก่ตายพอดี’'ยาหยี..เป็นแฟนพี่นะครับ’‘ตกลงค่ะ!’ผมได้แต่นอนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือราวกับคนบ้า เราเริ่มสนทนากันมากขึ้น เริ่มศึกษานิสัยและความชอบของกันและกันมากขึ้น เวลาผ่านไปหลายเดือนที่เราใช้ชีวิตด้วยกันแบบไม่ได้บอกผู้ใหญ่หรือครอบครัว โดยเฉพาะกับคนที่ร้าน“พี่ว่าจะบอกไอ้วินกับปันหยา เรื่องของเรา” พี่ภูวางหนังสือที่กำลังอ่านลงบนหน้าอกพูดขึ้นในขณะที่ยังนอนหนุนตักของฉันที
คนนี้ของยาหยี 1/2- 17 -“คืออะไรกันคะ ทำไม..” ฉันได้แต่ยืนมองหน้าป้านภาสลับกับมองหน้าพี่ภู โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันจะต้องพูดหรือรู้สึกอย่างไร ป้านภาเป็นคนแนะนำให้ฉันมาสมัครที่ร้านนี้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นร้านของใคร และพี่ภูคือลูกชายของป้านภาแต่ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้จักมาก่อนทั้งที่บ้านเราทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้“ป้าก็อยากรู้ว่าทำไมเจ้าของรองเท้าเบอร์สามสิบแปดที่จอดหน้าห้องเจ้าภูถึงเป็นของหนูยาหยี” ป้านภามองหน้าฉันสลับกับพี่ภูอย่างต้องการหาคำตอบ แต่ยังเป็นแววตาที่เอ็นดูฉันเหมือนเดิม“มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่นอนครับ พอดีผมขอให้น้องมาทายาให้เฉย ๆ”“ยา..ทายาอะไรลูกเป็นอะไร” ป้านภาตรงดิ่งเข้ามาหาพี่ภู จับลูกชายของเขาหมุนซ้ายหมุนขวา โดยที่ใบหน้าของพี่ภูยังคงดุตกใจเหลอหลาอย่างเห็นได้ชัด “ไหน”“แม่ครับ แม่ใจเย็น ๆ ก่อน ภูไม่ได้เป็นอะไรมาก” พี่ภูจับไหล่ของป้านภาก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่“คุณ พาหนูหยีกลับเข้าไปในห้องก่อนเลยค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่ยืนเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “หนูยาหยีเข้าห้องไปก่อนนะจ๊ะ ป้ามีเรื่องอยากคุยกับเราสองคน”ฉันนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ป