สนามแข่งรถ...
สองเท้าของฉันหยุดนิ่งรู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่ในปาร์ตี้สนามแข่งที่คาคั่งไปด้วยผู้คนและรถยนต์หลายสิบคัน แม้จะเป็นช่วงใกล้ค่ำแต่แสงสีของที่นี่ไม่ได้น้อยหน้าผับดังย่านกลางเมืองเลยสักนิด
ท่ามกลางฝูงชนที่แต่งกายจัดจ้าน ฉันคนเดียวกลับกลายเป็นตัวประหลาดที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร พื้นที่ที่เคยแน่นขนัดก่อนหน้านี้ถูกแหวกกว้างออกอย่างพร้อมเพียงทันทีที่ฉันก้าวเข้ามา กลายเป็นจุดศูนย์กลางของทุกคนไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่น รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับฉันแต่ ฉันกำแผ่นกระดาษในมือแน่นฝืนใจก้าวต่อไปข้างหน้า กวาดตามองหาคนๆ หนึ่งอย่างร้อนใจ น้องสาวฉันอยู่ที่ไหน
ถ้าไม่ใช่เพราะอาโยขอร้องฉันไม่ย่างเท้าเข้ามาในนี้เด็ดขาด เพนนีจะรู้ไหมว่าทำคนอื่นเดือดร้อนขนาดไหน
หมับ!!
ฉันสะดุ้งเฮือก ก้มมองข้อมือที่ถูกจับด้วยความตกใจ เงยหน้ามองเจ้าของมืออย่างหวาดหวั่น
เขาทำฉันนิ่งอึ้งเพราะหน้าตาที่หล่อเหลาคมคายตั้งแต่แวบแรกที่มอง เขาทำฉันลืมเลือนทุกสิ่งรอบกายไปชั่วขณะ ในใบหน้าที่งดงามประหนึ่งทูตตกสวรรค์และแฝงเร้นด้วยความร้ายเล่ห์ดุจซาตานของเขา
“ปะปล่อยนะ” พอรู้สึกตัวฉันรีบดึงข้อมือออกจากฝ่ามือร้อนๆ ของเขาทันที
หมอนั่นเหลือบมองฉันในชุดนักศึกษาตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ต่างจากประเมินของชิ้นหนึ่ง “จืดว่ะ ใครเอายัยนี่เข้ามาในปาร์ตี้ฉัน” เขาตั้งคำถามและมองไปรอบๆ อย่างหงุดหงิด
ไม่มีใครตอบ ราวกับว่าการพูดกับคนตรงหน้าเป็นเรื่องต้องห้าม
“...ออกไปซะก่อนที่เธอจะทำปาร์ตี้ฉันกร่อย”
หมอนั่นส่งเสียงไล่ฉันอย่างรังเกียจก่อนเดินออกไป บรรยากาศตึงเครียดปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่
“คะคือ... ฉัน... ฉันมาตามหานะน้อง” ฉันโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความมั่นใจ แจ้งให้รู้ว่ายังกลับตอนนี้ไม่ได้ทั้งที่มันไม่จำเป็น
เขาหยุดแล้วหันมามองคล้ายได้ยินเสียงแมลงวันตัวหนึ่งบินผ่าน สายตารำคาญเพ่งมองราวกับจะฉีกร่างฉันเป็นสองส่วนแต่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน เสียงหนึ่งก็ดังตะโกนมาจากที่ไหนสักแห่งในนี้
“เฮียริกกี้พวกนั้นมา!”
คนที่โดนเรียกว่าริกกี้หันขวับ สายตาคู่คมดุดันขึ้นทันที รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากรอบกายเขาราวกับงูแผ่แม่เบี้ย
ฉันร่นถอยหลังตามสัญชาตญาณ รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวที่ไม่น่าเข้าใกล้ พร้อมกันนั้นชื่อ ริกกี้ ก็ถูกประทับตราลงในสมองอย่างแม่นยำ
ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวไปไหน กลุ่มผู้ชายจำนวนสี่ห้าคนท่าทางเอาเรื่องก็เดินเข้ามายืนจับกลุ่มกันตรงหน้าริกกี้
กลิ่นอายมาคุไหลเวียนไปทั่วทั้งลานกว้าง ก่อนที่หนึ่งในแขกไม่ได้รับเชิญจะเอ่ยขึ้นมา
“จัดงานเลี้ยงสมกับเป็นทีมกระจอกๆ ดีหนิริกกี้.... เหอะแกนี่มันเห่ยชะมัด”
สายตาคนพูดตวัดมองมาที่ฉันราวกับจะถากถางริกกี้ ฉันเย็นสันหลังวาบ รู้สึกคล้ายถูกตรึงเอาไว้กับที่ขยับไปไหนไม่ได้
“มีธุระอะไร”
“แค่แวะมาทักทาย หัวหน้าทีม RED SUN คนใหม่” เขาแสยะยิ้มหยัน นัยน์ตาสีครามส่องประกายเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหล่อเหลาไม่น้อยไปกว่าริกกี้กวนประสาทเหลือร้าย
ฉันมองอย่างรู้สึกใจคอไม่ดี ตอนนี้เรื่องเพนนีไม่ได้อยู่ในหัวสักนิด สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวสมองคือเสียงภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ฉันหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี่สักที
แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ได้ยินเสียงของฉัน เหตุการณ์ระหว่างชายทั้งสองคนที่ไม่ลงรอยกันยังคงดำเนินต่อ
“หมดธุระแล้วก็กลับไปซะ” ริกกี้ออกปากไล่
เจ้าของนัยน์ตาสีครามกระตุกยิ้ม จับจ้องสายตาริกกี้อย่างไม่สะทกสะท้าน ตรงเข้ามาดึงแขนฉันไปจับอย่างไม่มีสาเหตุ
“ทะทำอะไร ปล่อยนะ”
“ฉันยังไม่ได้ทักทายยัยนี่เลย”
ฉันเบือนหน้าหลบเมื่อเขาโน้มใบหน้าคมๆ เข้ามาใกล้จนริมฝีปากเฉียดแก้มไปนิดเดียว
“คิดจะทำอะไรน่ะ ปล่อยดิ!” ฉันโวยวายด้วยความร้อนรน สะบัดมือออกจากฝ่ามือของเขาแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหลุดง่ายๆ
ริกกี้ขมวดคิ้วมองฉันกับเจ้าของดวงตาสีครามสลับกันด้วยสายตาเรียบสนิท
“ถ้าคิดจะยั่วโมโห ไม่ได้ผลหรอก”
“อย่างงั้นเหรอ ถ้างั้นแบบนี้ล่ะ” เขาจับหน้าฉันด้วยมือทั้งสองข้างแล้วดึงเข้าไปประกบริมฝีปากอย่างรวดเร็ว
เวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ หัวใจฉันกระตุกวูบ เบิกตาโพลง ในหัวตอนนั้นมีแต่ความตกใจ
นี่มันจูบไม่ใช่เหรอ! ฉันกรีดร้องในใจ ออกแรงขัดขืนทันทีที่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผลักคนตรงหน้าออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล
บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิท ทุกสายตาจ้องมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว
แต่ก่อนความรู้สึกอดสูจะกล้ำกรายเข้ามาในหัวใจฉันนานกว่านั้น ร่างสูงก็โดนกระชากออกไป ริมฝีปากฉันเป็นอิสระ แรงเหวี่ยงทำให้ฉันเซห่างออกมาด้านข้างอย่างตั้งหลักไม่ทัน
เหลือบเห็นริกกี้กระชากแขนเขาคนนั้นออกไปแล้วผลักแรงๆ หนึ่งที
“ถ้าหิวก็ไปกินที่อื่น อย่ามาทำตามอำเภอใจในถิ่นกู”
“ถ้าอย่างนั้นกูจะลากนังนี่ไปเอาที่อื่น”
เขาพูดแล้วตรงเข้ามาคว้าแขนฉันเอาไว้แน่น ฉันมองใบหน้าหยาบคายของเขาอย่างแตกตื่น เสียงหัวเราะสะใจดังมาจากทางพรรคพวกของเขาอย่างกำลังเยาะเย้ยริกกี้อยู่
“ปล่อยนะ ฉันไม่รู้เรื่องด้วย” ฉันขัดขืนหัวใจสั่นผวา ไม่น่ามาที่นี่ตั้งแต่แรกเลย ฮืออออ
“ไม่มีปัญหาใช่ไหมริกกี้”
ริกกี้ชะงัก นัยน์ตาคมสีนิลหรี่เล็ก เขาขบกรามแน่นเพราะคำพูดล่าสุดของอีกฝ่ายและก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัว ริกกี้ก็กระชากแขนฉันออกจากการจับกุมของหมอนั่นทันที
หวืด!!
“อึก!” ฉันกลั้นหายใจเฮือก หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น สถานการณ์มันดูยุ่งเหยิงและสับสนไปหมด ทันใดนั้นเสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้น
ริกกี้บีบข้อมือฉันแน่น จ้องศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเลือดเย็น!
“ออกไปซะ ก่อนกูจะหมดความอดทน”
“แค่ยัยเฉิ่มคนเดียว จะหวงทำไมนักหนา ทีผู้หญิงคนอื่นมึงยังแชร์กับฮานเลยฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนั้นดังขึ้น ครู่ต่อมาพรรคพวกของเขาก็หัวเราะตามกัน “แต่ตอนนี้กูเปลี่ยนใจแล้วว่ะ ปากยัยนั่นนุ่มจนน่า....”
กิ๊ก!
บางอย่างที่ปรากฏขึ้นในมือริกกี้ หยุดผู้ชายคนนั้นที่กำลังจะเดินเข้ามาใกล้ คำพูดชะงักค้างในคอ
หัวใจฉันร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เพิ่งเห็นของที่อยู่ในมือริกกี้ชัดๆ ปืนสีดำเมื่อมเล็งไปที่ศัตรูอย่างเลือดเย็น เกิดความเงียบงันไปทั้งบริเวณ ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่งเพราะวัตถุอันตรายในมือของริกกี้กระบอกเดียว
รอยยิ้มไม่รู้สึกรู้สาถึงอันตรายผุดขึ้นบนใบหน้าของชายคนเดิม เขาดูไม่ยี่หระต่ออะไรทั้งสิ้นขณะที่ฉันกำลังอกสั่นขวัญแขวนไปหมด
ริกกี้ไม่มีท่าทีว่าล้อเล่นเลยสักนิด นิ้วเรียวยาวกระชับไกปืนแน่น แววตาสีนิลคมกริบเอาจริง “กลับไปซะ กูให้โอกาสมึงขยับแค่ครั้งเดียว!”
“ถ้าไม่ล่ะ”
“หึ!” ริกกี้แค่นเสียงเหยียดในคอคำเดียว นิ้วมือขยับ!
ฉันเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่นะ!
ปัง!!!!!
กระสุนพุ่งออกมาอย่างไม่มีใครสามารถหยุดมันได้ ทุกอย่างยังคงนิ่งเงียบไม่มีใครขยับไปไหน ทุกสายตาจ้องมองมาที่กลางวงล้อมอย่างตื่นตระหนก
ร่างฉันค่อยๆ ทรุดลงเมื่อความเจ็บปวดทะลวงลึกเข้ามาในหัวใจ ก่อนที่ฉันจะล้มลงกระแทกพื้นใครบางคนก็โผเข้ามารับเอาไว้ทัน
...ฉันเจ็บจนไม่อยากลืมตา รู้สึกเหมือนพลังงานค่อยๆ ไหลออกจากร่าง นี่ฉันกำลังจะตายใช่ไหม
เมื่อกี้ฉันตกใจวิ่งเข้าไปขวางทางกระสุนเพื่อปกป้องผู้ชายคนนั้นจนลืมนึกถึงชีวิตตัวเอง โง่แม้แต่วินาทีสุดท้ายจริงๆ
“ยัยบ้า!”
เสียงริกกี้อยู่ใกล้ๆ นี่เอง หรือเขาคือคนที่ประคองฉันอยู่ ฉันปรือตาขึ้นอย่างสงสัยเห็นใบหน้าของเขาเลือนรางก่อนทุกอย่างจะดับวูบ
ผมขับรถเข้ามาที่บ้านพักตากอากาศของไอ้เรซตั้งอยู่หลังดงมะขามกว่าร้อยไร่ แต่คนที่เป็นเจ้าของไร่มะขามจริงๆ คือป้ามัน มันเคยเล่าให้ฟังว่าเครือญาติสนิทกันเป็นครอบครัวใหญ่และบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือบ้านที่พ่อแม่มันสร้างในที่ของป้ามันเสียงเพลงดังกระฮึ่มตั้งแต่ปากทางเข้ามีรถมากกว่าสิบคันจอดเรียงรายล้อมตัวบ้าน คือที่ไหนสามารถจอดได้ก็จอดเลย บ้านพักหลังนี้ตั้งห่างจากบ้านใหญ่(บ้านป้ามัน)หลายกิโล เพราะงั้นจึงไม่ค่อยมีพวกคนงานหรือใครเข้ามายุ่มย่าม ทุกๆ คนสามารถสนุกกันได้แบบไร้ความกังวล “ริกกี้....” เสียงเรียกชื่อสั่นกระเส่าด้านหลังทำผมเหลือบไปมองอย่างหงุดหงิด ตลอดทางเลยให้ตายสิ ผมโคตรอารมณ์เสีย หลังจากมีคนรายงานว่าเห็นรถไอ้คลื่นวิ่งเข้ารีสอร์ตผมก็ซิ่งออกไปอย่างแทบจะบินได้เอาตรงๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงยัยนี่แน่ๆ มันก็แค่.... ทนอยู่เฉยๆ ให้ศัตรูมาฉกเหยื่อไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ กับยัยนี่.... ผมเห็นเป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น “อ้าวเฮียมาแล้วเหรอครับ” เด็กคนหนึ่
“คะคลื่น....” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างกลั้นหายใจ คลื่นเอาแต่จ้องหน้าอกฉันนิ่งอยู่อย่างนั้นหลังเปิดแผลให้เขาดูจนฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกหรือเปล่า “ทั้งหมดนี่มันคงจะอยู่บนตัวฉัน ถ้าเธอไม่เอาตัวเข้ามาป้อง” หมอนั่นพูดอย่างเหม่อลอยเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง เขาเหลือบตามองฉันในคำสุดท้าย สายตาคมกริบที่ราวกับจะมองลึกเข้ามาถึงข้างในทำฉันร้อนวูบไปทั้งหน้า ก้มหลบดวงตาสีครามอย่างเหนียมอาย การที่มีผู้ชายหน้าตาหล่อขนาดนี้ถึงลุคจะดูร้ายและเจ้าเล่ห์มากก็ตามแต่มาทำอ่อนโยนด้วยและคอยส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ตลอดเวลา ฉันคงไม่สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ คือฉันไม่ได้จะคิดเข้าข้างตัวเองหรืออยากสานสัมพันธ์อะไรกับเขานะ ก็แค่ตั้งรับไม่ทันเท่านั้น “มองอะไรล่ะ ทำแผลสิ ฉันเย็นไปหมดแล้วนะ” ฉันบอกเสียงตะกุกตะกัก แกล้งทำเป็นประท้วงเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากเลยนะ ถ้าฉันไม่บาดเจ็บ ไม่มีทางที่จะทนนั่งนิ่งๆ แล้วเปิดอกให้ผู้ชายดูแบบนี้หรอก “โทษที” คลื่นยิ้มจากใจจริง(ห
คู่แข่งเป็นนักแข่งมืออาชีพในเซอร์กิตเหรอ เหอะ ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลยนี่หว่า ไอ้แฮคบอกว่าความเร็วผมดีแต่แค่นี้เอาชนะคู่แข่งไม่ได้ ผมว่าข้อมูลมันมั่วแล้วล่ะ ตั้งแต่สตาร์ทผมเป็นฝ่ายตามก็จริง เราเลือกวิธีออกตัวแบบโยนเหรียญ โดยจะให้รถคันหนึ่งวิ่งนำไปก่อนแล้วอีกคันตามหลังเพราะถนนบนทางลาดเขาแคบเขาลูกนี้ถนนสองเลนก็จริงแต่กฎนี้เป็นธรรมเนียมสากลที่ใช้ในทุกๆ การแข่ง ผมขับตามรถคู่แข่งมาแบบประชิด มองไลน์การขับและการเคลื่อนไหวของรถข้างหน้าอย่างวิเคราะห์ไปด้วย ก็ดูมีทักษะดีอ่ะนะ แต่ขับตามตำราเป๊ะๆ อย่างนี้เอาชนะผมไม่ได้หรอก ไม่รู้ไอ้แฮคกับเรซมันเอาข้อมูลนักแข่งมาจากไหน เทียบกับโปรไฟล์ที่พวกนั้นบอกแล้วตัวจริงอย่างห่วย! ผมเหยียบคันเร่งแซงตรงโค้งมรณะเลยครับ ป้ายเตือนภัยสะเทือนวูบไหวทันทีที่รถสองคันวิ่งคู่ขี่สูสีกันเข้าโค้ง แป๊บเดียวแต่เหมือนนาน เวลาในรถเดินช้าลงไปด้วย ทุกวินาทีที่ผ่านไปผมจดจำภาพเหล่านั้นได้ชัดเจน ไอ้ไก่อ่อนที่คุยโวนักหนาว่ามีฝีมือทำหน้าตื่นตกใจเมื่อเห็นผมเบียดแซงขึ้นมา “อยากตายหรือไงวะ” หมอนั่นที่ขนาดชื่อผมยังจำไม่ได้แหกปากตะโกนอยู่ในรถ ผมมองเห็นหน้
กรี๊ดดดดดดดดดด ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่บนเบาะ มือบีบสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น กรีดร้องอย่างหวาดกลัวตั้งแต่นาทีแรกที่ริกกี้เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างบ้าดีเดือด คิดจะฆ่าตัวตายหรือไงเนี่ย“โค้งๆ กรี๊ดดดด”ฉันแหกปากลั่น ริกกี้เหยียบทะลุโค้งแบบท้ายรถเฉียดกับขอบกั้นเหวนิดเดียว หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก หันกลับไปมองจุดหวิดตายอย่างใจหายใจคว่ำ ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันบ้าบิ่นชะมัด ยังไม่ทันหายตกใจกับโค้งแรก รถก็วูบเอียงไปอีกด้าน ฉันหันกลับมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนตอนนั้นรถก็ปาดเข้าโค้งอีกฝั่งด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงไอ้บ้าริกกี้ไม่แตะเบรกด้วยซ้ำ สับเท้าเหยียบคันเร่งพึบพับอย่างกับพวกนักแข่งมืออาชีพที่เคยเห็นในหนัง สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาที่จ้องมองไปด้านหน้าถึงจะดูเครียดนิดๆ แต่ไม่มีวี่แววหวั่นเกรงสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย“กรี๊ด!”ฉันกรีดร้องออกมาแทบจะต่อเนื่อง ถนนบนเขาคดโค้งและซิกแซกเหมือนงูขดบวกกับความเร็วกระชากวิญญาณของรถที่ริกกี้เป็นคนขับ ฉันแทบสลบกลางอากาศหลายรอบ หวาดเสียวยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาอีก เมื่อไหร่เรื่องบ้าบอคอแตกนี่มันจะจ
“คะนิ้ง!” อาโยออกมาเปิดประตูรั้วหลังจากฉันกดกริ่งไปสองครั้ง ทำหน้าตกใจแกมอึ้งที่เห็นฉัน มือรีบดึงประตูรั้วออก เดินออกมาคว้ามือฉันไปจับเอาไว้มองสารรูปฉันด้วยท่าทางสับสน “คะนิ้งจริงๆ ด้วย....” “อาโย พ่อละค่ะ” “ไปทำงานน่ะลูก คะนิ้งหายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมอากับพ่อเป็นห่วงแค่ไหน” “เอ่อ อาโยคะค่าแท็กซี่” “อ้อ....” อาโยมองแท็กซี่ที่เปิดไฟกะพริบอยู่ด้านหลังฉันอย่างเข้าใจ ชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาจูงมือฉันเข้าบ้าน “คะนิ้งนั่งรอนี่นะ อาเอาเงินไปจ่ายค่ารถให้” ฉันพยักหน้าหลังจากถูกอาโยจับตัวให้นั่งลงบนโซฟาในห้องโถงชั้นล่าง รอแป๊บหนึ่งร่างอวบอิ่มได้ทรวดทรงในวัยสามสิบปลายก็เดินกลับเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “คะนิ้ง.... ไหนเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น” อาโยมองสำรวจเนื้อตัวฉันแล้วเอ่ยถามตรงๆ ฉันมองสบแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกจุกตันในคอ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่อีกใจก็หวาดกลัวที่จะเล่าความจริง ถ้าอาโยรู้ว่า
ผมอยู่ที่เซอร์กิตหรือสนามแข่งรถระดับนานาชาติแห่งหนึ่งแถวปริมณฑล มีรายการแข่งรถเล็กๆ ถูกจัดขึ้นและทีมของเราก็เข้าร่วม รายการแข่งรถบนดินแบบนี้ส่วนใหญ่จะให้สมาชิกทีมที่เป็นทางการลงพวกผมห้าคนไม่สิตอนนี้มีแค่สี่คนซึ่งเป็นตัวนำหลักของทีมจะปรากฏตัวเฉพาะการแข่งใต้ดินเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงแข่งรถในอุโมงค์นะครับ ถึงแม้บางครั้งจะมีเส้นทางลอดใต้อุโมงค์ก็เถอะ แดดตอนเช้าร้อนเปรี้ยงอย่างกับตอนตะวันตรงหัวทั้งที่เวลานี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าหน่อยๆ คนดูไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะไม่ใช่งานแข่งใหญ่อะไร แต่ดูเหมือนจะถ่ายทอดสดทางช่องเคเบิ้ลสักอย่าง ผมจำรายละเอียดไม่ได้เพราะไอ้เรซเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด “อ้าวริกกี้ ว่างเหรอวะ นึกว่าไปสำรวจเส้นทางขึ้นเขาเพชรบูรณ์กับเฮียหมูซะอีก” แฮคกำลังตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์รถหันมามองผมอย่างแปลกใจ เด็กคนอื่นๆ ภายในเต็นท์ก็พลอยหันมายกมือไหว้ผมด้วย ผมแค่พยักหน้าให้ทุกคนแล้วพูดกับแฮคเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เดี๋ยวไปพร้อมมึง” แฮคมันพยักหน้ารู้เรื่องแบบไม่ใส่ใจ ไม่ซักอะไรอีกหันไปสนใจงานตรงหน้าและคุยกับลูกมือใกล้ๆ