ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ฤกษ์อภิเษกสมรสของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่น มาตรงกับวันที่ลู่เฟยหลงได้รับแจ้งจากรองแม่ทัพคนสนิทที่ประจำการชายแดนเหนือรายงานมาว่า บัดนี้กองทัพกบฏได้กวาดต้อนชาวเมืองและเสบียงไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าแม้จะช่วยชาวเมืองและกันเสบียงบางส่วนออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถกำจัดฝ่ายศัตรูให้พ้นไป ลู่เฟยหลงจึงมีข้อกล่าวอ้างต่อฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและพระมารดาของตน
เดิมทีเขาไม่ต้องการเห็นสตรีที่รักเป็นของบุรุษอื่นให้ปวดใจ การไปทำศึกสงครามครั้งนี้ และถือโอกาสประจำการที่ชายแดนชั่วคราวจะดีกว่า หรือเขาอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไป และอาจคืนตำแหน่งรัชทายาทให้ลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยของเขา
“เจ้าคิดจะไปประจำการที่นั่นจริงๆ หรือ?” ลู่ฮ่องเต้ทรงถามด้วยพระพักตร์และพระทัยกังวล น้องชายผู้นี้คือหัวเรี่ยวหัวแรงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ดีของลู่เสวียน แต่วันนี้เพราะเรื่องการแต่งงานของเฟิ่งหรั่นหรือไม่ ที่ทำให้น้องชายของพระองค์ตัดสินใจเช่นนี้
วันนี้ทั้งสองพระองค์สนทนากันเป็นส่วนตัวที่ศาลาริมสระในอุทยานหลวง ไม่มีคำว่าฝ่าบาทหรือพระอนุชาอีกต่อไป มีเพียงแต่ความเป็นพี่น้อง
ร่วมสายโลหิตเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับเฟิ่งหรั่น แต่ตอนนี้หากวาสนามิได้ครองคู่กัน ก็จงอย่าทำสิ่งใดที่ฝืนใจตนเองเลย” ลู่ฮ่องเต้ทรงเอ่ยด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนอย่างเห็นใจ ทรงอยากเห็นน้องชายผู้นี้มีความสุข มากกว่าพระองค์ที่เป็นพี่ชายแท้ๆ หากสิ่งใดทำให้ลู่เฟยหลงมีความสุขได้ พระองค์ย่อมทำอย่างแน่นอน แต่ทว่าเรื่องโชคชะตาและวาสนานี้พระองค์มิอาจกำหนดได้
“เพราะไม่อยากฝืนใจ จึงอยากไปอยู่ชายแดนพะยะค่ะ หากกระหม่อมต้องแต่งงานกับอวี๋ฟางหรง นางเองก็ต้องทุกข์ใจไปตลอดชีวิต เพราะข้านี้ไม่สามารถมอบใจให้กับนางได้ พระองค์ย่อมทราบดี” ลู่เฟยหลง มองผู้เป็นพี่ชาย เขาตัดสินใจดีแล้ว ดีไม่ดีหากไปคราวนี้เขาอาจจะประจำการที่ชายแดนเป็นการถาวร อยู่กับความทุกข์แลกกับการไม่ต้องมองเห็นความเจ็บปวดที่เห็นนางผู้เป็นดั่งดวงใจเป็นของชายอื่น
ลู่ฮ่องเต้ยากจะทัดทาน พระองค์พยักหน้าน้อยๆ อย่างไรเสียก็ไม่เคยกล่อมน้องชายผู้นี้ได้สำเร็จเลย พระองค์ทรงมอบตรามังกรประจำพระองค์ให้พระอนุชาร่วมอุทรเอาไว้ “ตรานี้เจ้าเก็บเอาไว้ เจ้าจะเข้าเมืองหลวงคราใดก็ย่อมได้ เจ้าเป็นน้องชายร่วมอุทรของข้า ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าลำบาก”
“อย่างไรก็ดี ก่อนเจ้าจะออกเดินทางก็ไปร่วมแสดงความยินดีกับนางและลู่อ๋องเสียหน่อยเถิด” ลู่ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นมา ลู่เฟยหลงทำเพียงพยักหน้าน้อมรับเท่านั้น มิได้เอื้อนเอ่ยคำใด อย่างไรเขาก็คงต้องไปลานางอยู่ดี
อาชาของลู่เฟยหลงมาหยุดที่หน้าจวนสกุลเฟิ่ง เขามองความ
ใหญ่โตโอ่อ่าของที่นี่ซึ่งกำลังจะมีงานมงคลในเดือนหน้านี้ ก่อนจะกระโดดลงจากอาชาอย่างชำนาญกล่าวกับพ่อบ้านของจวน
พ่อบ้านของจวนทราบดีว่าเขาเป็นใคร พ่อบ้านอาวุโสกำลังจะทำความเคารพตามธรรมเนียม แต่ทว่าชายหนุ่มผู้เป็นรัชทายาทยกมือปรามเอาไว้ก่อน “วันนี้ข้ามาเป็นการส่วนตัว อยากพบเฟิ่งหรั่น เจ้าไปแจ้งนางเถิด”
พ่อบ้านอาวุโสเชื้อเชิญองค์รัชทายาทลู่เฟยหลงเข้ามายังด้านในจวน ซึ่งใต้เท้าเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินต่างถวายการต้อนรับอย่างดี การมาหาเฟิ่งหรั่นคราวนี้เขามาเป็นการส่วนตัว มิได้ต้องการความใหญ่โตเอิกเกริกเท่าใด ชายหนุ่มนั่งลงบนแท่นของประมุขสกุลตามคำเชื้อเชิญของใต้เท้าเฟิ่ง เฟิ่งเจาหรงที่ติดตามบิดามาด้วยเห็นพระพักตร์หล่อเหลาของลู่เฟยหลงก็อดใจเต้นแรงไม่ได้
“องค์รัชทายาทหล่อเหลายิ่งนัก..” เฟิ่งเจาหรงเอ่ยกับบ่าวรับใช้คนสนิทของนาง ใบหน้าของนางปรากฏริ้วรอยแดงแห่งความเขินอายยามมองพระพักตร์หล่อคม
นางบ่าวผู้นั้นกล่าวตอบ “เจ้าค่ะ แต่มีข่าวลือหนาหูนัก ว่าพระองค์
เป็นพวกตัดแขนเสื้อตนเองเจ้าค่ะ”
“อะแฮ่ม พวกเจ้าเอ่ยวาจาสามหาวอันใดกัน” ใต้เท้าเฟิ่งเอ็ดบุตรีของอนุภรรยา พลางมองด้วยหางตาดุ เฟิ่งเจาหรงจึงยอมก้มหน้าลงด้วยความอับอายที่โดนบิดาเอ็ดต่อพระพักตร์องค์รัชทายาทเช่นนี้
เฟิ่งเจาหรงได้แต่เสียดายในใจ ลู่เฟยหลงหล่อเหลาเพียงนี้ อีกทั้งเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่กลับกลายเป็นบุรุษที่ตัดแขนเสื้อตนเอง คิดแล้ว
เสียดายยิ่งนัก
“เป็นเกียรติยิ่งนักพะยะค่ะที่องค์รัชทายาทเสด็จมา ทรงมีเรื่องใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพะยะค่ะ” ใต้เท้าเฟิ่งเอ่ย
“ข้ามาหาเฟิ่งหรั่น ข้าอยากมาลานางเป็นครั้งสุดท้าย” ลู่เฟยหลง กล่าว
คำว่าครั้งสุดท้ายสะกิดใจอัครมหาเสนาบดีและฮูหยินใหญ่นัก ทั้งสองมองสบตากัน เนื่องจากเฟิ่งหรั่นกำลังจะแต่งเข้าจวนเป็นชายาอ๋องในเร็ววันนี้ หากให้พบบุรุษอื่นสองต่อสองไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่?
ลู่เฟยหลงราวกับรู้ปัญหาในใจของทั้งสอง จึงเอ่ยขึ้นมา “พวกท่านไม่ต้องเกรงกลัวว่านางจะเสื่อมเสียแต่อย่างใด ทุกคนรู้เรื่องที่ข้าจะไปอยู่ที่ชายแดนเหนือหมดแล้วกับกองทัพเสวียนอู่ ข้าจึงอยากมาลานางในฐานะสหายวัยเยาว์ก็เท่านั้น”
ทั้งฮูหยินใหญ่และประมุขสกุลมองหน้ากัน ทั้งสองจึงให้คนนำพาลู่เฟยหลงไปรอพบเฟิ่งหรั่นที่สวนในจวน ส่วนทางด้านเฟิ่งหรั่นเองเมื่อทราบว่าองค์รัชทายาทต้องการพบตน นางจึงวางมือจากเครื่องประดับและอาภรณ์ที่ถูกส่งมาทั้งหมด แล้วออกไปต้อนรับเขาทันที ในใจของนางพลันรู้สึกถึงลาง
สังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง
เมื่อได้มาพบอีกฝ่ายที่สวน หญิงสาวจึงทราบว่าภายในวันนี้เขาจะเดินทางไปประจำที่กองทัพเสวียนอู่ทางแดนเหนือ เนื่องจากเหล่ากบฏที่ล้อมปราบเกิดการจลาจลขึ้น แต่คราวนี้นางรู้สึกว่าการที่เขาเลือกจะไปคราวนี้นางจะไม่ได้เจอเขาอีกตลอดกาล
“ในเมื่อพระองค์ตัดสินพระทัยดีเช่นนี้แล้ว หม่อมฉันในฐานะสหาย
ก็ทำได้แค่อวยพร” นางเอ่ย มีอยู่จังหวะหนึ่งที่แววตาของนางฉายความเสียใจออกมาอย่างชัดเจน การแต่งงานกับลู่อ๋องครั้งนี้ก็เกิดจากการกึ่งบังคับส่วนหนึ่ง นางไม่คิดว่าการที่อีกฝ่ายปักปิ่นให้นางครานั้นจะทำให้เกิดเรื่องราวที่ไม่สบายใจกับนางเช่นนี้ นางรู้สึกถึงความผิดหวังของลู่เฟยหลงที่ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูด และความเสียใจของเฟิ่งอี้ที่ต้องปกปิดเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่สดใสนั้น
นางรู้สึกเหมือนทำผิดต่อพวกเขาทั้งสองคน...
ในใจของลู่เฟยหลงเขานึกอยากสวมกอดนางนัก แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ อีกไม่นานนี้นางจะกลายเป็นน้องสะใภ้ของเขา กลายเป็นพระชายาเอกของลู่อ๋อง หากเขาแตะเนื้อต้องตัวนางเห็นทีคงไม่เหมาะสมนัก เขาจึงตัดสินใจหยิบปิ่นหยกที่ซื้อเอาไว้ตั้งแต่คราวแรกมอบให้นาง ทว่า...
“ไม่คิดว่าพระเชษฐาจะมาเยี่ยมเยือนว่าที่ชายาของกระหม่อมถึงที่นี่...” ลู่อ๋องเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องเก็บซ่อนปิ่นที่ตนหมายจะมอบให้เฟิ่งหรั่นเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชาเขากลับใช้มันปกปิดความผิดหวังและความเสียใจเอาไว้
“ข้ากำลังจะไปประจำการกับกองทัพเสวียนอู่ทางเหนือ จึงมาลานางเป็นครั้งสุดท้าย” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่อน้องชายต่างมารดา แม้กระทั่งตอนที่เขาจะมาลานาง ก็ยังไม่มีโอกาสมอบปิ่นปักผมนี้ให้กับนางอีก ดูท่าทางแล้ววาสนาของนางกับเขาคงมีกันเพียงเท่านี้จริงๆ
ลู่อ๋องร้อง ‘อ๋อ’
“อ๋อ ถ้าเช่นนั้น น้อมส่งเสด็จพี่พะยะค่ะ” ลู่อ๋องประสานมือก้มศีรษะให้อีกฝ่าย พร้อมกับรอยยิ้มแฝงประกายเยาะเย้ย ลู่เฟยหลงไม่อาจทนเห็นภาพบาดตาที่พวกเขาทั้งสองยืนเคียงคู่กันได้ เหมือนตนเองโดนตอกย้ำว่าไม่คู่ควรและไม่มีสิทธิ์อยู่เคียงข้างนาง เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อเห็นลู่เฟยหลงลับตาไปแล้ว ลู่อ๋องจึงหันมายิ้มให้กับเฟิ่งหรั่น
นางคลี่ยิ้มบางๆ ตอบเขาเช่นกัน “ท่านอ๋องมาหาหม่อมฉันถึงที่นี่ ทรงมีเรื่องอันใดหรือเพคะ”
ลู่อ๋องขมวดคิ้ว “เหตุใดเราจะมาหาเจ้าไม่ได้กัน อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะแต่งเป็นพระชายาเอกของข้าแล้ว ข้าเพียงแค่อยากมาหาเจ้าให้คลายคิดถึงเท่านั้น”
ว่าจบแล้วทำท่าคล้ายจะโอบกอดนาง แต่เฟิ่งหรั่นถอยออกมาหนึ่งก้าว อ้อมแขนของลู่อ๋องยกค้างกลางอากาศก่อนจะหุบแขนลงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“อันว่าสตรีกับบุรุษยังมิได้แต่งงานกัน การแตะเนื้อต้องตัวถือว่าไม่เหมาะสมนักเพคะ” เฟิ่งหรั่นกล่าวอย่างไว้ตัว นางเป็นสตรีที่รักนวลสงวนตัวและเคร่งในกฎระเบียบอย่างยิ่งจนลู่อ๋องขัดใจ
“ข้าขอโทษนะเสี่ยวเฟิ่ง ข้าแค่รักเจ้ามากเกินไป อยากแต่งเจ้าเป็นชายาเอกเร็วๆ เท่านั้น” ลู่อ๋องเอ่ยอย่างไม่จริงใจนัก เขาต้องการอำนาจของ
ตระกูลนางต่างหาก อำนาจของตระกูลนางเท่านั้นที่เขาต้องการ
เฟิ่งหรั่นคลี่ยิ้มอ่อนๆ “ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาหม่อมฉันเพคะ”
ว่าจบแล้วเฟิ่งหรั่นก็เดินกลับเรือนไป เฟิ่งอี้ที่เห็นพี่สาวเดินแยกกับลู่อ๋องมาแล้วจึงเข้ามาอย่างนอบน้อม ท่าทีอ่อนหวานของเฟิ่งอี้และใบหน้าที่เหมือนกับเฟิ่งหรั่น ทำให้ลู่อ๋องยิ้มให้นางอย่างมีไมตรีเช่นกัน
“ขอท่านอ๋องโปรดอภัยให้พี่หญิงด้วยเพคะ ช่วงนี้มีของขวัญมาก
มายจากสหายของท่านพ่อส่งมามิได้ขาด พี่หญิงเลยต้องเหนื่อยเป็นพิเศษ” เฟิ่งอี้กล่าวอย่างนอบน้อม ใบหน้าหลุบต่ำลงด้วยความเขินอาย
ลู่อ๋องมองเฟิ่งอี้พร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น “ข้าหาได้โกรธนางหรอก เจ้าสบายใจได้”
เฟิ่งอี้ยิ้มน้อยๆ นางพยายามกลบซ่อนความเขินอายเอาไว้ภายใต้ท่าทีอ่อนหวาน “ถ้าเช่นนั้นเชิญท่านอ๋องที่เรือนรับรองก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะให้เด็กๆ เหล่านี้จัดของว่างมาถวาย”
ลู่อ๋องโบกมือน้อยๆ ปฏิเสธ “ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก ข้าเพียงแค่แวะมาเฉยๆ เท่านั้น ข้าคงต้องกลับก่อน”
“น้อมส่งท่านอ๋องเก้า” เฟิ่งอี้ย่อกายเพียงนิด นางเงยหน้าสบสายตาคมปลาบของเขา หัวใจของนางเต้นระรัวราวกลองศึกยามได้สบตาของเขาและได้เห็นรอยยิ้มที่เขามอบให้นางเพียงผู้เดียว
แต่ทว่าทุกการกระทำของลู่อ๋องและเฟิ่งอี้ย่อมอยู่ในสายตาของลู่เฟยหลง ชายหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากสายตาของลู่อ๋อง สายตายามมองเฟิ่งอี้นั้นเหมือนกับที่มองเฟิ่งหรั่นไม่มีผิด! ไม่แปลกเท่าใดที่ลู่อ๋องย่อมมองสตรีอื่นด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แพรวพราว เพราะเขานั้นทราบมาว่าอีกฝ่ายมีอนุภรรยาเต็มวัง แต่มิได้มีนางใดที่โปรดปรานเป็นพิเศษ คราวนี้คงเป็นคราวเคราะห์ของเฟิ่งหรั่นจริงๆ ที่ต้องอยู่ร่วมชีวิตกับคนเช่นนี้
วันต่อมา เซียวฮองเฮาทรงมีพระเสาวนีย์ให้เฟิ่งหรั่นเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่ช่วงนี้ฮองเฮาทรงอยู่พระองค์เดียวเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก หลังจากลู่เฟยหลงเดินทางไปชายแดนพร้อม
กองทัพเสวียนอู่เมื่อวานก็แทบไม่มีใครช่วยฮ่องเต้สะสางราชกิจทั้งหมด ทำ
ให้เซียวฮองเฮาทรงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก
“หรั่นหรั่น หากเจ้าไม่เต็มใจแต่งงานกับลู่อ๋อง เจ้าเพียงบอกข้ามา ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง” เซียวฮองเฮามองสหายสนิทของตนเองผ่านกระจกทองเหลือง บัดนี้เฟิ่งหรั่นกำลังหวีพระเกศาให้พระนางอย่างเบามือ ใบหน้าหวานงดงามไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ แม้ว่านางใกล้จะเข้าพิธีแต่งงานกับลู่อ๋องแล้วก็ตาม แต่ไม่มีร่องรอยความยินดีปรากฏบนใบหน้างามนี้เลย
“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” เฟิ่งหรั่นตอบขณะหยิบปิ่นปักพระเกศา เซียวฮองเฮาหันพระพักตร์มาหานาง สายพระเนตรนั้นมองนางด้วยแววตาจริงจัง
“หรั่นหรั่น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวกับทั้งชีวิตของเจ้า เจ้าเองก็พอทราบไม่ใช่หรือว่าเขามีสตรีเต็มจวน หากแต่งเข้าไป เจ้าจะมีความสุขหรือ?”เซียวฮองเฮามองเฟิ่งหรั่นด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยมากมาย
เฟิ่งหรั่นยังคงใช้ความเงียบแทนคำตอบ เซียวฮองเฮาถอนพระทัยเบาๆ “เอาเถิด หากเจ้าเลือกดีแล้วข้าก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่หากเจ้ามีเรื่องใดไม่สบายใจ เราสองคนยังเป็นสหายกันเหมือนเดิม ไม่มีวันแปรเปลี่ยน”
เซียวฮองเฮาเริ่มเข้าใจความหมายของภาระครอบครัวก็วันนี้ เฟิ่งหรั่นเป็นบุตรสาวคนโต ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและเกียรติยศต่างๆ นางล้วนต้องแบกรับ ในเมื่อลู่อ๋องปักปิ่นประกาศว่าเฟิ่งหรั่นคือสตรีของเขา นั่นคือเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ หากนางไม่ยอมรับการแต่งงานก็คงไม่มีบุรุษใดกล้า
มาสู่ขอนางเป็นแน่
ใดๆ นางล้วนทำเพื่อวงศ์ตระกูลทั้งนั้น
“จริงสิ นั่นดอกไม้อะไรหรือที่เจ้านำมาด้วย” เซียวฮองเฮาสังเกตเห็นดอกไห่ถังสวยสดวางอยู่บนเก้าอี้ของเฟิ่งหรั่น
หญิงสาวละมือจากพระเกศา นางเอ่ยตอบเสียงหวาน “ดอกไห่ถังเพคะ แม่นางอวี๋ให้หม่อมฉันมา”
“อวี๋ฟางหรงรึ?” พระนางทรงขมวดคิ้วถาม อวี๋ฟางหรงจะมอบดอกไห่ถังให้เฟิ่งหรั่นทำไมกัน
“เพคะ นางมอบให้หม่อมฉันในงานเลี้ยงเมื่อวันก่อน...”
เซียวฮองเฮาพยายามมองดอกไห่ถังนั้น ดอกไม้นี้คุ้นๆ เหลือเกิน
“วันนี้ก่อนที่เฟยหลงจะออกเดินทางไปกับกองทัพเสวียนอู่ ข้าเห็นเขาถือดอกไม้แบบเดียวกับเจ้าติดตัวไปด้วย...” เซียวฮองเฮาทรงกำลังจะดีพระทัย แต่ในเมื่อรู้ว่าอวี๋ฟางหรงเป็นคนมอบดอกไม้ให้เฟิ่งหรั่น ก็ต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้
“องค์ชายเป็นว่าที่พระสวามีของแม่นางอวี๋ การที่นางมอบสิ่งของแทนใจให้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอันใดนักเพคะ” เฟิ่งหรั่นกล่าวตามตรง
...มันจะไม่แปลกเลยสักนิด หากดอกไม้ชนิดนั้นไม่เหมือนกับของเจ้า
... เซียวฮองเฮาคิดในพระทัย
“เอาเถิด แต่อย่าลืมนะว่าเจ้ายังมีข้าเป็นเพื่อนอยู่ หากรู้สึกไม่สบายใจหรือลู่อ๋องทำให้เจ้าลำบากใจ มาบอกข้านะ” เซียวฮองเฮากุมมือเฟิ่งหรั่นด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆ นางพยักหน้ารับไมตรี
กองทัพเสวียนอู่เคลื่อนตัวจากเมืองหลวง เริ่มเข้าสู่ชายแดนตำบลหลี่จิ่ง ซึ่งเป็นอีกเส้นทางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตำบลซ่างจิ่ง แต่ทว่ากลับเดินทางมาได้สะดวกกว่า เนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะกับการป้องกันข้าศึกลอบโจมตี ลู่เฟยหลงมองดอกไห่ถังที่ตนเองนำติดตัวมาด้วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เขารู้สึกเพียงว่าดอกไม้ชนิดนี้จะนำพาเขาไปหาสิ่งที่รอคอยมาแสนนาน
“ดอกไห่ถังนี้งดงามนัก งดงามอย่างที่กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แม่นางอวี๋มอบให้พระองค์หรือพะยะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์เงาจางควบบังเหียนม้าเข้ามาใกล้ๆ องครักษ์หนุ่มมองดอกไห่ถังที่ลู่เฟยหลงถืออยู่ในมือด้วยความสนใจ
ลู่เฟยหลงพยักหน้าตอบน้อยๆ
“แล้วแบบนี้ พระองค์จะไม่เสด็จ...เอ่อ...” จางซินเฉิงยอมหุบปากลงเมื่อได้รับสีหน้าและแววตาดุดันของอีกฝ่าย “กระหม่อมขอประทานอภัยพะยะค่ะ”
“เจ้าเองก็มีพี่สะใภ้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าทำใจได้อย่างไรเมื่อเห็นนางต้องแต่งงานกับพี่ชายเจ้า” ลู่เฟยหลงถามตรงๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จางซินเฉิงนั้นเคยแอบหลงรักพี่สะใภ้ของตนเมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อทราบว่านางนั้นหลงรักกับพี่ชายของตนเอง เขาก็คิดไม่ขัดขวางอันใด
จางซินเฉิงไม่เข้าใจความนัยที่ลู่เฟยหลงต้องการจะถาม แต่หากถามเรื่องเช่นนี้เขาก็ยินดีตอบอย่างไม่ปิดบัง “คงเพราะกระหม่อมรักนางมาก ยามเห็นนางอยู่กับพี่ชายแล้วมีความสุข แล้วพี่ชายก็รักนาง กระหม่อมจึงตัดใจได้พะยะค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้ลู่เฟยหลงรู้สึกขัดใจยิ่ง แต่ทว่าเขากลับไม่แสดง
ความรู้สึกใดออกมา หากนางอยู่กับลู่อ๋องแล้วมีความสุขเขาก็ยินดี เพราะเขาเองก็ไม่เคยแสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่าชอบนาง เพราะตำแหน่งหน้าที่รัชทายาทที่ทำให้เขาต้องสงวนท่าทีเอาไว้ หากเขาไม่ได้เป็นรัชทายาทนั้นคงดีไม่น้อย บางทีอาจจะยังพอมีวาสนาที่นางจะชายตาหันมามองบ้าง
“แม้จะมองว่ามันเป็นความทุกข์ แต่สักวันหนึ่งก็ต้องทำใจให้ได้พะยะค่ะ” จางซินเฉิงเอ่ยเพียงแค่นั้น เขาปล่อยให้ลู่เฟยหลงควบม้านำหน้าตนเองไป ชายหนุ่มควบตะบึงอาชาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาต้องการไปถึงจงโจวให้เร็วที่สุด และเขาอาจจะพำนักที่จงโจวเป็นการถาวร
หนึ่งเดือนผ่านไป
นับเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วสำหรับเฟิ่งหรั่นเหลือเกิน วันที่จู่ๆ สินสอดทองหมั้นมากมายก็ถูกส่งมาไม่ขาดสาย สิ่งของมากมายจากบรรดาสหายขุนนางของบิดาและมารดาต่างก็ทยอยนำมาส่งมอบให้กับนาง วันนี้ตรงกับวันที่นางจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด เพื่อการเข้าพิธีอภิเษกกับลู่อ๋องในวันพรุ่งนี้ ในการนี้อวี๋ฟางหรงเองก็มาร่วมแสดงความยินดีพร้อมกับของขวัญที่นางนำมามอบให้
“คราวก่อนท่านมอบดอกไห่ถังให้กับข้า คราวนี้ท่านมอบของมีค่ามากมายเช่นนี้ให้อีก เกรงใจท่านแล้วแม่นางอวี๋” เฟิ่งหรั่นเอ่ยด้วยความเกรงใจ อวี๋ฟางหรงยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างสนิทสนม
“เราเป็นสหายกัน อย่าได้ถือสาเป็นอย่างอื่นเลย ข้ามาวันนี้ก็เพื่ออยากมาช่วยเจ้าแต่งตัว ให้เจ้าพร้อมที่สุดสำหรับการเป็นเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้” อวี๋ฟางหรงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดต่อไป ในเมื่อเบื้องบนบัญชาไม่ให้นางกล่าวออกมา นางก็จะยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามกงล้อแห่งโชคชะตาแล้วกัน อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
“ฮูหยินเฟิ่ง” อวี๋ฟางหรงย่อกายคำนับเฟิ่งฮูหยินเล็กน้อย นางคลี่ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างมีไมตรี “วันนี้ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีกับเฟิ่งหรั่น หากท่านไม่รังเกียจ วันนี้ข้าก็อยากช่วยสหายเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้”
อีกฝ่ายกล่าวโดยไม่เปิดทางเช่นนี้ ฮูหยินเฟิ่งคงไม่อาจปฏิเสธได้ อีกทั้งเมื่อวันก่อนนางก็ยังมาเยี่ยมเฟิ่งหรั่นถึงเรือน หากปฏิเสธไมตรีเกรงว่าอนาคตอาจไม่เป็นผลดีต่อวงศ์ตระกูล หากอวี๋ฟางหรงขึ้นเป็นพระชายารัชทายาท
“ได้รับเกียรติจากแม่นางอวี๋เช่นนี้ ข้ากับลูกก็ไม่ปฏิเสธ” เฟิ่งฮูหยินกล่าว ท่าทีที่ดูนิ่งสงบและเยือกเย็นกลับแผ่รัศมีน่าเกรงขามยิ่งนัก แม้ว่าคนอย่างอวี๋ฟางหรงไม่จำเป็นต้องเคารพมนุษย์โลก แต่ก็อดทึ่งในตัวของเฟิ่งฮู
หยินไม่ได้ ราวกับมีรัศมีบางอย่างแผ่รอบกายของนาง
อวี๋ฟางหรงเดินตามติดเฟิ่งหรั่นเข้าไปในเรือนของอีกฝ่าย เรือนนอนที่ตอนนี้ถูกตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดง ดอกไม้มงคลมากมาย วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเฟิ่งหรั่นแล้ว และจะเป็นวันเริ่มหมุนกงล้อแห่งโชคชะตาเช่นกัน
เฟิ่งหรั่นเอ๋ย...กงล้อของเจ้ากำลังจะดำเนินขึ้นแล้ว
โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้จะเล็กไปหน่อย แต่ก็เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารชั้นดีเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วลู่เฟยหลงนั้นอยู่เบื้องหลังการชำระล้างมลทินให้เฟิ่งหรั่น มีแต่คนกล่าวเพียงว่าอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดาที่คอยหาหลักฐานมากมายร่วมสามปี จนได้หลักฐานว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายอดีตพระชายาเก้าจนถึงแก่ความตาย ก็คือขันทีคนสนิทของลู่อ๋อง แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคำถามมากมายที่ผู้คนต่างกล่าวขานกัน ว่าเป็นเพราะลู่อ๋องต้องหลงเสน่ห์ชายารององค์ใหม่เป็นแน่ เฟิ่งหรั่นยกยิ้มอย่างพึงใจ อย่างน้อยสามปีที่นางหายไปท่านพ่อท่านแม่ก็ยังคงทวงความยุติธรรมให้นางมาตลอด การกลับมาคราวนี้นางจะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เคยถูกย่ำยีกลับคืนมา เปิดโปงความชั่วของพวกมันทั้งสองคนในชั่วพริบตานางย่อมทำได้ แต่หากทำเช่นนั้นศัตรูที่นางเคียดแค้นชิงชังจะตายง่ายไป นางต้องการแย่งชิงสิ่งที่พวกมันหมายปองให้มาอยู่แทบเท้านาง ในเมื่อเคยเป็นคนดีแต่กลับถูกคนชั่วหลอกใช้ นางก็ขอกลายเ
ไป๋ลู่หัวเสียอย่างยิ่ง หากนางทำสิ่งใดทำไมต้องมีคนมาขัดจังหวะนางตลอดเวลานะ! เซียนสาวหันมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนทางด้านหลัง นางยิ้มแหยๆ ให้กับจูเชว่อย่างอารมณ์ดี เขาอายุมากกว่านางหลายพันปีอีกทั้งยังเป็นคนที่คอยขัดขวางนางทุกเรื่องหากนางคิดอ่านสิ่งใด เขาทำตนราวกับตนเองมีเนตรทิพย์แดนสวรรค์ที่สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้ นางเกลียดยิ่งนัก! “เซียนที่ต้องทัณฑ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาแดนสวรรค์ และยิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าหอชะตาเซียน เจ้าบังอาจฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไร?”จูเชว่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม หากเขาไม่สะกดรอยมาเห็นนางเสียก่อน เกรงว่านางคงทำเรื่องไม่น่าให้อภัยไปแล้ว “แล้วท่านแม่ทัพเล่า มีเวลาว่างมากนักรึถึงมาตามจับผิดข้า คราวก่อนก็ครั้งนึงแล้ว ท่านตามติดข้าเป็นเงาเช่นนี้ คงมิใช่ทำร้ายอันใดกับข้าอยู่ใช่มั้ย?” พยัคฆ์สาวแสร้งเอ่ยปกปิดเรื่องราวของตน และได้ผล...แม้ว่าจูเชว่จะชอบขัดขวางนาง แต่ทว่าไม่เคยตาม
บริเวณลานประหาร ร่างบอบบางที่ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน สภาพร่างกายของนางอันบอบบางราวกิ่งหลิวเปียกชุ่มไปด้วยคราบโลหิตจากทัณฑ์ทรมาน เส้นผมที่เคยถูกรวบเกล้าประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม บัดนี้กลับหลุดลุ่ยปรกใบหน้า ดวงตาที่เคยอ่อนหวานในยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ที่ไม่มีโอกาสได้มอบความตายคืนให้กับคนที่กระทำนาง ‘เฟิ่งหรั่น’ คือบุตรีของอัครมหาเสนาบดี นางผู้เปี่ยมด้วยรูปโฉมอันงดงามและอำนาจบารมีของบิดา วาสนาชีวิตที่เคยเป็นถึงพระชายาอ๋อง บัดนี้กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษประหารความผิดไม่น่าให้อภัย ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิดมองสภาพแวดล้อมรายรอบที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่รุมสาปแช่งนาง นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันในโชคชะตาของตนเอง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวาสนาที่ตนเองเคยเป็นชายาของอ๋องเก้าบุรุษที่ยิ่งใหญ่ บัดนี้จะตกต่ำเป็นถึงนักโทษประหาร คิดแล้วช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลู่เฟยหลงลอบเดินออกมาทางด้านหลังตำหนัก ซึ่งเป็นช่องทางลับที่เขาแอบสร้างเอาไว้นานแล้ว ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้ใช้ช่องทางลับนี้ ช่องทางลับที่แม้แต่ฝ่าบาทกับพระมารดาก็ไม่ทรงทราบ ซ่งหลานบอกเขาว่าเฟิ่งหรั่นถูกนำตัวไปขังในคุกใต้ดินที่มืดที่สุดของคุกหลวง คุกที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงตะวันสาดส่อง ชายหนุ่มลอบย่องเข้ามาเงียบๆ วรยุทธ์ของเขานั้นสูงส่งเกินกว่าที่ทหารยามจะคาดเดาได้ เขานำห่อผ้าห่มผืนใหญ่มาด้วยเพื่อหวังจะโอบนางให้คลายความหนาวแล้วพาหนีออกจากคุกแห่งนี้ แต่ทว่าเขาต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเจอกับสตรีอีกหนึ่งนางกำลังตรงไปที่ห้องขังเฟิ่งหรั่น เฟิ่งอี้! ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสตรีตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด กำลังเดินอย่างแช่มช้ามิรู้ร้อนรู้หนาวอันใด กริยาท่าทางราวกับคนใจเย็นสุขุม ทั้งๆ ที่บิดาและมารดาของนางกำลังร้อนรนเพราะหาทางช่วยเฟิ่งหรั่น แต่นางคนนี้กลับมีท่าทีราวกับเบิกบานใจ
เฟิ่งหรั่นถูกคุมขังอยู่ในตำหนักหลายวัน ขณะที่ลู่อ๋องไม่สนใจความเป็นความตายของนาง เขากลับแต่งตั้งเฟิ่งอี้น้องสาวนางเป็นพระชายารอง ให้ดูแลงานทุกอย่างภายในวังอ๋องแทนนางที่ถูกคุมขังในตำหนัก แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตากับนางอยู่บ้าง กงกงของวังหาได้เชื่อว่านางเป็นคนทรยศ จึงคอยลอบส่งข่าวสารผ่านจิงเจียวถึงแผนการของลู่อ๋อง “เจ้าคนชั่ว!” เฟิ่งหรั่นเปล่งวาจาด้วยบันดาลโทสะ ฝ่ามือบางที่เคยขาวผ่อง ตอนนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดเนื่องจากนางฟาดฝ่ามือของตนเองเข้ากับผนังกำแพงโดยไม่นึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด “พระชายาเพคะ” จิงเจียวมองนายของตนด้วยความสงสาร ทั้งหมดนั่นคือการใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้านายของนางไม่เคยกระทำตนออกนอกลู่นอกทาง ทุกอย่างเป็นแผนการใส่ร้ายทั้งสิ้น ลู่อ๋องใส่ร้ายเจ้านายของนางจนต้องโดนลงทัณฑ์เช่นนี้! “ข้าแต่งงานกับเขาก็เพื่อหวังช่วยเสริมฐานอำนาจให้เ
ในขณะที่ตำหนักหนึ่งกำลังบรรเลงบทเพลงรักอย่างเร่าร้อน ทางด้านตำหนักของเฟิ่งหรั่นกลับเงียบเหงายิ่งนัก หญิงสาวตื่นขึ้นมาในยามดึก เนื่องด้วยเพลานี้นางพักผ่อนจนพิษไข้สร่างลงไปมาก ด้านข้างกันนั้นมีจิงเจียวคอยช่วยตระเตรียมห่อยาและคอยเช็ดตัวให้กับนาง เฟิ่งหรั่นขยี้ตามองสรรพสิ่งรอบๆ กาย นางกลับมาที่ตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่! ครั้งล่าสุดนางจำได้ว่าเฟิ่งอี้พานางไปเดินเล่นแถวๆ เขตตำหนักบูรพา จากนั้นนางก็เมามายจนสติเลือนรางจดจำสิ่งใดไม่ค่อยได้ นางจำได้แค่เพียงว่ากลิ่นกายของบุรุษที่มิใช่ลู่อ๋อง และเสียงทะเลาะกันในขณะนั้นคล้ายกับว่าเป็นห้วงความฝัน แต่เป็นห้วงฝันที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน “พระชายา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ ทรงนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด อีกหลายชั่วยามเพคะกว่าฟ้าจะสาง” จิงเจียวเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พระชายาของนางกำลังตกที่นั่งลำบาก นางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปลอบใจอย่างไรดี “ข้าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย” เฟิ่งหรั่นกำลังจะก้าวขาลงจากเตียงแต่จิงเจียวปรามเอาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งเลยเพคะพระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องทรงมีคำสั่งกักบริเวณพระองค์เอา