เฟิ่งหรั่นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแม่หมอเฒ่าผู้นั้น กลิ่นอายบางอย่างที่นางไม่คุ้นเคยลอยโชยเข้ามาเตะจมูกนาง กลิ่นอันใดกันที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี คล้ายกับเลือดลมทั้งหมดหยุดไหลเวียนเช่นนี้ เพราะอะไร..?
“หรั่นหรั่น แม่หมอผู้นี้พ่อกับแม่เชื้อเชิญมาเพื่อตรวจดวงชะตาของเจ้ากับท่านอ๋องเก้า อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกแล้ว จำเป็นต้องมีการทำเช่นนี้เสียก่อน...” เฟิ่งฮูหยินคลี่ยิ้มเอ่ย
เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ ตอบผู้เป็นมารดา ส่วนเฟิ่งเจาหรงที่มาได้ยินการสนทนาและเห็นแม่หมอชื่อดังที่ถูกเชิญมาจึงได้ลอบแอบฟังการสนทนา
เฟิ่งฮูหยินทำถึงขนาดนี้ เพื่อประเคนบุตรสาวให้เป็นชายาอ๋องเก้าเลยรึ?!
เฟิ่งหรั่นแบฝ่ามือทั้งสองข้างและแจ้งวันเดือนปีเกิดของตนเองกับลู่
อ๋องต่อหน้าแม่หมอ แม่หมอเฒ่าได้ทำการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว แต่ทว่า...
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะแม่หมอ” เฟิ่งฮูหยินถามด้วยความร้อนรนระคนตื่นเต้นในใจ นางเห็นแม่หมอผู้นี้สัมผัสมือบุตรสาวและนั่งหลับตาอยู่
นานแล้ว
แม่หมอนิ่งเงียบ นางพยายามเพ่งเล็งสมาธิให้มากที่สุดแต่กลับไม่
เห็นสิ่งใด สรรพสิ่งรายรอบมืดมนไปหมด แต่นางกลับได้กลิ่นแห่งหายนะ...กลิ่นแห่งความตายที่ลอยโชยเข้ามา ซึ่งเป็นกลิ่นที่ชัดเจนที่สุดมาจากเฟิ่งหรั่น!
“รอบทางมืดมนไปหมด กลิ่นแห่งความตาย...ข้าได้กลิ่นแห่งความตาย!” แม่หมอผู้นั้นเอ่ยเสียงดังน่าหวาดกลัว เฟิ่งฮูหยินตกใจจนจอกชาเกือบหล่นจากมือ เฟิ่งอี้ที่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปนางเอ่ยเสียงดังขัดขึ้นมา
“ท่านต้องโกหกแน่ๆ แม่หมอ...พี่สาวข้ากำลังจะอภิเษกเป็นพระชายาอ๋อง กลิ่นแห่งความตายอะไรของท่าน!” เฟิ่งอี้เดินเข้ามากระชากมือเฟิ่งหรั่นออกจากแม่หมอเฒ่าด้วยความโกรธ
แม่หมอมองเฟิ่งหรั่นด้วยแววตาสั่นเครือ
“ความตาย ใกล้จะมาเยือนท่านแล้ว...” นางกล่าวแค่นั้นแล้วรีบเดินออกไป ไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว รู้แต่ว่ากลิ่นอายจากเฟิ่งหรั่นนั้นน่ากลัวยิ่งนัก หญิงสาวที่กลิ่นตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย นางไม่มีทางมาเป็นชายาอ๋องได้เด็ดขาด
เฟิ่งเจาหรงเดินตามแม่หมอผู้นั้นไปโดยพยายามลบเลี่ยงจากสายตาของบิดาและฮูหยินใหญ่
“ท่านแม่หมอ เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ” เฟิ่งเจาหรงร้องเรียกแม่หมอที่กำลังจะเดินพ้นจากประตูจวน
“มีเรื่องอันใดกัน” แม่หมอมองสำรวจเฟิ่งเจาหรงอยู่ครู่หนึ่ง นางเป็นหมอที่ดูดวงชะตามาทั้งชีวิต แค่มองก็พอคาดเดาได้แล้วว่าชะตาชีวิตคน
ที่อยู่เบื้องหน้านั้นจะเป็นอย่างไร
“เมื่อสักครู่ สตรีที่ท่านทำนายนางเป็นพี่หญิงใหญ่ของข้า เกิดอะไร
ขึ้นกับนางหรือ” เฟิ่งเจาหรงไม่มีท่าทียินดียินร้ายใดๆ แค่เพียงนางได้ยินแม่หมอพูดเรื่องความตายต่อหน้าเฟิ่งหรั่น นับเป็นเรื่องดีต่อนางและมารดายิ่งนัก
แม่หมอไม่ตอบ นางกวาดสายตามองเฟิ่งเจาหรงแทนคำตอบ
“ข้าได้กลิ่นความตายมาจากตัวเจ้า...”
เฟิ่งเจาหรงหน้าชา นางถามเรื่องเฟิ่งหรั่น แต่กลับได้รับคำตอบอัปมงคลมาแทน! นางมองร่างของแม่หมอเฒ่าที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ นางอยากกรีดร้องกับคำพูดเมื่อสักครู่แต่ก็ไม่อาจทำได้ ด้วยเกรงว่าตนเองจะกลายเป็นที่ตลกขบขันของเฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้
แม่หมอเฒ่าเดินพ้นมาจากจวนสกุลเฟิ่งไกลพอสมควร เมื่อสักครู่ที่นางได้กลิ่นความตายนั้นไม่ผิด! หญิงสาวผู้นั้นเฟิ่งหรั่น มีชะตาเป็นนางหงส์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ทว่ากลับมีรัศมีแห่งความตายมาบดบังดวงชะตาของนางเอาไว้ หญิงสาวผู้นี้มีชะตาชีวิตที่สลับซับซ้อนและน่ากังวลยิ่งนัก
อีกไม่นานอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นพระชายาเอกของอ๋องเก้าแล้ว ฤกษ์มงคลกำลังจะถูกส่งมาจากวังหลวง ไม่รู้ทำไมถึงมีความรู้สึกบางอย่างว่าอ๋องเก้าไม่คู่ควรกับนางเลยสักนิด ทั้งๆ ที่สกุลนี้กับอ๋องเก้าสนิทสนมกันมาเนิ่นนาน เพราะอะไร?
“ดวงชะตาย่อมเปลี่ยนแปลงกันได้ตลอดเวลาเจ้าค่ะท่านแม่ อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ” เฟิ่งหรั่นเอ่ย แม้คำพูดจากปากของแม่หมอเฒ่าเมื่อนำมาคิดรวมกับความฝันของนางที่แสนน่ากลัว กลับยิ่งมีน้ำหนักยิ่งนัก นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงไม่คัดค้านเรื่องการแต่งงานกับลู่อ๋อง หรือจะเป็นวาสนาของนางจริงๆ
เฟิ่งอี้ได้ทีจึงรีบเอ่ยส่งเสริมพี่สาว
“นั่นสิเจ้าคะท่านแม่ แม่หมอเฒ่าผู้นั้นก็ย่อมต้องมีทำนายผิดพลาดกันบ้าง ปากของนางเอ่ยวาจาไม่เป็นมงคล ท่านอย่าไปเชื่อเลยเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่มีวาสนาสูงได้อภิเษกเป็นพระชายาเอกท่านอ๋องเก้า จะมีความตายเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไรเจ้าคะ”
ใต้เท้าเฟิ่งคิดตามบุตรสาวคนเล็ก ดวงชะตานั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและไม่อาจยึดถือเป็นแนวทางการดำรงชีวิตได้ การที่อ๋องเก้าขอสมรสพระราชทานเช่นนี้ ก็คงเป็นวาสนาของสกุลเฟิ่งมากกว่าจะเป็นคราวเคราะห์ สตรีทั่วทั้งเมืองหลวงปรารถนาอยากเป็นชายาของลู่อ๋องกันทั้งนั้น คงมิใช่คราวเคราะห์ของบุตรสาวเขาอย่างแน่นอน
แม้ในใจของอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งจะปรารถนาให้บุตรสาวคนใดคนหนึ่งเป็นพระชายาองค์รัชทายาทลู่เฟยหลง แต่ก็คงเป็นไปได้ยากนัก มีข่าวลือหนาหูเหลือเกินว่าลู่เฟยหลงนั้นเป็นพวกตัดแขนเสื้อ มีบุรุษมากมายคอยรับใช้ไม่ห่างกาย แม้ว่าไทเฮาจะทรงหาสตรีมากมายหรือแนะนำอวี๋ฟางหรง แต่ก็มิเคยมีสตรีใดได้เข้าถวายตัวรับใช้หรือเป็นพระชายาเอกเลย ดังนั้นการ
ได้เสกสมรสกับลู่อ๋องก็ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน
แม้ว่าความยิ่งใหญ่ของลู่อ๋องจะไม่เทียบเท่าลู่เฟยหลง แต่ก็มีซู่ไท่เฟยที่เป็นฐานอำนาจหนุนหลัง สนับสนุนอยู่ไม่ห่าง วังหลังก็มีเพียงซู่ไท่เฟยที่พอจะคานอำนาจกับไทเฮาได้
“อีกไม่นานข้าก็จะเสกสมรสกับท่านอ๋องเก้าแล้ว ข้าไม่อยากให้เรื่อง
คำทำนายพวกนี้มาทำลายงานแต่งเจ้าค่ะท่านแม่” เฟิ่งหรั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ วันนี้นางเพลียมากจริงๆ นับตั้งแต่ได้ยินแม่หมอเฒ่าเอ่ยเรื่องความตาย จิตใจของนางก็พลันห่อเหี่ยวลง แต่อ๋องเก้าเป็นบุรุษที่ดีผู้หนึ่ง จะพานางไปพบกับความตายได้อย่างไรกัน คำทำนายพวกนั้นคงไม่มีทางเป็นเรื่องจริง
นางกับลู่อ๋องมีใจตรงกัน เขาจะไม่มีวันพานางไปพบกับความตายอย่างเด็ดขาด
“ท่านอย่าไปเชื่อคำพูดพวกนั้นเลยพี่หญิง ไปเถิด ข้าจะพาท่านไปพักผ่อนดีกว่า” ว่าจบแล้วเฟิ่งอี้ก็คล้องแขนของเฟิ่งหรั่น พาผู้เป็นพี่สาวออกจากห้องโถงใหญ่กลับเรือนไป แต่ทว่าภายในใจนางกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ดี ลางร้ายหรืออย่างไร?
ลู่เฟยหลงกักตนเองอยู่ในตำหนักบูรพา นับจากงานเลี้ยงวันนั้นเขาก็แทบไม่ย่างกรายออกจากเขตตำหนักเลยแม้แต่น้อย ลู่ไทเฮาคงคาดเดาได้ว่าบุตรชายคนเล็กคงไม่พอใจที่พระนางจับคู่เขากับอวี๋ฟางหรงเป็นแน่ นอกจากจุดประสงค์เรื่องการเมืองแล้วนั้น พระนางก็ทรงทราบอยู่เนืองๆ ว่าบุตรชายมีความสนิทสนมกับองครักษ์คนสนิทและรองแม่ทัพมาก สามารถติดต่อเข้านอกออกในกันได้อย่างสะดวกสบาย จนมีข่าวลือหนาหูยิ่งนักว่าบุตรชายของพระนางอาจเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ ซึ่งพระนางไม่อาจให้เป็นเรื่องจริงได้ แม้จะไม่สอบถามลู่เฟยหลงตรงๆ แต่พระนางก็คาดเดาได้ไม่ยากเท่าใด
แม้การแต่งงานกับอวี๋ฟางหรงจะมีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง แต่อีก
จุดประสงค์คือพระนางต้องการกลบข่าวลือเรื่องที่บุตรชายมีพฤติกรรมตัดแขนเสื้อตนเองเช่นนี้ เพื่อลบคำเล่าลือและข้อสงสัยของเหล่าขุนนาง หากเหล่าขุนนางยกเรื่องนี้ขึ้นมาถกในท้องพระโรงเมื่อใด อาจเป็นช่องทางให้ซู่ไท่เฟยถือโอกาสเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในราชสำนักได้ แม้ว่าเหล่าเสนาบดีบางส่วนจะสนับสนุนอ๋องเก้าและซู่ไท่เฟยก็ตาม
เดิมทีพระนางคิดให้เฟิ่งหรั่นมาเป็นพระชายารองของลู่เฟยหลง แต่เห็นโอกาสไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะซู่ไท่เฟยและลู่อ๋องเดินนำพระนางไปหนึ่งก้าวแล้ว หากไม่เอาอำนาจของเจ้ากรมอาญาอวี๋มาขัดขวาง เกรงว่าซู่ไท่เฟยอาจจะเรืองอำนาจมากกว่านี้
พระบาทของไทเฮามาหยุดตรงทางเข้าตำหนักบูรพา กงกงคนสนิทนามว่ากู่กงกงเดินเข้ามา ใบหน้าของขันทีอาวุโสวิตกกังวลอย่างยิ่ง พระกระยาหารนั้นถูกเสวยไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น และไม่มีแม้แต่พระสุรเสียงตรัสออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
“ลูกชายข้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด?” ลู่ไทเฮาทรงถามกู่กงกง
กู่กงกงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ แต่สุดท้ายจึงยอมตอบ “ตั้งแต่งานเลี้ยงเมื่อวันก่อนเลิกราพะยะค่ะ ก็ทรงเอาแต่เก็บพระองค์ในตำหนัก พระกระยาหารก็เสวยเพียงนิดเดียวเท่านั้น บ่าวไพร่ไม่ทรงเอ่ยเรียกสักคนเลยพะยะค่ะ”
ไทเฮาทรงมองผ่านกู่กงกงไปที่ตำหนักบูรพา คิ้วทั้งสองของพระนาง
ขมวดกันเป็นปมด้วยความกังวล หากลู่เฟยหลงทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ออกมาช่วยผู้เป็นพี่ชายออกว่าราชการคงไม่ดีแน่
“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” อวี๋ฟางหรงที่เดินเข้ามาพร้อมกับของ
บางอย่าง นางย่อกายคำนับไทเฮาอย่างนอบน้อมพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ
ลู่ไทเฮาทรงถอนพระทัยอย่างโล่งอก สตรีที่พระนางหมายปั้นให้เป็นพระชายารัชทายาทปรากฏตัวออกมาได้ทันเวลานัก อวี๋ฟางหรงเข้ามาประคองลู่ไทเฮาอย่างอ่อนโยน นางรู้ดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายคิดสิ่งใดในใจ
“องค์ชายทรงกักตนเองอยู่ในตำหนักเช่นนี้ ย่อมทำให้ไทเฮาทรงไม่สบายพระทัย หรงเอ๋อร์ไม่ดีเองเพคะ...” อวี๋ฟางหรงกล่าวโทษตนเองอย่างน่าสงสาร ลู่ไทเฮาทรงลูบใบหน้าอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ใครว่าเป็นความผิดของเจ้ากัน อาหลงคงมีเรื่องให้คิดมากเลยทำเช่นนี้...” ลู่ไทเฮาทรงพยายามเอ่ยปลอบใจอีกฝ่าย
อวี๋ฟางหรงก้มหน้าพร้อมกับยกยิ้มน้อยๆ “เพคะ วันนี้หม่อมฉันมาเพื่อจะเข้าเฝ้าองค์ชาย...”
“เรียนคุณหนู ตอนนี้องค์รัชทายาททรงไม่ประสงค์ให้ผู้ใดเข้าพบขอรับ” กู่กงกงเอ่ยออกไปตามตรง
“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านกงกง แค่ท่านปล่อยให้ข้าเข้าไป พระองค์จะยอมพบข้าเอง” อวี๋ฟางหรงคลี่ยิ้มบางๆ ลำพังนางจะลอบแฝงกายเข้าไปก็ย่อมได้ แต่เกรงว่าจะทำให้เทพเซียนสวรรค์รู้ว่านางก้าวข้ามกฎการใช้พลังเซียน ดังนั้นนางเก็บพลังเซียนเอาไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า
กู่กงกงไม่กล้าเอ่ยคำใดคัดค้านเมื่อเห็นสีพระพักตร์ของไทเฮาเป็นเชิงแกมตำหนิ กงกงประจำตำหนักบูรพาจึงยอมให้อวี๋ฟางหรงเข้าไป
อวี๋ฟางหรงเดินมาหยุดหน้าประตูเข้าเรือนนอนตำหนักบูรพา ชาติก่อนลู่เฟยหลงเป็นเช่นไร ชาตินี้ก็ยังเป็นดังเดิมไม่มีเปลี่ยน เวลาหากไม่
สมปรารถนาสิ่งใดก็เอาแต่กักตนอยู่ในตำหนัก ไม่สมดั่งฉายาเทพสงครามแดนสวรรค์เลยจริงๆ
หญิงสาวตัดสินใจเคาะประตูและถือโอกาสเดินเข้าไปด้านใน นางเห็นบุรุษที่นางหมายมาเยี่ยมด้วยเรื่องบางอย่าง กำลังนั่งอยู่โดยมีโต๊ะคัดอักษรอยู่ด้านหน้า แต่ทว่าฝ่ามือหนาของเขากลับหมุนพู่กันเล่นเท่านั้น สายตาเลื่อนลอย มีแต่ความโศกเศร้า อวี๋ฟางหรงจับสังเกตความรู้สึกจากสายตาคู่นี้ได้
สำหรับลู่เฟยหลง เมื่อรู้สึกตัวถึงการมาเยือนของผู้มาใหม่ เขาวางพู่กันลงบนโต๊ะคัดอักษร มองอวี๋ฟางหรงอย่างไม่พอใจ
“เสด็จแม่ส่งเจ้ามาหาข้าหรือ?” ลู่เฟยหลงถามนางเสียงแข็ง
“ที่ข้ามาวันนี้ เพราะมีของสำคัญบางอย่างจะมอบให้ท่าน...” อวี๋ฟางหรงมองอนาคตต่อจากนี้ของเขาออก นางมาที่นี่เพื่อยื่นของสำคัญบางอย่างให้
ของสำคัญที่ว่านั้นคือดอกไห่ถังแบบเดียวกับที่นางเคยมอบให้เฟิ่งหรั่น ลู่เฟยหลงรับดอกไม้นั้นมามองอย่างพิจารณา นางเป็นหญิงมามอบดอกไม้ให้เขาด้วยเรื่องอันใดกัน เขามองดอกไห่ถังอยู่สักครู่แล้วถามนาง
“เจ้าเป็นหญิง มอบดอกไม้นี้ให้ข้าเห็นทีคงไม่เหมาะสม”
อวี๋ฟางหรงยิ้มอ่อนๆ “สัญญาหมั้นหมายระหว่างพระองค์กับหม่อมฉัน การที่หม่อมฉันทำเช่นนี้มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือเพคะ”
นางย้อนเกล็ดถามเขากลับ มุมปากข้างหนึ่งกดรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย
“หม่อมฉันมอบดอกไม้นี้ให้พระองค์ เมื่อถึงเวลาก็จะทราบเองว่าทำไมหม่อมฉันถึงมอบให้” อวี๋ฟางหรงกล่าวแค่นั้นแล้วนางจึงลุกเดินออกจากตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางไม่สามารถบอกลู่เฟยหลงกับเฟิ่ง หรั่นได้ แต่อีกไม่นานนับจากนี้กงล้อแห่งโชคชะตาจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...
ตำหนักของซู่ไท่เฟยครึกครื้นยิ่งนัก ยิ่งได้ทราบว่ากำหนดฤกษ์อภิเษกของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่นออกมาจากสำนักโหรหลวงแล้ว พระนางทรงสั่งให้มีการแจกเบี้ยหวัดกับขันทีและนางกำนัลของตนเองเสียใหญ่โต อีกทั้งยังมีการตระเตรียมของสำหรับดำเนินการตามขั้นตอนสามหนังสือหกพิธีการ6 ตามขนบธรรมเนียมมาแต่โบราณ
แต่ทว่าคนที่ตื่นเต้นมากที่สุดคือลู่อ๋อง ในที่สุดเขากำลังจะได้ผูกด้ายแดงกับเฟิ่งหรั่นที่หมายปองมานานนัก นางไม่ปฏิเสธการแต่งงานกับเขา นั่นเพราะนางย่อมมีใจต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย สตรีที่งามพร้อมทั้งรูปโฉมและฐานะเช่นนี้ จะไม่ให้เขาต้องการคว้าตัวนางมาได้อย่างไร
ทว่ามีคนสุขก็ย่อมมีคนทุกข์เช่นกัน เมื่อลู่เฟยหลงแทบไม่ออกช่วยฮ่องเต้ว่าราชกิจใดๆ เพราะเรื่องการแต่งงานกับเฟิ่งหรั่น ลู่อ๋องกับซู่ไท่เฟยก็ยิ่งปรีดามากขึ้นไปอีก หากเหล่าเสนาบดีทราบว่าลู่เฟยหลงไม่เอาการเอางานเช่นนี้ ตำแหน่งรัชทายาทย่อมสั่นคลอน และคงมีการบีบฮ่องเต้ให้ทำการคัดเลือกรัชทายาทพระองค์ใหม่ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องหาทางกำจัดลู่เสวียนที่เป็นโอรสสายตรงของฮองเฮาเซียวด้วยเช่นกัน เพื่อมิให้เป็นขวากหนามในอนาคตของพระนางกับโอรส
“ไท่เฟย สาสน์กำหนดฤกษ์มาถึงแล้วเพคะ” นางกำนัลคนสนิทของ
ซู่ไท่เฟยเข้ามาถวายรายงาน พร้อมกับม้วนสาสน์ที่ระบุฤกษ์มงคล
“แล้วทางสกุลเฟิ่งทราบหรือยัง?”
ไท่เฟยทรงตรัสถาม
“เซียวฮองเฮาทรงให้คนของนาง ส่งเรื่องนี้ไปที่จวนใต้เท้าเฟิ่งแล้วเพคะ” นางกำนัลคนเดิมตอบเสียงใส
“ฮองเฮานางเป็นพี่สะใภ้ของเฟยหลง นางจะไม่ทำให้แผนการของเราล่มหรือพะยะค่ะเสด็จแม่” ลู่อ๋องเอ่ยถามมารดาด้วยความไม่สบายใจ
ซู่ไท่เฟยเองก็กังวลพระทัยไม่ต่างกัน “แม่เองก็กังวลอยู่ แต่เรื่องการแต่งสตรีมาเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นหน้าที่ของฮองเฮาที่เป็นประมุขของฝ่ายใน แม้แม่จะเป็นผู้ใหญ่ของวังหลัง แต่เรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นฮองเฮาที่ต้องจัดการร่วมด้วย”
ลู่อ๋องจนด้วยคำพูด แม้เซียวฮองเฮาจะไม่มีกำลังสนับสนุนที่ชัดเจนแต่ยังมีแรงสนับสนุนจากเสนาบดีที่สนับสนุนลู่เฟยหลงและฮ่องเต้ การทำสิ่งใดในฝ่ายใน จะตั้งหรือปลดนางกำนัลขันทีคนใด นางย่อมทำได้ทั้งสิ้น
“ตอนนี้หน้าที่เจ้า คือนำของหมั้นนี้ไปมอบให้นาง ทำให้นางแต่งงานกับเจ้าโดยไร้เงื่อนไขใดๆ ให้ลู่เฟยหลงรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับนาง” ซู่ไท่เฟยพร้อมยกยิ้มข้างหนึ่งที่มุมปาก หากได้อำนาจสกุลเฟิ่งมา ก็จะทรงมีอำนาจมากพอหากจะล้มฮ่องเต้และรัชทายาทพี่น้องคู่นี้!
สาสน์กำหนดฤกษ์มงคลวันอภิเษกถูกส่งมาที่จวนสกุลเฟิ่งในเพลาไม่นาน นางกำนัลคนสนิทของซู่ไท่เฟยและขันทีของลู่อ๋อง ให้คนนำของหมั้นมากมายเข้ามาในจวนอย่างยิ่งใหญ่ เฟิ่งฮูหยินยิ้มปรีดากับเครื่องประดับงดงามมากมายที่ซู่ไทเฟยทรงพระราชทานให้เป็นของขวัญสำหรับการหมั้นหมายครั้งนี้
“นี่ดูสิ ปิ่นไข่มุกราตรีนี้งดงามจริงๆ” เฟิ่งฮูหยินหยิบปิ่นไข่มุกราตรีมองดูด้วยความชื่นชม
“ได้ข่าวว่าฤกษ์การอภิเษกมาส่งถึงจวนแล้ว...ยินดีกับพี่หญิงใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ” เฟิ่งเจาหรงเดินเข้ามาในเรือนของเฟิ่งหรั่นอย่างถือวิสาสะ นางกรีดยิ้มบางๆ อย่างมีเลศนัย ก่อนจะเดินเข้ามาแสร้งกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือน แต่ทว่าภายในใจนั้นเต็มไปด้วยไฟริษยาสุมอก
เฟิ่งฮูหยินมองเฟิ่งเจาหรงด้วยสายตาไม่พอใจ บุตรีอนุภรรยาผู้นี้นางไม่รู้จักอยู่อย่างเจียมตนหรืออย่างไร เห็นทีหากงานอภิเษกผ่านไปนางคงต้องจัดการสองแม่ลูกคู่นี้ให้หลาบจำ!
“พี่หญิงรองมีสิทธิ์เข้าออกในเรือนของพี่ข้าตั้งแต่เมื่อใดกันเจ้าคะ เป็นแค่ลูกอนุ ก็ควรทำตัวแบบลูกอนุถึงจะถูก” เฟิ่งอี้มองเฟิ่งเจาหรงด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน
เฟิ่งเจาหรงกอดอก แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา “ข้าเองก็ไม่อยากมาเท่าไหร่ ด้วยเพราะรู้ฐานะของตนเองดี ก็แค่อยากมาแสดงความยินดีก็เท่านั้น”
_________________________
6สามหนังสือหกพิธีการ ขั้นตอนการสู่ขอเจ้าสาวแบบจีนโบราณนั่นเอง โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนหนังสือสามฉบับระหว่างตระกูล และการดำเนินตามพิธีการ 6 ข้อด้วยกัน สามหนังสือได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย,หนังสือสินสอดและหนังสือรับตัว ส่วนหกพิธีการได้แก่ การสู่ขอ,การขอวันเดือนปีเกิด,การเสี่ยงทาย,การมอบสินสอด,การดูฤกษ์ยาม และสุดท้ายคือการไปรับเจ้าสาว
กาลเวลาผ่านไปนานเกือบห้าปีเต็ม ในที่สุดฮองเฮาเฟิ่งหรั่นก็มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยออกมาอย่างปลอดภัย โดยทันทีที่โอรสน้อยถือกำเนิดมาลู่เฟยหลงก็สถาปนาเป็นองค์รัชทายาททันที โดยมีพระนามว่าลู่จื้อ ที่หมายถึงหยกแห่งความเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นชื่อที่มีความหมายมงคลอย่างยิ่งบัดนี้องค์ชายน้อยในวัยชันษาเพียงห้าปีกว่ากำลังวิ่งเล่นกับชินอ๋องผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข เนื่องจากชินอ๋องหรือองค์ชายน้อยลู่เสวียนยังเยาว์วัยอยู่มาก ลู่เฟยหลงจึงนำเขามาเลี้ยงดูในวังตามหน้าที่ของเสด็จอา แม้ว่าเด็กน้อยจะสูญเสียทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้เป็นมารดาไป ทว่ากลับได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากลู่เฟยหลงและเฟิ่งหรั่นไม่ต่างจากบิดามารดาที่มอบให้บุตรคนหนึ่งอีกทั้งนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องที่นางมีประสูติกาลพระโอรสแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวดีไม่แพ้กันถึงสองเรื่อง นั้นคือการแต่งงานระหว่างไป๋ซูเหวินและหลินเอ๋อร์ ไป๋ซูเหวินที่กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเมืองทัวปาคนใหม่ แม้งานราชกิจจะรัดตัวมาก แต่ทว่าทุกครั้งที่เขามาเยือนเมืองหลวงเป็นต้องแวะเวียนมาหาหลินเอ๋อร์ เกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมตกลง
ไม่กี่วันถัดมา วังหลวงบังเกิดข่าวดีขึ้นอีกครั้งการจัดพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทว่าลู่เฟยหลงที่เตรียมตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับต้องพบข่าวดีว่าตนเองนั้นกำลังจะกลายเป็นบิดาแล้ว เมื่อเฟิ่งหรั่นภรรยารักของเขานั้นตั้งครรภ์จากคำรายงานของหมอหลวง“จริงหรือ...ว่าที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้วหรือ?” ลู่เฟยหลงดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาถามหมอหลวงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลายเป็นบิดาในอีกไม่กี่วัน“พะยะค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ” หมอหลวงและทุกคนต่างคุกเข่าประสานมือแสดงความยินดีกับว่าที่ฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะมีทายาทมังกรสืบราชบัลลังก์ในไม่ช้านี้ ลู่เฟยหลงไม่รอช้าจึงรีบเข้าไปในตำหนักบูรพาเพื่อสวมกอดภรรยารักทันที“ท่านพี่...” เฟิ่งหรั่นยิ้มดีใจเมื่อนางได้พบคนที่อยากพบมากที่สุดในเพลานี้ ตอนนี้นางเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนางกำลังเลือกเครื่องประดับมงคลใส่ในวันราชาภิเษกกับมารดา แต่สุดท้ายนางก็เป็นลมหมดสติไป หมอหลวงมาตรวจจึงได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราว
คุกหลวงในยามจื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งวันใหม่มืดมนน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะมีแสงไฟจากกระถางไฟรายรอบคุกหลวงก็ตาม เหล่าทหารยามผลัดเปลี่ยนเวรกันในช่วงยามนี้พอดี โดยมีซ่งหลานผลัดมาทำหน้าที่นี้แทนหัวหน้าองครักษ์หลวงที่แลกเปลี่ยนเวรกันไปก่อนหน้านี้เฟิ่งอี้นั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง นางนั่งกอดเข่าท่าทางสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและเนื้อตัวที่มีแต่รอยช้ำของเล็บที่นางจิกเข้าผิวเนื้อ รอยแดงจำนวนมากบนแขนของนางเกิดจากตัวนางเองทั้งสิ้น ซ่งหลานได้แต่มองภาพนั้นอย่างเวทนาในใจ“ไม่! อย่าทำข้า...กรี๊ด!” จู่ๆ เฟิ่งอี้ก็กรีดร้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ แขนของนางยกขึ้นมาราวกับปัดป้องบางอย่างที่กำลังจะคุกคาม“นางอาละวาดมาแบบนี้สักพักแล้วขอรับใต้เท้า...” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน“คอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีล่ะ” ซ่งหลานสั่งสั้นๆ แล้วเดินจากไปแววตาอันเลื่อนลอยของเฟิ่งอี้มองสรรพสิ่งรายรอบ นางรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก ภายในใจของนางเกิดหวาดกลัวจับใจ&n
อัครมหาเสนาบดีเกาหยางกับเครือญาติถูกซ่งหลานจับตัวมาหมดทั้งจวน เกาหยางก่นด่าโวยวายตลอดทางที่ถูกจับกุมมา ท่ามกลางความปรีดาของชาวเมืองที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ด้วยความแตกตื่น เพลานี้เกิดจลาจลภายในเมืองหลวงขึ้นมา แต่ประชาชนอย่างพวกตนได้รับผลกระทบไม่มากนัก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง อีกทั้งเกาหยางกับคนสกุลเกาก็ถูกจับไปแล้ว เดาว่าอีกไม่นานคงมีพระบรมราชโองการจากโอรสสวรรค์พระองค์ใหม่ให้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่ชาวบ้านที่เคยถูกเกาหยางกดขี่ บัดนี้ต่างพร้อมใจกันขว้างปาก้อนกรวดรายทางใส่ตลอด จนทั้งร่างของอัครมหาเสนาบดีเฒ่าเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากศีรษะที่แตก เกาหยางจนปัญญาที่จะขัดขืน เสนาบดีเฒ่าคาดการณ์ว่าตอนนี้ในวังหลวงคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ แต่จะเป็นใครกันที่สั่งการ?ลู่เฟยหลงนั่งรออย่างใจเย็นที่ตำหนักบูรพาของเขา บัดนี้ลู่อวี้ ซู่ไท่เฟย เกากุ้ยเฟยต่างถูกพามาที่นี่กันหมด จากนั้นไม่นานทหารกลุ่มหนึ่งจึงพาร่างของเฟิ่งอี้ที่อิดโรยมาแล้วโยนร่างนางให้ทรุดลงกับพื้นต่อหน้าธารกำนัล ศัตรูคู่อาฆาตที่ทำร้ายเฟิ่งหรั่น!“ซ่งหลาน ไปเชิญพระชายาเรามาที่นี่&rdquo
นับวันอาการของเฟิ่งอี้ยิ่งหนักมากขึ้นทุกที เฟยเซียงแอบถ่ายปราณมารที่เกินขีดจำกัดเอาไว้ในกายนาง โดยที่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนนี้ภายในวังหลวงระส่ำระส่ายยิ่งนัก สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร เหล่าบรรดาเสนาบดีน้อยใหญ่ต่างพยายามตั้งตนมาเป็นใหญ่แทนนางโดยอ้างเรื่องที่นางไม่ออกว่าราชการหลายวัน อีกทั้งซู่ไท่เฟยเองก็มีท่าทีคุกคามภายในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเรียกหมอหลวงมาดูอาการเถิดเพคะ นับวันพระนางจะยิ่งทรงประชวรหนักมากขึ้นทุกที หากไม่...” นางกำนัลสาวกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาดุจากประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในต้องเงียบปากลง“อาการที่ข้าเป็นอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวหรือไม่” เฟิ่งอี้หวงแหนอำนาจที่ได้มาเกินกว่าจะห่วงตนเองในยามนี้ ยามนี้ซู่ไท่เฟยพยายามสร้างฐานอำนาจแทนนาง ส่วนตัวนางที่อุตส่าห์มานะสร้างฐานอำนาจของตนเองมานานขนาดนี้ นางจะไม่ยอมเสียอำนาจไปเด็ดขาด“จากคนของเราที่ไปสอดแนมในตำหนักคังเฉวียน เหล่าเสนาบดีกลุ่มหนึ่งรวมถึงเจ้ากรมพ
เฟิ่งเจาหรงออกมาสูดอากาศข้างนอก ตอนนี้นางไม่ได้ทำงานในเหลาสุรานั้นอีกต่อไป เพราะพระเมตตาของรัชทายาทลู่เฟยหลงทรงอนุญาตให้นางพักที่เรือนของเจ้าเมืองไป๋ซูเหวินสักระยะหนึ่ง หากทำศึกชนะเฟิ่งอี้ได้เมื่อใดนางก็จะมีอิสระ ได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับมารดาของตนเองส่วนทางด้านลู่เฟยหลงนั้น ตอนนี้เขากับเฟิ่งหรั่นมีคำสั่งลับกับซ่งหลานและจางซินเฉิง โดยออกอุบายให้ซ่งหลานนำกองทัพทหารหนานจิงจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาสำเร็จโทษ ซึ่งการทำตามแผนเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ทัวปาอวี้แน่ใจว่าลู่เฟยหลงตายแล้ว และเฟิ่งอี้ขึ้นเป็นฮองเฮาผู้สำเร็จราชการแทนสวามีของนาง เจ้าเมืองทัวปาก็เริ่มมีท่าทีกระด้างกระเดื่องหมายจะตั้งตนเองเป็นอิสระจากการปกครองของต้าเหลียว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ซ่งหลานวางแผนการคาดการณ์กำลังของศัตรูได้ที่วางกำลังทหารประจำประตูแต่ละทิศได้แม่นยำในเมื่อทัวปาอวี้สนใจแต่การก่อกบฏตั้งตนเองเป็นอิสระ ซ่งหลานจึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปลอบสังหารคนของทัวปาอวี้ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาแบบเป็นๆแผนการ