เรื่องราวในอดีตที่เลวร้าย ทำให้เขาเกือบมีตราบาป เขาวิ่งหนีความจริงมาอยู่ในเมืองใหญ่ แต่แล้วไม่รู้ว่าเวรกรรมหรือพรหมลิขิต ที่ทำให้เขาต้องกลับมาเจอกับเธออีกครั้งในฐานะของ "เจ้านายกับลูกน้อง"
더 보기การพบกันครั้งใหม่
- 1 -
“พี่ภูดูสิๆ วันนี้ป๊ากับม๊าซื้อตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เบิ้มมาให้หนูด้วย น่ารักมั้ย”
เสียงเล็กๆ แหลมๆ ของเด็กหญิงวัย5ขวบเจื้อยแจ้วพร้อมกับโชว์ตุ๊กตาหมีตัวโตให้ผมดู เธอยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีกับตุ๊กตาตัวโตที่ได้รับ สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผิวขาว ปากนิดจมูกหน่อย มัดผมแกะยาวสลวยสองข้าง กับชุดกระโปรงสีแดงน่ารักสดใสเหมือนเจ้าหญิงทำให้ผมยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี
“น่ารักมากเลย แล้วนี่ตั้งชื่อหรือยัง จะให้ตุ๊กตาตัวนี้ชื่ออะไรดี”
ผมพูดพลางลูบหัวน้องสลับกับตุ๊กตาอย่างเอ็นดู พร้อมกับยิ้มให้
“พี่ภูตั้งให้หน่อยสิ หนูไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรดี”
เด็กน้อยหันมามองผมด้วยสายตาแป๋วแหว๋วบ้องแบ๊ว ทำให้น่าเอ็นดูเพิ่มขึ้นไปอีก ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางใช้ความคิดช่วยน้องสาวคิดชื่อไปด้วย สองเท้าก้าวเดินออกจากม้านั่งผมเดินไปเรื่อยๆอย่างใช้ความคิด ว่าจะตั้งชื่อตุ๊กตาให้น้องว่าอะไรดี
ปี๊ดดดดดดดดดด!! โคร๊ม!!!
ผมสะดุ้งตื่นในเวลาตี2 กับความฝันเดิม ๆ ของตัวเอง ผมฝันเรื่องเดิมซ้ำๆ มาตลอด 15 ปี เหตุการณ์เหมือนจริงมากจนผมอดคิดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ ผมรู้สึกผิดมาโดยตลอดเหตุการณ์นั้นฝังอยู่ในหัวใจและสายตาของผม ภาพเด็กผู้หญิงวัยกำลังน่ารัก เปียกโชกได้ด้วยเลือดอาบหน้า สองมือกอดตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลแน่น เธอไม่มีน้ำตาแม้แต่น้อยทั้งที่เธอเป็นเพียงเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง กับเสียงสั่น ๆ ที่ลอดผ่านเรียวปากจิ้มลิ้มเบา ๆ 'พี่..ภู'
กริ๊งงงงงงง!
ผมเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกอย่างเคยชิน บิดซ้ายบิดขวาขับไล่ความเมื่อยล้า สองเท้าก้าวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างอิดโรย เพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับต่อได้ก็ปาไปเกือบตี5
ครืด ครืด
ผมหันไปมองตามเสียงสั่นของโทรศัพท์ ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าคนที่โทรมาเป็นใคร ผมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียง แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด คนที่โทรมาคือคนที่ผมรักมากที่สุด
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณนายแม่ คิดถึงลูกชายเหรอครับ”
“ก็คิดถึงนะสิ ภูไม่กลับบ้านมาหาแม่2เดือนแล้วนะ เนี่ยพ่อแกก็บ่นกับแม่ทุกวันว่าแกไม่กลับบ้านเลย”
แม่บ่นอุบอิบตามประสาที่ลูกชายคนเดียวอย่างผมไม่ได้กลับบ้านเลยมา2เดือนเต็ม
“ช่วงนี้ที่ร้านกำลังยุ่งๆ ครับแม่ พนักงานกำลังจะลาออก1คน แม่ช่วยภูหาพนักงานมาทำงานที่ร้านสิ ภูจะได้มีเวลาไปหาแม่ด้วยนะครับ”
ผมพูดออดอ้อนคนเป็นแม่ตามความเคยชิน ผมชื่อภูผา ตอนนี้ประกอบอาชีพเปิดร้านอาหารเกาหลี แต่เมื่อ1อาทิตย์ก่อน มีพนักงานที่ร้านมาแจ้งลาออกเพราะต้องกลับไปดูแลแม่ที่เพิ่งจะออกจากห้องผ่าตัด จึงเป็นเหตุให้ผมต้องรีบหาพนักงานมาทดแทน ผมคุยกับแม่ไปสองมือหยิบไอแพดมาประกาศรับสมัครพนักงานไปด้วย ผมเลือกที่จะประกาศรับสมัครพนักงานลงในเว็บหางานน่าจะได้คนไวกว่า ร้านของผมเป็นร้านเล็ก ๆ อยู่ใจกลางเมือง เพราะทำเลนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ มีหลายคนถามผมว่าทำไมถึงเปิดร้านอาหารเกาหลี อย่างแรกเลยคือตัวของผมเองนั้นผมชอบทำอาหาร อย่างที่สอง ผมชอบเวลาเห็นคนมีความสุขกับอาหาร
“ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วภู แล้วก็หาเวลามาหาแม่บ้าง แม่คิดถึง”
“รับทราบครับผมคุณนาย ภูรักแม่นะครับ จุ๊บ!”
ผมกดวางสายทันทีหลังจากส่งจูบใส่มือถือให้คุณนายแม่อย่างเคยชิน พร้อมกับตรวจดูใบรับสมัครในเว็บอีกเล็กน้อย พอเห็นว่ายังไม่มีคนมาสมัคร ผมก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวสีเทาผืนใหญ่ และเดินเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะจัดการธุระส่วนตัวอย่างเคยชิน
30 นาที ผ่านไป
ครืด ครืด
ผมเดินไปหยิบมือถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนเตียงนอนขนาดใหญ่ มากดรับทันทีเมื่อเห็นว่าปลายสายคือปันหยา เธอเป็นหุ้นส่วนของร้านและยังเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง
“ว่าไง จะให้ไปรับเหรอ”
ผมพูดติดตลกกับปลายสาย เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เธอจะต้องให้ผมไปรับอย่างแน่นอน เพราะเมื่อวานในกลุ่มไลน์เธอเพิ่งบอกรถเสีย ให้ช่างมาลากไปตอนเช้านี่เอง
“ใช่สิ แกต้องมารับ ไม่งั้นฉันจะโดดงานนะเว้ย”
เสียงแว๊ด ๆ ของเธอทำให้ผมต้องยกมือถือออกจากหูเล็กน้อย นี่คือปันหยา เพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม ที่นิสัยไม่ได้หวานหรือน่ารักเหมือนชื่อเลยสักนิด
“เออครับ รับทราบครับเจ้านายแต่งตัวให้ไวเลยครับ อีกสิบนาทีถึง”
ผมกรอกเสียงลงไปถึงปลายสายก่อนจะกดวางสาย ผมเอื้อมมือไปหยิบไอแพดขึ้นมาเช็กอีกครั้ง หน้าจอเมลที่ผมรับสมัครพนักงานเด้งขึ้นมาว่ามีคนส่งเรซูเม่มา 1 คน เป็นผู้หญิง ที่มีแววตากลมโต หวานหยอดที่เป็นเอกลักษณ์ ผมเพ่งมองรูปของผู้หญิงตรงหน้าอยู่นานพอสมควร ก่อนจะตอบกลับเมลไปให้เธอเข้ามาสัมภาษณ์งานที่ร้าน แล้วก็เดินไปหยิบกุญแจรถ มือถือ ไอแพด และออกจากห้องเพื่อไปรับปันหยา
“หาคนได้ยังวะภู ให้ฉันช่วยไหม”
ปันหยายิงคำถามทันทีที่ขึ้นมาในรถ เราเป็นหุ้นส่วนกันก็จริงแต่จะแยกกันทำคนละส่วน ผมดูแลในส่วนของพนักงาน และความเรียบร้อยของร้านโดยรวม ส่วนปันหยาดูแลเรื่องสวัสดิการ และค่าใช้จ่าย และหุ้นส่วนอีกคนของผมคือมาวิน รายนั้นจะดูแลเรื่องเกี่ยวกับการตลาดและโฆษณา
“มีนัดมาสัมภาษณ์ที่ร้านวันนี้หนึ่งคน ไม่ต้องห่วงหรอก น่าจะได้อยู่”
ผมหันไปตอบแบบยิ้มๆ ให้กลับเธอ ถึงเธอจะดูแข็งแกร่ง เป็นผู้หญิงสายลุย แต่ปันหยาคือคนที่ขี้กังวลมาก ๆ คนหนึ่งเช่นกันถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับร้าน
“อืม พี่นัดจะออกอีก3วันแล้ว ถ้าไม่ได้คนเราจะแย่นะ ไอ้วินทำใบปลิวไปแจก ลูกค้าแน่นร้านทุกวัน สงสารเด็กๆ ที่ร้าน”
ผมได้แต่ยิ้ม ๆ ให้เธอ เพราะผมรู้มาตลอดว่าปันหยานั้นเธอคือคนที่จิตใจดี เป็นห่วงทุกคนมาตลอด เราถึงได้คบกันมาได้นาน จนบางครั้งผมก็คิดว่าถ้าเราอยู่กันไปแบบนี้นานกว่านี้ ผมอาจจะต้องตกหลุมรักเธอขึ้นมาสักวัน
“สวัสดีค่ะพี่ภู พี่ปันหยา”
น้ำขิง พนักงานที่ร้านกล่าวทักทายทันทีที่ผมกับปันหยาเดินเข้ามาในร้าน ผมยิ้มให้น้องขิงก่อนจะโบกมือ เป็นสัญลักษณ์ให้เธอไปทำงานของเธอต่อ แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ถึงเราจะเป็นร้านกลาง ๆ ไม่ค่อยใหญ่โตมากเท่าไหร่นัก แต่พวกเราลงมติแล้วว่าจะแยกห้องกันทำงาน เพื่อความไม่วุ่นวาย
ห้องทำงานของพวกเราจะเป็นห้องกระจกใสเรียงกัน 3 ห้องอยู่ชั้นสองของร้าน เป็นห้องที่สามารถมองลงไปในร้านได้รอบด้าน เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยได้ตลอดเวลา
แต่คนด้านนอกจะมองไม่เห็นด้านบน จะเห็นแค่เป็นกระจกที่จะหมุนวนประดับด้วยป้ายไฟ และของตกแต่งอย่างสวยงามตามเทศกาลเท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวของเราด้วย อันนี้ก็ได้ความคิดมาจากมาวิน เพราะรายนั้นบอกว่าจะเอาไว้ดูลูกค้าและความปลอดภัย แต่ก็นะมันคือเหตุผลแอบแฝงนั่นและทำไมผมจะไม่รู้นิสัยมัน
ในส่วนของห้องทำงานของเรานั้น เริ่มที่ห้องแรกหลังจากขึ้นบันไดมาจะเป็นของปันหยา ถัดมาจะเป็นของมาวิน และห้องสุดท้ายจะเป็นผม ผมเดินเข้ามาในห้องก่อนจะทิ้งตัวบนโซฟาขนาดใหญ่ โยนมือถือและไอแพด รวมถึงกุญแจรถไว้บนโซฟาอย่างขอไปที วันนี้กว่าจะมาถึงร้านได้ ผมก็ต้องฟังปันหยาบ่นเรื่องรถติดบ้าง งานในร้านบ้างไปเกือบชั่วโมง เพราะรายนั้นบ่นได้ทุกอย่างจริง ๆ บ่นได้อย่างไม่มีข้อแม้
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ภายในของร้านดัง ผมค่อย ๆ เหลือบไปมองยังต้นตอของเสียง ก่อนจะลุกจากโซฟานุ่ม ๆ เพื่อไปรับสาย
“ภูผารับครับ”
ผมกรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์พร้อมกับมองลงไปด้านล่าง เพื่อดูว่าใครที่เป็นคนโทรขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่นัดที่ต่อสายขึ้นมา ด้านข้างของพี่นัดมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เดาว่าน่าจะเป็นคนที่นัดมาสัมภาษณ์งานวันนี้
“มีคนมาสัมภาษณ์งานครับคุณภู”
“ให้เขาขึ้นมาห้องผมเลยครับ ขอบคุณมากครับพี่นัด”
ผมพูดจบก่อนจะกดวางสาย และเดินมาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ทำงานเพื่อรอสัมภาษณ์งานพนักงานใหม่
ก๊อก ก๊อก
“เชิญครับ”
ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากผม ประตูกระจกบานใหญ่ก็เปิดออกทำให้ผมเห็นคนที่จะมาสัมภาษณ์งานอย่างชัดเจน ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอนั้น ร่างกายของผมเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต เป็นความรู้สึกที่เย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะใบหน้าของเธอคนนี้เหมือนเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมฆ่าเธอไปเมื่อ15ปีก่อน เธอช่างเหมือนมาก เธอเหมือนมาก ๆ ถึงแม้ว่าใบหน้าที่เห็นตรงหน้าจะดูโตเป็นสาว แต่โครงหน้าของเธอก็ยังคล้ายกับเด็กผู้หญิงที่ติดอยู่ในใจของผมคนนั้น ทั้งที่ผมเห็นรูปเธอในเรซูเม่แล้ว แต่พอเจอตัวจริงเธอกลับเหมือนมากกว่าที่ผมคิด
“สวัสดีค่ะ ชื่อยาหยี มาสัมภาษณ์งานค่ะ”
สุดท้าย..ก็เป็นเธอ- 21 -“พี่ภูคะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันหยุดเท้าที่กำลังเดินตามพี่ภูลง ทำให้ผู้ชายด้านหน้าเองก็หยุดชะงักพร้อมกันนั้นพี่ภูเองก็หันหน้ามามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากคนขี้เล่น เป็นสายตาที่ดูจริงจังละกังวล“ทำไมยาหยีถึงถามเรื่องนี้กับพี่อีกแล้วคะ หรือไปรู้อะไรมาเหรอ” พี่ภูยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถามฉันด้วยน้ำเสียงกังวล“ทุกครั้งที่ยาหยีถาม พี่ภูจะกังวลเรื่องนี้ทุกครั้ง พี่ภูดูมีพิรุธนะคะ มีอะไรอยากเล่าให้หยีฟังไหม” ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้ความฝันที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริงหรือสิ่งที่ฉันมโนขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความฝัน มันก็ดูจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่มีเค้าโครงความจริงอะไร ทำไมพี่ภูไม่เคยปฏิเสธ“ยาหยีจะเป็นเจ้าสาวของพี่ภูคนเดียวเท่านั้น..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...” ฉันเงียบฟังคำที่พี่ภูเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่งงเหมือนไก่ตาแตก และฉันมั่นใจว่านั่นมันคือความฝันที่ฉันฝันเห็นและได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำไมพี่ภูเองถึงรู้ความฝันนั้นฉันได้ละ“ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่คนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...”“หนูตอบพี่สิ
ตัดสินใจยุติข้อห้าม- 20 -“พี่ภูคะ..พี่ภูกับหยี เคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันสังเกตเห็นแววตาของพี่ภูที่สั่นไหวแบบแปลกไป แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น พี่ภูก็ปรับอารมณ์กลับมาได้ปกติ“หนูเป็นอะไรคะ เมื่อกี้พี่ตกใจมากรู้ไหม นั่งตัวแข็งทื่อ พี่เรียกก็ไม่หือไม่อือ จนพวกพี่จะโทรเรียกรถพยาบาลแล้วนะคะ” พี่ภูยังคงเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางกังวล“น้องตกใจมากนะภู พาไปโรงพยาบาลก่อนไหม” พี่ปันหยาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเรียบเฉย แต่น้ำเสียงแสดงออกถึงอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียง“ทำไมพี่ ๆ มาอยู่ที่นี่กันได้คะ” ฉันที่พอจะรู้สึกตัวเองดีแล้ว หันมองพี่ ๆ ทุกคนหลังจากเอ่ยถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือฉันไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตู และพี่ภูเองก็นอนหลับอยู่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย“เรื่องนี้พี่ก็อยากรู้ค่ะ ว่าทำไมภูผากับยาหยีถึงมาอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง..หวังว่าแกจะจำสิ่งที่แกรับปากพวกฉันได้นะภูผา” พี่ปันหยาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ด้วยสายตาที่จริงจัง จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู
ความทรงจำที่หายไป- 19 -กว่าที่ฉันจะแกะมือปลาหมึกของพี่ภูออกมาได้ ก็เล่นเอาหอบเหนื่อยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพี่ภูนั้นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่พอฉันรวบรวมความกล้าที่มีตวาดลั่นดุพี่ภูอย่างจริงจัง ผู้ชายคนนี้ก็หน้าหงิกเป็นเด็กน้อยแล้วหันหลังใส่ฉันพร้อมกับนอนหลับไปเสียอย่างนั้นครืด!ฉันลุกขึ้นไปหยิบมือถือของตัวเองที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่มาวินที่โทรเข้ามาหลายสายแล้ว แต่เวลานั้นฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย“ค่ะพี่มาวิน” ฉันกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน เพราะไม่รู้เลยว่าพี่มาวินมีธุระอะไรหรือไม่“น้องหยี ไอ้ภูอยู่ห้องน้องไหม มันเมาแล้วบอกจะกลับห้อง แล้วออกไปเลย พี่หามันไม่เจอ” ฉันฟังเสียงที่ตื่นตกใจของพี่มาวิน พร้อมกับมองบุคคลที่ถามถึงก่อนจะกดเปิดวิดีโอคอล แล้วชูหน้าจอไปที่คนที่หลับไม่ได้สติ“ไอ้ภู! พี่ก็วิ่งหามันทั่วคอนโด ไม่คิดว่ามันจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้ งั้นพี่ฝากน้องหยีดูมันด้วยนะ พี่ลงมาข้างล่างแล้วคงไม่กลับขึ้นไปแล้ว” พี่มาวินร่ายยาว ใบหน้าแสดงอาการทั้งดมโห ทั้งขำ ปนเปกันไปหมด ฉันพยักหน้าให้เป็นการรับปากแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้กดวางมือถือ เสียงของผู้หญิงที่แทร
สิบห้าปี..ยังหนีไม่พ้น- 18 -“ไอ้ภู! มึงกับน้อง..” พี่มาวินตาโต นิ้วชี้ค้างกลางอากาศ แต่มีหรือพี่ภูจะสนใจ ฉันเองได้แต่นั่งนิ่ง หยิบขนมมาเคี้ยว “ไอ้ภูเอ๊ย”“เลิกเรียกกูได้แล้ว จะกินมั้ยเหล้าอะ” พี่ภูเดินมาทิ้งตัวลงข้างฉัน ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นไปหยิบแก้วใสมาวางให้สองใบ พร้อมกันนั้นก็หยิบหอบข้าวของไปแกะใส่จานมาวางไว้ให้ทั้งคู่“งั้นหนูกลับห้องก่อนนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปหยิบขนมอีกชิ้นในซองมาเคี้ยวก่อนจะทำท่าจะเดินออกจากห้อง “อ่อ..พี่ภูพรุ่งนี้ไปดูทำเลร้านพร้อมหนูไหมคะ ถ้าไปก็อย่าดื่มมากนะคะ”“ครับ” ผมยิ้มหวานให้เด็กสาว เธอเองก็ยิ้มตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป“เล่า!” ทันทีที่ในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้วิน วิญญาณนักข่าวก็เข้าสิงมันทันที“ก็อย่างที่มึงเห็น กูคบกับน้อง” ผมพูดจบพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์“แล้วเรื่องกฎของร้านมึงจะทำไง” ไอ้วินเองก็ถามคำ กินเหล้าคำพอ ๆ กับผม แต่จากสายตาของผม มันเองก็ดูเหมือนจะมีอะไรในใจเหมือนกัน“ก็ไม่ทำไง เดิมทีกูก็จะปรึกษาพวกมึงเรื่องนี้”“แล้วทำไมไม่ปรึกษา”“ยาหยีอยากออกจากที่ร้าน”“ทำไมวะ เพราะกฎนี้นะเหรอ เฮ้ย! มันต้องมีทางออกอื่น”“น้องอยากทำธุรกิจ
คนนี้ของยาหยี 2/2- 17 -เธอใช้สองมือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ แก้เขิน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งเธอมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก“ไม่ชอบจริงเหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผู้หญิงด้านหน้า จนเธอหันมามองหน้าผมชัด ๆในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเปิดออก เธอเลือกที่จะหอมแก้มหนัก ๆ ของผมฟอดใหญ่ด้วยความเร็วและรีบวิ่งออกจากลิฟต์กลับไปทางห้องของตัวเองแบบไม่หันกลับมามองผมเลยสักนิด ผมยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมายืนมองเธอที่รีบกดรหัสผ่านเข้าห้องไปด้วยความเอ็นดูติ๊ง!‘พี่ภูเป็นแฟนกับยาหยีนะคะ’ ผมเปิดอ่านข้อความที่มาจากคนตัวเล็กส่งมาหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มในห้องนอนของตัวเอง‘พี่ต้องเป็นคนขอไม่ใช่เหรอ’‘รอพี่ภูขอ หยีแก่ตายพอดี’'ยาหยี..เป็นแฟนพี่นะครับ’‘ตกลงค่ะ!’ผมได้แต่นอนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือราวกับคนบ้า เราเริ่มสนทนากันมากขึ้น เริ่มศึกษานิสัยและความชอบของกันและกันมากขึ้น เวลาผ่านไปหลายเดือนที่เราใช้ชีวิตด้วยกันแบบไม่ได้บอกผู้ใหญ่หรือครอบครัว โดยเฉพาะกับคนที่ร้าน“พี่ว่าจะบอกไอ้วินกับปันหยา เรื่องของเรา” พี่ภูวางหนังสือที่กำลังอ่านลงบนหน้าอกพูดขึ้นในขณะที่ยังนอนหนุนตักของฉันที
คนนี้ของยาหยี 1/2- 17 -“คืออะไรกันคะ ทำไม..” ฉันได้แต่ยืนมองหน้าป้านภาสลับกับมองหน้าพี่ภู โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันจะต้องพูดหรือรู้สึกอย่างไร ป้านภาเป็นคนแนะนำให้ฉันมาสมัครที่ร้านนี้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นร้านของใคร และพี่ภูคือลูกชายของป้านภาแต่ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้จักมาก่อนทั้งที่บ้านเราทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้“ป้าก็อยากรู้ว่าทำไมเจ้าของรองเท้าเบอร์สามสิบแปดที่จอดหน้าห้องเจ้าภูถึงเป็นของหนูยาหยี” ป้านภามองหน้าฉันสลับกับพี่ภูอย่างต้องการหาคำตอบ แต่ยังเป็นแววตาที่เอ็นดูฉันเหมือนเดิม“มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่นอนครับ พอดีผมขอให้น้องมาทายาให้เฉย ๆ”“ยา..ทายาอะไรลูกเป็นอะไร” ป้านภาตรงดิ่งเข้ามาหาพี่ภู จับลูกชายของเขาหมุนซ้ายหมุนขวา โดยที่ใบหน้าของพี่ภูยังคงดุตกใจเหลอหลาอย่างเห็นได้ชัด “ไหน”“แม่ครับ แม่ใจเย็น ๆ ก่อน ภูไม่ได้เป็นอะไรมาก” พี่ภูจับไหล่ของป้านภาก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่“คุณ พาหนูหยีกลับเข้าไปในห้องก่อนเลยค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่ยืนเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “หนูยาหยีเข้าห้องไปก่อนนะจ๊ะ ป้ามีเรื่องอยากคุยกับเราสองคน”ฉันนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ป
ตู้เสื้อผ้าที่รัก 2/2- 16 -“แม่!ซ่อน..ซ่อนที่ไหนละ” เสียงของเธอสั่นระริก ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตาที่คล้ายกับว่าจะไหลออกมาเสียให้ได้ก๊อก!ก๊อก!“ตู้เสื้อผ้า หนูไปหลบในนั้นก่อนนะ” ผมชี้นิ้วไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ ยาหยีเองก็ไม่ชักช้า เธอรีบหยิบกระเป๋าของตัวเองวิ่งเข้าไปในตู้หลังนั้นอย่างว่าง่าย “อยู่ในนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่รีบมา”“มาแล้วครับ” ผมตะโกนเสียงดังพร้อมสวมเสื้อนอนแขนยาวปิดทับรอยฟกช้ำ เดินมายังประตูหน้าห้อง กดบิดลูกบิดออก เผยให้เห็นผู้เป็นแม่ยืนหน้าไม่รับแขกอยู่ด้านหน้า ถัดไปนั้นมีคุณพ่อที่ยืนหล่อจ้องหน้าผมเขม็งเช่นกัน“ทำไมเพิ่งเปิด แม่ได้ยินเสียงเราบิดลูกบิดนานแล้วนะตาภู” ทันทีที่แม่เดินเข้ามาในห้อง สายตาคมดุจเหยี่ยวสาวจับจ้องไปทุกมุมห้อง ราวกับหาความผิดปกติ “แกซ่อนอะไรหรือเปล่า”“ภูจะไปซ่อนอะไรคุณแม่ได้ละครับ” ผมเดินไปกอดผู้หญิงสูงวัยที่ยืนทำหน้าดุส่งมาให้อย่างออดอ้อน “คิดถึงแม่จังเลยครับ ทำไมมาดึกเลย”“ทำไมแม่จะมาหาลูกดึก ๆ ไม่ได้ละ” คนเป็นแม่ยังจ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละ ทำให้ผมเดินพาคุณนายแม่นั้นมานั่งที่โซฟาให้ใจเย็น ๆ แต่แม่ก็คือแม่ เพราะพริบตาเดียวแม่เดินเข้าไปสำรวจหาความผ
ตู้เสื้อผ้าที่รัก 1/2- 16 -“พี่ภู..ทายาบ้างหรือเปล่าคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอาหาร“ทาซิ” พี่ภูตอบพร้อมหลุบตาหนี ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เก็บจานไปวางที่ซิงก์ล้างจานฉันลุกขึ้นเดินตามพี่ภูไปยืนซ้อนที่ด้านหลัง ถือวิสาสะดึงชายเสื้อของพี่ภูขึ้น เผยให้เห็นรอยจ้ำสีม่วงที่บัดนี้มันขึ้นสีเขียวน่ากลัวอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าพี่ภูทายา ทำไมเป็นเยอะขนาดนี้ละคะ”“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เจ็บสักนิด” พี่ภูตอบแบบขอไปที พร้อมกับล้างจานจนเรียบร้อย“ทำหน้าอะไรแบบนั้น” พี่ภูหัวเราะขบขันให้ฉัน ก่อนจะโยกหัวฉันไปมาอย่างเช่นทุกครั้ง“พี่ภูไปอาบน้ำซิ เดี๋ยวหยีทายาให้” เดาได้เลยว่าที่แผ่นหลังขาว ๆ ไม่ยอมหายแบบนี้ แน่นอนว่าพี่ภูจะต้องทาไม่ถึงแน่ ๆ “ทาไม่ถึงใช่ไหมละคะ”“ไม่กลัวพี่ทำมิดีมิร้ายเหรอ” พี่ภูยังคงทำหน้าทะเล้นส่งให้ฉัน“กลัวว่าพี่ภูจะหนียาหยีอีกนะซิคะ” ฉันเอ่ยแบบพึมพำส่งให้ผู้ชายด้านหน้า ที่บัดนี้หัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจไปแล้ว“งั้นพี่รบกวนด้วยนะครับ พี่ไปอาบน้ำก่อน” พี่ภูโยกหัวฉันอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนฉันใช้เวลาเดินเล่นในห้องพี่ภู รูปภาพของเด็กผู้ชายคนนี้คุ้นตาฉันมากจนฉันเริ่มสงสัย ฉั
หัวใจเต้นตึกตักแต่แบบว่ารักกันไม่ได้ 2/2- 15 -“พอดีขิงง่วงแล้วค่ะพี่วิน ขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ” น้ำขิงเอ่ยจบเธอหันหลังเตรียมพร้อมจะเดินออกจากตรงนี้ แต่ทันทีที่พี่วินเห็นเช่นนั้น เขารีบวิ่งมาจับแขนของเธอให้หยุดชะงัก“เรื่องสำคัญ” พี่วินยังคงไม่ลดละ ฉันที่ยืนทำหน้างงได้แต่มองเขาทั้งสองสลับไปมาพร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ “ง่วงเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้อง”“ขิงจะกลับกับหยีค่ะ” น้ำขิงพูดกับพี่มาวินแต่หันมาทำสายตาขอความช่วยเหลือกับฉัน ซึ่งฉันก็ได้แต่ยืนทำหน้างง พี่มาวินเองก็หันมามองฉันด้วยสายตาที่ฉันก็ไม่รู้ความหมาย “ใช่มั้ยยาหยี”“ใช่ค่ะ เดี๋ยวหยีไปส่งเอง” ฉันตอบออกไปด้วยความงง แต่ก็ไม่ได้โกหกนะ เพราะเมื่อกี้ฉันคุยกับน้ำขิงไว้แล้วว่าจะไปส่ง “พี่มาวินมีธุระสำคัญเหรอคะ”“ใช่ เดี๋ยวพี่ไปส่งขิงเอง หยีกลับคนเดียวได้ใช่ไหม เมื่อเช้าพี่เห็นเราขี่รถมา” พี่มาวินเอ่ยกับฉันก็จริง แต่สายตายังคงจดจ้องมองไปที่น้ำขิงไม่กะพริบ ฉันมองทั้งสองคนด้วยความรู้สึกแบบไม่ชอบมาพากล แต่ในเมื่อน้ำขิงไม่ได้พูดอะไร ฉันจึงเลือกที่จะพยักหน้าให้ทั้งคู่ ก่อนจะปลีกตัวเองเดินมาที่มอเตอร์ไซต์สุดที่รักแทน“หรือว่าฉันตกข่าวอะไรไปนะ” ฉัน
댓글