Home / โรแมนติก / Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก / 07 - ดอกไห่ถังที่โรยรา

Share

07 - ดอกไห่ถังที่โรยรา

Author: WangFei
last update Last Updated: 2025-03-29 21:24:18

ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ฤกษ์อภิเษกสมรสของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่น มาตรงกับวันที่ลู่เฟยหลงได้รับแจ้งจากรองแม่ทัพคนสนิทที่ประจำการชายแดนเหนือรายงานมาว่า บัดนี้กองทัพกบฏได้กวาดต้อนชาวเมืองและเสบียงไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าแม้จะช่วยชาวเมืองและกันเสบียงบางส่วนออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถกำจัดฝ่ายศัตรูให้พ้นไป ลู่เฟยหลงจึงมีข้อกล่าวอ้างต่อฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและพระมารดาของตน

          เดิมทีเขาไม่ต้องการเห็นสตรีที่รักเป็นของบุรุษอื่นให้ปวดใจ การไปทำศึกสงครามครั้งนี้ และถือโอกาสประจำการที่ชายแดนชั่วคราวจะดีกว่า หรือเขาอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไป และอาจคืนตำแหน่งรัชทายาทให้ลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยของเขา

          “เจ้าคิดจะไปประจำการที่นั่นจริงๆ หรือ?” ลู่ฮ่องเต้ทรงถามด้วยพระพักตร์และพระทัยกังวล น้องชายผู้นี้คือหัวเรี่ยวหัวแรงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ดีของลู่เสวียน แต่วันนี้เพราะเรื่องการแต่งงานของเฟิ่งหรั่นหรือไม่ ที่ทำให้น้องชายของพระองค์ตัดสินใจเช่นนี้    

          วันนี้ทั้งสองพระองค์สนทนากันเป็นส่วนตัวที่ศาลาริมสระในอุทยานหลวง ไม่มีคำว่าฝ่าบาทหรือพระอนุชาอีกต่อไป มีเพียงแต่ความเป็นพี่น้อง

ร่วมสายโลหิตเท่านั้น

          “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับเฟิ่งหรั่น แต่ตอนนี้หากวาสนามิได้ครองคู่กัน ก็จงอย่าทำสิ่งใดที่ฝืนใจตนเองเลย” ลู่ฮ่องเต้ทรงเอ่ยด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนอย่างเห็นใจ ทรงอยากเห็นน้องชายผู้นี้มีความสุข มากกว่าพระองค์ที่เป็นพี่ชายแท้ๆ หากสิ่งใดทำให้ลู่เฟยหลงมีความสุขได้ พระองค์ย่อมทำอย่างแน่นอน แต่ทว่าเรื่องโชคชะตาและวาสนานี้พระองค์มิอาจกำหนดได้

          “เพราะไม่อยากฝืนใจ จึงอยากไปอยู่ชายแดนพะยะค่ะ หากกระหม่อมต้องแต่งงานกับอวี๋ฟางหรง นางเองก็ต้องทุกข์ใจไปตลอดชีวิต เพราะข้านี้ไม่สามารถมอบใจให้กับนางได้ พระองค์ย่อมทราบดี” ลู่เฟยหลง มองผู้เป็นพี่ชาย เขาตัดสินใจดีแล้ว ดีไม่ดีหากไปคราวนี้เขาอาจจะประจำการที่ชายแดนเป็นการถาวร อยู่กับความทุกข์แลกกับการไม่ต้องมองเห็นความเจ็บปวดที่เห็นนางผู้เป็นดั่งดวงใจเป็นของชายอื่น

          ลู่ฮ่องเต้ยากจะทัดทาน พระองค์พยักหน้าน้อยๆ อย่างไรเสียก็ไม่เคยกล่อมน้องชายผู้นี้ได้สำเร็จเลย พระองค์ทรงมอบตรามังกรประจำพระองค์ให้พระอนุชาร่วมอุทรเอาไว้ “ตรานี้เจ้าเก็บเอาไว้ เจ้าจะเข้าเมืองหลวงคราใดก็ย่อมได้ เจ้าเป็นน้องชายร่วมอุทรของข้า ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าลำบาก”

          “อย่างไรก็ดี ก่อนเจ้าจะออกเดินทางก็ไปร่วมแสดงความยินดีกับนางและลู่อ๋องเสียหน่อยเถิด” ลู่ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นมา ลู่เฟยหลงทำเพียงพยักหน้าน้อมรับเท่านั้น มิได้เอื้อนเอ่ยคำใด อย่างไรเขาก็คงต้องไปลานางอยู่ดี

          อาชาของลู่เฟยหลงมาหยุดที่หน้าจวนสกุลเฟิ่ง เขามองความ

ใหญ่โตโอ่อ่าของที่นี่ซึ่งกำลังจะมีงานมงคลในเดือนหน้านี้ ก่อนจะกระโดดลงจากอาชาอย่างชำนาญกล่าวกับพ่อบ้านของจวน

          พ่อบ้านของจวนทราบดีว่าเขาเป็นใคร พ่อบ้านอาวุโสกำลังจะทำความเคารพตามธรรมเนียม แต่ทว่าชายหนุ่มผู้เป็นรัชทายาทยกมือปรามเอาไว้ก่อน “วันนี้ข้ามาเป็นการส่วนตัว อยากพบเฟิ่งหรั่น เจ้าไปแจ้งนางเถิด”

          พ่อบ้านอาวุโสเชื้อเชิญองค์รัชทายาทลู่เฟยหลงเข้ามายังด้านในจวน ซึ่งใต้เท้าเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินต่างถวายการต้อนรับอย่างดี การมาหาเฟิ่งหรั่นคราวนี้เขามาเป็นการส่วนตัว มิได้ต้องการความใหญ่โตเอิกเกริกเท่าใด ชายหนุ่มนั่งลงบนแท่นของประมุขสกุลตามคำเชื้อเชิญของใต้เท้าเฟิ่ง เฟิ่งเจาหรงที่ติดตามบิดามาด้วยเห็นพระพักตร์หล่อเหลาของลู่เฟยหลงก็อดใจเต้นแรงไม่ได้

          “องค์รัชทายาทหล่อเหลายิ่งนัก..” เฟิ่งเจาหรงเอ่ยกับบ่าวรับใช้คนสนิทของนาง ใบหน้าของนางปรากฏริ้วรอยแดงแห่งความเขินอายยามมองพระพักตร์หล่อคม

          นางบ่าวผู้นั้นกล่าวตอบ “เจ้าค่ะ แต่มีข่าวลือหนาหูนัก ว่าพระองค์

เป็นพวกตัดแขนเสื้อตนเองเจ้าค่ะ”

          “อะแฮ่ม พวกเจ้าเอ่ยวาจาสามหาวอันใดกัน” ใต้เท้าเฟิ่งเอ็ดบุตรีของอนุภรรยา พลางมองด้วยหางตาดุ เฟิ่งเจาหรงจึงยอมก้มหน้าลงด้วยความอับอายที่โดนบิดาเอ็ดต่อพระพักตร์องค์รัชทายาทเช่นนี้

          เฟิ่งเจาหรงได้แต่เสียดายในใจ ลู่เฟยหลงหล่อเหลาเพียงนี้ อีกทั้งเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่กลับกลายเป็นบุรุษที่ตัดแขนเสื้อตนเอง คิดแล้ว

เสียดายยิ่งนัก

          “เป็นเกียรติยิ่งนักพะยะค่ะที่องค์รัชทายาทเสด็จมา ทรงมีเรื่องใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพะยะค่ะ” ใต้เท้าเฟิ่งเอ่ย

          “ข้ามาหาเฟิ่งหรั่น ข้าอยากมาลานางเป็นครั้งสุดท้าย” ลู่เฟยหลง กล่าว

          คำว่าครั้งสุดท้ายสะกิดใจอัครมหาเสนาบดีและฮูหยินใหญ่นัก ทั้งสองมองสบตากัน เนื่องจากเฟิ่งหรั่นกำลังจะแต่งเข้าจวนเป็นชายาอ๋องในเร็ววันนี้ หากให้พบบุรุษอื่นสองต่อสองไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่?

          ลู่เฟยหลงราวกับรู้ปัญหาในใจของทั้งสอง จึงเอ่ยขึ้นมา “พวกท่านไม่ต้องเกรงกลัวว่านางจะเสื่อมเสียแต่อย่างใด ทุกคนรู้เรื่องที่ข้าจะไปอยู่ที่ชายแดนเหนือหมดแล้วกับกองทัพเสวียนอู่ ข้าจึงอยากมาลานางในฐานะสหายวัยเยาว์ก็เท่านั้น”

          ทั้งฮูหยินใหญ่และประมุขสกุลมองหน้ากัน ทั้งสองจึงให้คนนำพาลู่เฟยหลงไปรอพบเฟิ่งหรั่นที่สวนในจวน ส่วนทางด้านเฟิ่งหรั่นเองเมื่อทราบว่าองค์รัชทายาทต้องการพบตน นางจึงวางมือจากเครื่องประดับและอาภรณ์ที่ถูกส่งมาทั้งหมด แล้วออกไปต้อนรับเขาทันที ในใจของนางพลันรู้สึกถึงลาง

สังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง

          เมื่อได้มาพบอีกฝ่ายที่สวน หญิงสาวจึงทราบว่าภายในวันนี้เขาจะเดินทางไปประจำที่กองทัพเสวียนอู่ทางแดนเหนือ เนื่องจากเหล่ากบฏที่ล้อมปราบเกิดการจลาจลขึ้น แต่คราวนี้นางรู้สึกว่าการที่เขาเลือกจะไปคราวนี้นางจะไม่ได้เจอเขาอีกตลอดกาล

          “ในเมื่อพระองค์ตัดสินพระทัยดีเช่นนี้แล้ว หม่อมฉันในฐานะสหาย

ก็ทำได้แค่อวยพร” นางเอ่ย มีอยู่จังหวะหนึ่งที่แววตาของนางฉายความเสียใจออกมาอย่างชัดเจน การแต่งงานกับลู่อ๋องครั้งนี้ก็เกิดจากการกึ่งบังคับส่วนหนึ่ง นางไม่คิดว่าการที่อีกฝ่ายปักปิ่นให้นางครานั้นจะทำให้เกิดเรื่องราวที่ไม่สบายใจกับนางเช่นนี้ นางรู้สึกถึงความผิดหวังของลู่เฟยหลงที่ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูด และความเสียใจของเฟิ่งอี้ที่ต้องปกปิดเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่สดใสนั้น

          นางรู้สึกเหมือนทำผิดต่อพวกเขาทั้งสองคน...

          ในใจของลู่เฟยหลงเขานึกอยากสวมกอดนางนัก แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ อีกไม่นานนี้นางจะกลายเป็นน้องสะใภ้ของเขา กลายเป็นพระชายาเอกของลู่อ๋อง หากเขาแตะเนื้อต้องตัวนางเห็นทีคงไม่เหมาะสมนัก เขาจึงตัดสินใจหยิบปิ่นหยกที่ซื้อเอาไว้ตั้งแต่คราวแรกมอบให้นาง ทว่า...

          “ไม่คิดว่าพระเชษฐาจะมาเยี่ยมเยือนว่าที่ชายาของกระหม่อมถึงที่นี่...” ลู่อ๋องเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องเก็บซ่อนปิ่นที่ตนหมายจะมอบให้เฟิ่งหรั่นเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชาเขากลับใช้มันปกปิดความผิดหวังและความเสียใจเอาไว้

          “ข้ากำลังจะไปประจำการกับกองทัพเสวียนอู่ทางเหนือ จึงมาลานางเป็นครั้งสุดท้าย” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่อน้องชายต่างมารดา แม้กระทั่งตอนที่เขาจะมาลานาง ก็ยังไม่มีโอกาสมอบปิ่นปักผมนี้ให้กับนางอีก ดูท่าทางแล้ววาสนาของนางกับเขาคงมีกันเพียงเท่านี้จริงๆ

          ลู่อ๋องร้อง ‘อ๋อ’

          “อ๋อ ถ้าเช่นนั้น น้อมส่งเสด็จพี่พะยะค่ะ” ลู่อ๋องประสานมือก้มศีรษะให้อีกฝ่าย พร้อมกับรอยยิ้มแฝงประกายเยาะเย้ย ลู่เฟยหลงไม่อาจทนเห็นภาพบาดตาที่พวกเขาทั้งสองยืนเคียงคู่กันได้ เหมือนตนเองโดนตอกย้ำว่าไม่คู่ควรและไม่มีสิทธิ์อยู่เคียงข้างนาง เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

          เมื่อเห็นลู่เฟยหลงลับตาไปแล้ว ลู่อ๋องจึงหันมายิ้มให้กับเฟิ่งหรั่น

          นางคลี่ยิ้มบางๆ ตอบเขาเช่นกัน “ท่านอ๋องมาหาหม่อมฉันถึงที่นี่ ทรงมีเรื่องอันใดหรือเพคะ”

          ลู่อ๋องขมวดคิ้ว “เหตุใดเราจะมาหาเจ้าไม่ได้กัน อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะแต่งเป็นพระชายาเอกของข้าแล้ว ข้าเพียงแค่อยากมาหาเจ้าให้คลายคิดถึงเท่านั้น”

          ว่าจบแล้วทำท่าคล้ายจะโอบกอดนาง แต่เฟิ่งหรั่นถอยออกมาหนึ่งก้าว อ้อมแขนของลู่อ๋องยกค้างกลางอากาศก่อนจะหุบแขนลงอย่างไม่สบอารมณ์นัก

          “อันว่าสตรีกับบุรุษยังมิได้แต่งงานกัน การแตะเนื้อต้องตัวถือว่าไม่เหมาะสมนักเพคะ” เฟิ่งหรั่นกล่าวอย่างไว้ตัว นางเป็นสตรีที่รักนวลสงวนตัวและเคร่งในกฎระเบียบอย่างยิ่งจนลู่อ๋องขัดใจ

          “ข้าขอโทษนะเสี่ยวเฟิ่ง ข้าแค่รักเจ้ามากเกินไป อยากแต่งเจ้าเป็นชายาเอกเร็วๆ เท่านั้น” ลู่อ๋องเอ่ยอย่างไม่จริงใจนัก เขาต้องการอำนาจของ

ตระกูลนางต่างหาก อำนาจของตระกูลนางเท่านั้นที่เขาต้องการ

          เฟิ่งหรั่นคลี่ยิ้มอ่อนๆ “ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาหม่อมฉันเพคะ”

          ว่าจบแล้วเฟิ่งหรั่นก็เดินกลับเรือนไป เฟิ่งอี้ที่เห็นพี่สาวเดินแยกกับลู่อ๋องมาแล้วจึงเข้ามาอย่างนอบน้อม ท่าทีอ่อนหวานของเฟิ่งอี้และใบหน้าที่เหมือนกับเฟิ่งหรั่น ทำให้ลู่อ๋องยิ้มให้นางอย่างมีไมตรีเช่นกัน

          “ขอท่านอ๋องโปรดอภัยให้พี่หญิงด้วยเพคะ ช่วงนี้มีของขวัญมาก

มายจากสหายของท่านพ่อส่งมามิได้ขาด พี่หญิงเลยต้องเหนื่อยเป็นพิเศษ” เฟิ่งอี้กล่าวอย่างนอบน้อม ใบหน้าหลุบต่ำลงด้วยความเขินอาย

          ลู่อ๋องมองเฟิ่งอี้พร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น “ข้าหาได้โกรธนางหรอก เจ้าสบายใจได้”

          เฟิ่งอี้ยิ้มน้อยๆ นางพยายามกลบซ่อนความเขินอายเอาไว้ภายใต้ท่าทีอ่อนหวาน “ถ้าเช่นนั้นเชิญท่านอ๋องที่เรือนรับรองก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะให้เด็กๆ เหล่านี้จัดของว่างมาถวาย”

          ลู่อ๋องโบกมือน้อยๆ ปฏิเสธ “ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก ข้าเพียงแค่แวะมาเฉยๆ เท่านั้น ข้าคงต้องกลับก่อน”

          “น้อมส่งท่านอ๋องเก้า” เฟิ่งอี้ย่อกายเพียงนิด นางเงยหน้าสบสายตาคมปลาบของเขา หัวใจของนางเต้นระรัวราวกลองศึกยามได้สบตาของเขาและได้เห็นรอยยิ้มที่เขามอบให้นางเพียงผู้เดียว

          แต่ทว่าทุกการกระทำของลู่อ๋องและเฟิ่งอี้ย่อมอยู่ในสายตาของลู่เฟยหลง ชายหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากสายตาของลู่อ๋อง สายตายามมองเฟิ่งอี้นั้นเหมือนกับที่มองเฟิ่งหรั่นไม่มีผิด! ไม่แปลกเท่าใดที่ลู่อ๋องย่อมมองสตรีอื่นด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แพรวพราว เพราะเขานั้นทราบมาว่าอีกฝ่ายมีอนุภรรยาเต็มวัง แต่มิได้มีนางใดที่โปรดปรานเป็นพิเศษ คราวนี้คงเป็นคราวเคราะห์ของเฟิ่งหรั่นจริงๆ ที่ต้องอยู่ร่วมชีวิตกับคนเช่นนี้

          วันต่อมา เซียวฮองเฮาทรงมีพระเสาวนีย์ให้เฟิ่งหรั่นเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่ช่วงนี้ฮองเฮาทรงอยู่พระองค์เดียวเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก หลังจากลู่เฟยหลงเดินทางไปชายแดนพร้อม

กองทัพเสวียนอู่เมื่อวานก็แทบไม่มีใครช่วยฮ่องเต้สะสางราชกิจทั้งหมด ทำ

ให้เซียวฮองเฮาทรงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก

          “หรั่นหรั่น หากเจ้าไม่เต็มใจแต่งงานกับลู่อ๋อง เจ้าเพียงบอกข้ามา ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง” เซียวฮองเฮามองสหายสนิทของตนเองผ่านกระจกทองเหลือง บัดนี้เฟิ่งหรั่นกำลังหวีพระเกศาให้พระนางอย่างเบามือ ใบหน้าหวานงดงามไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ แม้ว่านางใกล้จะเข้าพิธีแต่งงานกับลู่อ๋องแล้วก็ตาม แต่ไม่มีร่องรอยความยินดีปรากฏบนใบหน้างามนี้เลย

          “หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” เฟิ่งหรั่นตอบขณะหยิบปิ่นปักพระเกศา เซียวฮองเฮาหันพระพักตร์มาหานาง สายพระเนตรนั้นมองนางด้วยแววตาจริงจัง

          “หรั่นหรั่น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวกับทั้งชีวิตของเจ้า เจ้าเองก็พอทราบไม่ใช่หรือว่าเขามีสตรีเต็มจวน หากแต่งเข้าไป เจ้าจะมีความสุขหรือ?”เซียวฮองเฮามองเฟิ่งหรั่นด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยมากมาย

          เฟิ่งหรั่นยังคงใช้ความเงียบแทนคำตอบ เซียวฮองเฮาถอนพระทัยเบาๆ “เอาเถิด หากเจ้าเลือกดีแล้วข้าก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่หากเจ้ามีเรื่องใดไม่สบายใจ เราสองคนยังเป็นสหายกันเหมือนเดิม ไม่มีวันแปรเปลี่ยน”

          เซียวฮองเฮาเริ่มเข้าใจความหมายของภาระครอบครัวก็วันนี้ เฟิ่งหรั่นเป็นบุตรสาวคนโต ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและเกียรติยศต่างๆ นางล้วนต้องแบกรับ ในเมื่อลู่อ๋องปักปิ่นประกาศว่าเฟิ่งหรั่นคือสตรีของเขา นั่นคือเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ หากนางไม่ยอมรับการแต่งงานก็คงไม่มีบุรุษใดกล้า

มาสู่ขอนางเป็นแน่

          ใดๆ นางล้วนทำเพื่อวงศ์ตระกูลทั้งนั้น

          “จริงสิ นั่นดอกไม้อะไรหรือที่เจ้านำมาด้วย” เซียวฮองเฮาสังเกตเห็นดอกไห่ถังสวยสดวางอยู่บนเก้าอี้ของเฟิ่งหรั่น

          หญิงสาวละมือจากพระเกศา นางเอ่ยตอบเสียงหวาน “ดอกไห่ถังเพคะ แม่นางอวี๋ให้หม่อมฉันมา”

          “อวี๋ฟางหรงรึ?” พระนางทรงขมวดคิ้วถาม อวี๋ฟางหรงจะมอบดอกไห่ถังให้เฟิ่งหรั่นทำไมกัน

          “เพคะ นางมอบให้หม่อมฉันในงานเลี้ยงเมื่อวันก่อน...”

          เซียวฮองเฮาพยายามมองดอกไห่ถังนั้น ดอกไม้นี้คุ้นๆ เหลือเกิน

          “วันนี้ก่อนที่เฟยหลงจะออกเดินทางไปกับกองทัพเสวียนอู่ ข้าเห็นเขาถือดอกไม้แบบเดียวกับเจ้าติดตัวไปด้วย...” เซียวฮองเฮาทรงกำลังจะดีพระทัย แต่ในเมื่อรู้ว่าอวี๋ฟางหรงเป็นคนมอบดอกไม้ให้เฟิ่งหรั่น ก็ต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้

          “องค์ชายเป็นว่าที่พระสวามีของแม่นางอวี๋ การที่นางมอบสิ่งของแทนใจให้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอันใดนักเพคะ” เฟิ่งหรั่นกล่าวตามตรง

          ...มันจะไม่แปลกเลยสักนิด หากดอกไม้ชนิดนั้นไม่เหมือนกับของเจ้า

... เซียวฮองเฮาคิดในพระทัย

          “เอาเถิด แต่อย่าลืมนะว่าเจ้ายังมีข้าเป็นเพื่อนอยู่ หากรู้สึกไม่สบายใจหรือลู่อ๋องทำให้เจ้าลำบากใจ มาบอกข้านะ” เซียวฮองเฮากุมมือเฟิ่งหรั่นด้วยความเป็นห่วง

          หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆ นางพยักหน้ารับไมตรี

          กองทัพเสวียนอู่เคลื่อนตัวจากเมืองหลวง เริ่มเข้าสู่ชายแดนตำบลหลี่จิ่ง ซึ่งเป็นอีกเส้นทางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตำบลซ่างจิ่ง แต่ทว่ากลับเดินทางมาได้สะดวกกว่า เนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะกับการป้องกันข้าศึกลอบโจมตี ลู่เฟยหลงมองดอกไห่ถังที่ตนเองนำติดตัวมาด้วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เขารู้สึกเพียงว่าดอกไม้ชนิดนี้จะนำพาเขาไปหาสิ่งที่รอคอยมาแสนนาน

          “ดอกไห่ถังนี้งดงามนัก งดงามอย่างที่กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แม่นางอวี๋มอบให้พระองค์หรือพะยะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์เงาจางควบบังเหียนม้าเข้ามาใกล้ๆ องครักษ์หนุ่มมองดอกไห่ถังที่ลู่เฟยหลงถืออยู่ในมือด้วยความสนใจ

          ลู่เฟยหลงพยักหน้าตอบน้อยๆ

          “แล้วแบบนี้ พระองค์จะไม่เสด็จ...เอ่อ...” จางซินเฉิงยอมหุบปากลงเมื่อได้รับสีหน้าและแววตาดุดันของอีกฝ่าย “กระหม่อมขอประทานอภัยพะยะค่ะ”

          “เจ้าเองก็มีพี่สะใภ้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าทำใจได้อย่างไรเมื่อเห็นนางต้องแต่งงานกับพี่ชายเจ้า” ลู่เฟยหลงถามตรงๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จางซินเฉิงนั้นเคยแอบหลงรักพี่สะใภ้ของตนเมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อทราบว่านางนั้นหลงรักกับพี่ชายของตนเอง เขาก็คิดไม่ขัดขวางอันใด

          จางซินเฉิงไม่เข้าใจความนัยที่ลู่เฟยหลงต้องการจะถาม แต่หากถามเรื่องเช่นนี้เขาก็ยินดีตอบอย่างไม่ปิดบัง “คงเพราะกระหม่อมรักนางมาก ยามเห็นนางอยู่กับพี่ชายแล้วมีความสุข แล้วพี่ชายก็รักนาง กระหม่อมจึงตัดใจได้พะยะค่ะ”

          คำตอบนั้นทำให้ลู่เฟยหลงรู้สึกขัดใจยิ่ง แต่ทว่าเขากลับไม่แสดง

ความรู้สึกใดออกมา หากนางอยู่กับลู่อ๋องแล้วมีความสุขเขาก็ยินดี เพราะเขาเองก็ไม่เคยแสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่าชอบนาง เพราะตำแหน่งหน้าที่รัชทายาทที่ทำให้เขาต้องสงวนท่าทีเอาไว้ หากเขาไม่ได้เป็นรัชทายาทนั้นคงดีไม่น้อย บางทีอาจจะยังพอมีวาสนาที่นางจะชายตาหันมามองบ้าง

          “แม้จะมองว่ามันเป็นความทุกข์ แต่สักวันหนึ่งก็ต้องทำใจให้ได้พะยะค่ะ” จางซินเฉิงเอ่ยเพียงแค่นั้น เขาปล่อยให้ลู่เฟยหลงควบม้านำหน้าตนเองไป ชายหนุ่มควบตะบึงอาชาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาต้องการไปถึงจงโจวให้เร็วที่สุด และเขาอาจจะพำนักที่จงโจวเป็นการถาวร

          หนึ่งเดือนผ่านไป

          นับเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วสำหรับเฟิ่งหรั่นเหลือเกิน วันที่จู่ๆ สินสอดทองหมั้นมากมายก็ถูกส่งมาไม่ขาดสาย สิ่งของมากมายจากบรรดาสหายขุนนางของบิดาและมารดาต่างก็ทยอยนำมาส่งมอบให้กับนาง วันนี้ตรงกับวันที่นางจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด เพื่อการเข้าพิธีอภิเษกกับลู่อ๋องในวันพรุ่งนี้ ในการนี้อวี๋ฟางหรงเองก็มาร่วมแสดงความยินดีพร้อมกับของขวัญที่นางนำมามอบให้

          “คราวก่อนท่านมอบดอกไห่ถังให้กับข้า คราวนี้ท่านมอบของมีค่ามากมายเช่นนี้ให้อีก เกรงใจท่านแล้วแม่นางอวี๋” เฟิ่งหรั่นเอ่ยด้วยความเกรงใจ อวี๋ฟางหรงยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างสนิทสนม

          “เราเป็นสหายกัน อย่าได้ถือสาเป็นอย่างอื่นเลย ข้ามาวันนี้ก็เพื่ออยากมาช่วยเจ้าแต่งตัว ให้เจ้าพร้อมที่สุดสำหรับการเป็นเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้” อวี๋ฟางหรงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดต่อไป ในเมื่อเบื้องบนบัญชาไม่ให้นางกล่าวออกมา นางก็จะยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามกงล้อแห่งโชคชะตาแล้วกัน อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้แล้ว

          “ฮูหยินเฟิ่ง” อวี๋ฟางหรงย่อกายคำนับเฟิ่งฮูหยินเล็กน้อย นางคลี่ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างมีไมตรี “วันนี้ข้ามาเพื่อแสดงความยินดีกับเฟิ่งหรั่น หากท่านไม่รังเกียจ วันนี้ข้าก็อยากช่วยสหายเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้”

          อีกฝ่ายกล่าวโดยไม่เปิดทางเช่นนี้ ฮูหยินเฟิ่งคงไม่อาจปฏิเสธได้ อีกทั้งเมื่อวันก่อนนางก็ยังมาเยี่ยมเฟิ่งหรั่นถึงเรือน หากปฏิเสธไมตรีเกรงว่าอนาคตอาจไม่เป็นผลดีต่อวงศ์ตระกูล หากอวี๋ฟางหรงขึ้นเป็นพระชายารัชทายาท

          “ได้รับเกียรติจากแม่นางอวี๋เช่นนี้ ข้ากับลูกก็ไม่ปฏิเสธ” เฟิ่งฮูหยินกล่าว ท่าทีที่ดูนิ่งสงบและเยือกเย็นกลับแผ่รัศมีน่าเกรงขามยิ่งนัก แม้ว่าคนอย่างอวี๋ฟางหรงไม่จำเป็นต้องเคารพมนุษย์โลก แต่ก็อดทึ่งในตัวของเฟิ่งฮู

หยินไม่ได้ ราวกับมีรัศมีบางอย่างแผ่รอบกายของนาง

          อวี๋ฟางหรงเดินตามติดเฟิ่งหรั่นเข้าไปในเรือนของอีกฝ่าย เรือนนอนที่ตอนนี้ถูกตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดง ดอกไม้มงคลมากมาย วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเฟิ่งหรั่นแล้ว และจะเป็นวันเริ่มหมุนกงล้อแห่งโชคชะตาเช่นกัน

          เฟิ่งหรั่นเอ๋ย...กงล้อของเจ้ากำลังจะดำเนินขึ้นแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    72 - มังกรมิไร้หงส์

    กาลเวลาผ่านไปนานเกือบห้าปีเต็ม ในที่สุดฮองเฮาเฟิ่งหรั่นก็มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยออกมาอย่างปลอดภัย โดยทันทีที่โอรสน้อยถือกำเนิดมาลู่เฟยหลงก็สถาปนาเป็นองค์รัชทายาททันที โดยมีพระนามว่าลู่จื้อ ที่หมายถึงหยกแห่งความเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นชื่อที่มีความหมายมงคลอย่างยิ่งบัดนี้องค์ชายน้อยในวัยชันษาเพียงห้าปีกว่ากำลังวิ่งเล่นกับชินอ๋องผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข เนื่องจากชินอ๋องหรือองค์ชายน้อยลู่เสวียนยังเยาว์วัยอยู่มาก ลู่เฟยหลงจึงนำเขามาเลี้ยงดูในวังตามหน้าที่ของเสด็จอา แม้ว่าเด็กน้อยจะสูญเสียทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้เป็นมารดาไป ทว่ากลับได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากลู่เฟยหลงและเฟิ่งหรั่นไม่ต่างจากบิดามารดาที่มอบให้บุตรคนหนึ่งอีกทั้งนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องที่นางมีประสูติกาลพระโอรสแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวดีไม่แพ้กันถึงสองเรื่อง นั้นคือการแต่งงานระหว่างไป๋ซูเหวินและหลินเอ๋อร์ ไป๋ซูเหวินที่กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเมืองทัวปาคนใหม่ แม้งานราชกิจจะรัดตัวมาก แต่ทว่าทุกครั้งที่เขามาเยือนเมืองหลวงเป็นต้องแวะเวียนมาหาหลินเอ๋อร์ เกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมตกลง

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    71 - ดั่งหงส์หวนคืน

    ไม่กี่วันถัดมา วังหลวงบังเกิดข่าวดีขึ้นอีกครั้งการจัดพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทว่าลู่เฟยหลงที่เตรียมตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับต้องพบข่าวดีว่าตนเองนั้นกำลังจะกลายเป็นบิดาแล้ว เมื่อเฟิ่งหรั่นภรรยารักของเขานั้นตั้งครรภ์จากคำรายงานของหมอหลวง“จริงหรือ...ว่าที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้วหรือ?” ลู่เฟยหลงดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาถามหมอหลวงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลายเป็นบิดาในอีกไม่กี่วัน“พะยะค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ” หมอหลวงและทุกคนต่างคุกเข่าประสานมือแสดงความยินดีกับว่าที่ฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะมีทายาทมังกรสืบราชบัลลังก์ในไม่ช้านี้ ลู่เฟยหลงไม่รอช้าจึงรีบเข้าไปในตำหนักบูรพาเพื่อสวมกอดภรรยารักทันที“ท่านพี่...” เฟิ่งหรั่นยิ้มดีใจเมื่อนางได้พบคนที่อยากพบมากที่สุดในเพลานี้ ตอนนี้นางเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนางกำลังเลือกเครื่องประดับมงคลใส่ในวันราชาภิเษกกับมารดา แต่สุดท้ายนางก็เป็นลมหมดสติไป หมอหลวงมาตรวจจึงได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราว

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    70 - อรุณรุ่งแห่งวันใหม่

    คุกหลวงในยามจื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งวันใหม่มืดมนน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะมีแสงไฟจากกระถางไฟรายรอบคุกหลวงก็ตาม เหล่าทหารยามผลัดเปลี่ยนเวรกันในช่วงยามนี้พอดี โดยมีซ่งหลานผลัดมาทำหน้าที่นี้แทนหัวหน้าองครักษ์หลวงที่แลกเปลี่ยนเวรกันไปก่อนหน้านี้เฟิ่งอี้นั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง นางนั่งกอดเข่าท่าทางสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและเนื้อตัวที่มีแต่รอยช้ำของเล็บที่นางจิกเข้าผิวเนื้อ รอยแดงจำนวนมากบนแขนของนางเกิดจากตัวนางเองทั้งสิ้น ซ่งหลานได้แต่มองภาพนั้นอย่างเวทนาในใจ“ไม่! อย่าทำข้า...กรี๊ด!” จู่ๆ เฟิ่งอี้ก็กรีดร้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ แขนของนางยกขึ้นมาราวกับปัดป้องบางอย่างที่กำลังจะคุกคาม“นางอาละวาดมาแบบนี้สักพักแล้วขอรับใต้เท้า...” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน“คอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีล่ะ” ซ่งหลานสั่งสั้นๆ แล้วเดินจากไปแววตาอันเลื่อนลอยของเฟิ่งอี้มองสรรพสิ่งรายรอบ นางรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก ภายในใจของนางเกิดหวาดกลัวจับใจ&n

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    69 - จุดจบ (๒)

    อัครมหาเสนาบดีเกาหยางกับเครือญาติถูกซ่งหลานจับตัวมาหมดทั้งจวน เกาหยางก่นด่าโวยวายตลอดทางที่ถูกจับกุมมา ท่ามกลางความปรีดาของชาวเมืองที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ด้วยความแตกตื่น เพลานี้เกิดจลาจลภายในเมืองหลวงขึ้นมา แต่ประชาชนอย่างพวกตนได้รับผลกระทบไม่มากนัก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง อีกทั้งเกาหยางกับคนสกุลเกาก็ถูกจับไปแล้ว เดาว่าอีกไม่นานคงมีพระบรมราชโองการจากโอรสสวรรค์พระองค์ใหม่ให้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่ชาวบ้านที่เคยถูกเกาหยางกดขี่ บัดนี้ต่างพร้อมใจกันขว้างปาก้อนกรวดรายทางใส่ตลอด จนทั้งร่างของอัครมหาเสนาบดีเฒ่าเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากศีรษะที่แตก เกาหยางจนปัญญาที่จะขัดขืน เสนาบดีเฒ่าคาดการณ์ว่าตอนนี้ในวังหลวงคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ แต่จะเป็นใครกันที่สั่งการ?ลู่เฟยหลงนั่งรออย่างใจเย็นที่ตำหนักบูรพาของเขา บัดนี้ลู่อวี้ ซู่ไท่เฟย เกากุ้ยเฟยต่างถูกพามาที่นี่กันหมด จากนั้นไม่นานทหารกลุ่มหนึ่งจึงพาร่างของเฟิ่งอี้ที่อิดโรยมาแล้วโยนร่างนางให้ทรุดลงกับพื้นต่อหน้าธารกำนัล ศัตรูคู่อาฆาตที่ทำร้ายเฟิ่งหรั่น!“ซ่งหลาน ไปเชิญพระชายาเรามาที่นี่&rdquo

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    68 - จุดจบ (๑)

    นับวันอาการของเฟิ่งอี้ยิ่งหนักมากขึ้นทุกที เฟยเซียงแอบถ่ายปราณมารที่เกินขีดจำกัดเอาไว้ในกายนาง โดยที่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนนี้ภายในวังหลวงระส่ำระส่ายยิ่งนัก สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร เหล่าบรรดาเสนาบดีน้อยใหญ่ต่างพยายามตั้งตนมาเป็นใหญ่แทนนางโดยอ้างเรื่องที่นางไม่ออกว่าราชการหลายวัน อีกทั้งซู่ไท่เฟยเองก็มีท่าทีคุกคามภายในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเรียกหมอหลวงมาดูอาการเถิดเพคะ นับวันพระนางจะยิ่งทรงประชวรหนักมากขึ้นทุกที หากไม่...” นางกำนัลสาวกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาดุจากประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในต้องเงียบปากลง“อาการที่ข้าเป็นอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวหรือไม่” เฟิ่งอี้หวงแหนอำนาจที่ได้มาเกินกว่าจะห่วงตนเองในยามนี้ ยามนี้ซู่ไท่เฟยพยายามสร้างฐานอำนาจแทนนาง ส่วนตัวนางที่อุตส่าห์มานะสร้างฐานอำนาจของตนเองมานานขนาดนี้ นางจะไม่ยอมเสียอำนาจไปเด็ดขาด“จากคนของเราที่ไปสอดแนมในตำหนักคังเฉวียน เหล่าเสนาบดีกลุ่มหนึ่งรวมถึงเจ้ากรมพ

  • Phoenix's Rebirth หงส์หวนรัก    67 - แผนลอบสังหาร

    เฟิ่งเจาหรงออกมาสูดอากาศข้างนอก ตอนนี้นางไม่ได้ทำงานในเหลาสุรานั้นอีกต่อไป เพราะพระเมตตาของรัชทายาทลู่เฟยหลงทรงอนุญาตให้นางพักที่เรือนของเจ้าเมืองไป๋ซูเหวินสักระยะหนึ่ง หากทำศึกชนะเฟิ่งอี้ได้เมื่อใดนางก็จะมีอิสระ ได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับมารดาของตนเองส่วนทางด้านลู่เฟยหลงนั้น ตอนนี้เขากับเฟิ่งหรั่นมีคำสั่งลับกับซ่งหลานและจางซินเฉิง โดยออกอุบายให้ซ่งหลานนำกองทัพทหารหนานจิงจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาสำเร็จโทษ ซึ่งการทำตามแผนเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ทัวปาอวี้แน่ใจว่าลู่เฟยหลงตายแล้ว และเฟิ่งอี้ขึ้นเป็นฮองเฮาผู้สำเร็จราชการแทนสวามีของนาง เจ้าเมืองทัวปาก็เริ่มมีท่าทีกระด้างกระเดื่องหมายจะตั้งตนเองเป็นอิสระจากการปกครองของต้าเหลียว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ซ่งหลานวางแผนการคาดการณ์กำลังของศัตรูได้ที่วางกำลังทหารประจำประตูแต่ละทิศได้แม่นยำในเมื่อทัวปาอวี้สนใจแต่การก่อกบฏตั้งตนเองเป็นอิสระ ซ่งหลานจึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปลอบสังหารคนของทัวปาอวี้ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาแบบเป็นๆแผนการ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status