ฉันลืมตาขึ้นภายใต้ความมืดสลัว เจ็บตรงอกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับทั้งที่ไม่มีอะไรนอกจากผ้าห่มผืนบางคลุม แค่หายใจเบาๆ ยังทรมาน
นี่ฉันยังไม่ตาย!?!
ในหัวปวดหนึบ คอแห้งผาก มองฝ่าความมืดในห้องอย่างสงสัยแกมตื่นตระหนก ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่งั้นที่นี่ที่ไหน
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ”
น้ำเสียงบาดหูดังขึ้น ฉันเหลือบมองเงาของร่างสูงที่ขยับเข้ามาข่มมือลงบนเตียงอย่างวิตก ริกกี้!
ฉันตกใจ ขยับหนีเขาอย่างลืมตัวก่อนจะร้องออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวดที่อกร้าวระบม หายใจหอบลึก มองริกกี้นัยน์ตาสั่นไหว
“ฉันน่ากลัวกว่าลูกปืนหรือไง”
“อึก”
น้ำเสียงหงุดหงิดดังอย่างไม่สบอารมณ์
เขาทำให้ฉันนึกออกว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ....ฉันเอาตัวเข้าไปบังกระสุนของริกกี้เพราะจะปกป้องคนแปลกหน้าแต่ฉันทำไปโดยไม่รู้ตัว และไม่คิดด้วยว่าริกกี้จะลั่นไกจริงๆ
ฉันกลืนน้ำลายอึก เนื้อตัวเย็นเฉียบเมื่อรู้ถึงความน่ากลัวที่เผชิญมา ริกกี้มาอยู่ตรงหน้าฉันแบบนี้ก็แปลว่าฉันยังไม่ตาย
“เธอเป็นอะไรกับไอ้คลื่น”
เสียงแข็งกระด้างไม่เป็นมิตรของริกกี้ที่ดังอยู่ใกล้ๆ ดึงสติฉันกลับมามองหน้าเขาอย่างสับสน
ฉันไม่เคยรู้จักคนชื่อคลื่น
“ตอบมา!”
เขากระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด ฉันสะดุ้งเฮือก รู้สึกเจ็บร้าวที่หน้าอก ในหัวพยายามเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้น ละล่ำละลักเสียงแหบพร่า
“ฉัน....ไม่รู้จัก”
“แล้วเธอช่วยมันทำไม มีคนสติดีที่ไหนเอาตัวไปบังกระสุนแทนคนอื่น”
ฉันกะพริบตา ริกกี้พูดแบบนั้นก็แสดงว่า.... คนนั้นชื่อคลื่น
“เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนั้น”
“เธอคิดจะกวนประสาทฉันหรือไง”
เขาบีบคางฉันเอาไว้แน่นด้วยท่าทางโมโห
“ฉัน....ขะขอโทษ”
“เธอเป็นอะไรกับมันบอกความจริงมาก่อนฉันจะหมดความอดทน”
“ฉันไม่รู้ ฮืออออ ฉันไม่รู้จริงๆ” ฉันสะอื้นอย่างตื่นกลัวเพราะสายตากดดันปนเลือดเย็นของคนตรงหน้า มันอยู่ใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุ น้ำตาฉันเอ่อล้นออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“หยุดร้องรำคาญ!”
“ฮึก.....”
“คิดว่าฉันเชื่อเธอเหรอ แกล้งทำเป็นใสซื่อที่จริงเธอแฝงตัวเข้ามาในงานเพื่อสืบความลับฉันให้พวกอีเกิลสปีดใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้ จะเจ็บ....ฮือออปะปล่อยฉันเถอะฉันขอร้อง”
“คายความลับออกมา ไม่งั้นฉันฆ่าเธอจริงๆ”
เขาเขย่าหน้าฉันจนปวดสะเทือนไปทั้งตัว คาดคั้นเอาเรื่องที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจและไม่อยากรู้ด้วย ขอร้องอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตาทั้งที่มันเจ็บจนแทบพูดไม่ไหว แต่ริกกี้ไม่ฟังเขายังคงเค้นฉันต่ออย่างบ้าคลั่ง
“เฮ้ยริกกี้ทำอะไร”
ก่อนที่ฉันจะเจ็บตายด้วยน้ำมือริกกี้ ใครคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามากระชากเขาออกจากเตียง
“เก่ง”
เสียงริกกี้สบถลอดไรฟัน ฉันมองเงาสองเงาที่อยู่ห่างเตียงอย่างกลั้นหายใจ รู้สึกสับและหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ
“ทำอะไร จะฆ่ายัยนั่นหรือไง”
“ไม่ใช่เรื่องของมึงอย่ายุ่ง” ริกกี้ทำท่าจะกลับมารังแกฉันต่อแต่ถูกมือคนนั้นดึงรั้งแขนห้ามเอาไว้ ฉันใจหายเฮือก ท่ามกลางความเจ็บปวดที่แทบจะกลืนกินสติ ฉันนึกขอบคุณเขาเบาๆ ที่หยุดริกกี้เอาไว้
“ใจเย็นหน่อยสิวะ ถ้าเธอตายขึ้นมากูก็ต้องมานั่งทำลายศพอีก”
นั่นคือเหตุผลที่เขากังวลเหรอ ฉันสะดุ้งไหวเมื่อได้ยินแบบนั้น มือที่พอจะขยับไหวขยุ้มผ้าห่มแน่นมีแต่ความหวาดหวั่นอบอวลอยู่ในหัว
“ยากอะไร ถ้ามันตายก็แค่ส่งไปให้ไอ้คลื่นฝัง”
“ถ้ามันจบแค่นั้นก็ดีสิ”
ริกกี้เงียบไปครู่หนึ่ง
“กูเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ให้ยัยนี่ตายน่าจะมีประโยชน์กว่า”
“นั่นแหละที่กูกำลังจะบอก”
“เออ งั้นก็จัดการต่อด้วย”
ริกกี้ออกไปแล้วเหลือแค่ผู้ชายแปลกหน้าอยู่ในห้องกับฉันสองคน
“จะทำอะไรน่ะ!”
ฉันใจหายเฮือก ผวาตัวหนีแต่ก็เหมือนมีอะไรกดทับอยู่ตรงอกขยับได้ไม่ถึงสองทีก็น้ำตาเล็ด ผ้าที่คลุมอยู่ตรงอกถูกมือของเขาเปิดออกอย่างไม่บอกกล่าว ฉันร้องเสียงหลง เย็นวาบไปทั้งลำตัวครึ่งบน ลมหายใจติดขัดเมื่อรู้ว่าหน้าอกเปลือยเปล่าไม่มีอะไรสวมทับ
“ใจเย็นๆ ฉันเป็นหมอ”
ฉันชะงัก อาการหวาดกลัวลดลงไปครึ่งเดียว จ้องมองโครงหน้าของคนที่อ้างว่าเป็นหมออย่างไม่ไว้ใจ
ผมของเขายาวประบ่าจนต้องมัดรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ หนวดเคราที่โกนไม่เรียบร้อยขึ้นตะปุ่มตะป่ำไม่สม่ำเสมอ ดวงตาสีน้ำตาลดุดัน ใบหน้าหยาบคายเกินกว่าจะเป็นหมอ
“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันเป็นคนผ่ากระสุนที่ฝังอยู่ตรงอกเธอออก”
คำบอกกล่าวนั้นทำฉันหลุบตามองแผ่นผ้าก๊อชที่วางทับอยู่บนเนินอกตัวเองเลิ่กลั่ก ตอนนี้มันถูกซับไปด้วยเลือดจนมองไม่เห็นสีเดิม
“ไอ้เวรริกทำแผลฉีกให้ตายสิกูก็ต้องมาตามแก้อีก” เขาหยิบผ้าก๊อชออกพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
ฉันผวาเฮือก กัดฟันแน่นอย่างตื่นกลัวปนอับอาย ที่ตอนนี้กำลังนอนเปลือยอกต่อหน้าผู้ชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้แต่ความเจ็บปวดแทบจะทำให้ฉันลืมหมดทุกอย่าง
“เฮ้ ไหวไหม ฉันจะเย็บแผลให้ใหม่อยู่นิ่งๆ”
“เอ๊ะ....”
เขาบอกก่อนจะโน้มตัวไปดึงลิ้นชักข้างเตียงออกมา หยิบกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมากางบนเตียง ฉันมองเข็มในมือเขาหัวใจเต้นรัว
“อย่านะ....”
“กลัวเหรอ ตอนที่ฉันเอากระสุนออกเธอสลบอยู่เลยไม่มีปัญหา แต่ว่ายาชาหมด เจ็บนิดเดียวทนเอาหน่อยแล้วกัน”
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
นิดเดียวอะไรล่ะ!! ฉันกรีดร้องคับห้อง ดิ้นตั้งแต่ปลายเข็มทิ่มลงในเนื้อสดๆ เขาใช้เข่ากดหน้าท้องฉันไม่ให้ดิ้นหนี มืออีกข้างข่มคอเอาไว้สลับกับร้อยเข็มลงในเนื้อ
กว่าความเจ็บปวดจะสิ้นสุดลง ฉันก็หมดแรง นอนหอบเหนื่อย ตัวชา น้ำตาไหลจนชุ่มหมอน มองชายที่เรียกตัวเองว่าหมอก้มลงเก็บอุปกรณ์นัยน์ลอยคว้าง
เมื่อกี้ฉันนึกว่าจะขาดใจไปแล้วจริงๆ เกิดมาไม่เคยเย็บแผลสดแบบนี้มาก่อน
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งแตะจมูก เขาเก็บสำลีกับผ้าก๊อชที่เปื้อนเลือดทิ้งลงถังขยะเล็กข้างเตียง แล้วลุกขึ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“เดี๋ยวเอายาแก้อักเสบกับลดไข้มาให้ อย่าเพิ่งขยับตัวล่ะเดี๋ยวแผลฉีกอีก”
คิดว่าสภาพฉันสามารถลุกขึ้นไปไหนได้หรือไง
เขาเดินออกจากห้องพร้อมกับถังขยะและกล่องอุปกรณ์การแพทย์ ฉันมองตามจนประตูห้องปิดลง หลับตาอย่างเหนื่อยล้า ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนเคลิ้มเกือบหลับประตูก็เปิดออก
“อ่ะกินซะจะได้ดีขึ้น”
ผู้ชายคนนั้นยื่นยาให้แต่ฉันไม่มีปัญญาจะรับ ลำพังแค่หายใจเข้าออกยังระบมไปทั้งอก
“ลำบากกูอีก”
เขาเดินมาสอดยาเข้าปากฉันด้วยท่าทางรำคาญ ก่อนหยิบขวดน้ำมาจ่อปากแล้วค่อยๆ เทให้ เม็ดยาลื่นๆ ไหลลงคออย่างทุลักทุเล กลิ่นอายความขมไหลปราดไปทั่วโพรงปาก
“เธอเป็นผู้หญิงไอ้คลื่นจริงเหรอ”
เขามองฉันที่นอนหอบอยู่บนเตียงก่อนที่ปลายสายตาของคนเป็นหมอจะหยุดอยู่ที่หน้าอกเปล่าเปลือยของฉัน
“อย่ามองนะ”
“ฉันไม่มีอารมณ์กับคนเจ็บหรอกน่า”
เขาทำเสียงขัดใจใส่ฉัน แต่ก็ยังไม่หยุดมอง
“ถามจริง เวอร์จิ้นอยู่หรือเปล่า?”
“.....”
“ไม่ต้องห่วงฉันยังไม่ได้ดูข้างล่าง ก็นะ เมื่อคืนที่ริกกี้เรียกฉันมามันด่วนจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นนอกจากผ่ากระสุนออก เหนื่อยเป็นบ้า.... เอออ้าวหลับแล้วเหรอ?”
ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรต่อ หลังจากทักเรื่องเวอร์จิ้นฉันจำได้ว่าตกใจอยู่แป๊บหนึ่งหลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย เปลือกตามันหนักจนทานไม่ไหว ความเจ็บปวดผสมกับฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปกล่อมฉันให้หลับสนิท
ผมขับรถเข้ามาที่บ้านพักตากอากาศของไอ้เรซตั้งอยู่หลังดงมะขามกว่าร้อยไร่ แต่คนที่เป็นเจ้าของไร่มะขามจริงๆ คือป้ามัน มันเคยเล่าให้ฟังว่าเครือญาติสนิทกันเป็นครอบครัวใหญ่และบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือบ้านที่พ่อแม่มันสร้างในที่ของป้ามันเสียงเพลงดังกระฮึ่มตั้งแต่ปากทางเข้ามีรถมากกว่าสิบคันจอดเรียงรายล้อมตัวบ้าน คือที่ไหนสามารถจอดได้ก็จอดเลย บ้านพักหลังนี้ตั้งห่างจากบ้านใหญ่(บ้านป้ามัน)หลายกิโล เพราะงั้นจึงไม่ค่อยมีพวกคนงานหรือใครเข้ามายุ่มย่าม ทุกๆ คนสามารถสนุกกันได้แบบไร้ความกังวล “ริกกี้....” เสียงเรียกชื่อสั่นกระเส่าด้านหลังทำผมเหลือบไปมองอย่างหงุดหงิด ตลอดทางเลยให้ตายสิ ผมโคตรอารมณ์เสีย หลังจากมีคนรายงานว่าเห็นรถไอ้คลื่นวิ่งเข้ารีสอร์ตผมก็ซิ่งออกไปอย่างแทบจะบินได้เอาตรงๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงยัยนี่แน่ๆ มันก็แค่.... ทนอยู่เฉยๆ ให้ศัตรูมาฉกเหยื่อไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ กับยัยนี่.... ผมเห็นเป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น “อ้าวเฮียมาแล้วเหรอครับ” เด็กคนหนึ่
“คะคลื่น....” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างกลั้นหายใจ คลื่นเอาแต่จ้องหน้าอกฉันนิ่งอยู่อย่างนั้นหลังเปิดแผลให้เขาดูจนฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกหรือเปล่า “ทั้งหมดนี่มันคงจะอยู่บนตัวฉัน ถ้าเธอไม่เอาตัวเข้ามาป้อง” หมอนั่นพูดอย่างเหม่อลอยเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง เขาเหลือบตามองฉันในคำสุดท้าย สายตาคมกริบที่ราวกับจะมองลึกเข้ามาถึงข้างในทำฉันร้อนวูบไปทั้งหน้า ก้มหลบดวงตาสีครามอย่างเหนียมอาย การที่มีผู้ชายหน้าตาหล่อขนาดนี้ถึงลุคจะดูร้ายและเจ้าเล่ห์มากก็ตามแต่มาทำอ่อนโยนด้วยและคอยส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ตลอดเวลา ฉันคงไม่สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ คือฉันไม่ได้จะคิดเข้าข้างตัวเองหรืออยากสานสัมพันธ์อะไรกับเขานะ ก็แค่ตั้งรับไม่ทันเท่านั้น “มองอะไรล่ะ ทำแผลสิ ฉันเย็นไปหมดแล้วนะ” ฉันบอกเสียงตะกุกตะกัก แกล้งทำเป็นประท้วงเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากเลยนะ ถ้าฉันไม่บาดเจ็บ ไม่มีทางที่จะทนนั่งนิ่งๆ แล้วเปิดอกให้ผู้ชายดูแบบนี้หรอก “โทษที” คลื่นยิ้มจากใจจริง(ห
คู่แข่งเป็นนักแข่งมืออาชีพในเซอร์กิตเหรอ เหอะ ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลยนี่หว่า ไอ้แฮคบอกว่าความเร็วผมดีแต่แค่นี้เอาชนะคู่แข่งไม่ได้ ผมว่าข้อมูลมันมั่วแล้วล่ะ ตั้งแต่สตาร์ทผมเป็นฝ่ายตามก็จริง เราเลือกวิธีออกตัวแบบโยนเหรียญ โดยจะให้รถคันหนึ่งวิ่งนำไปก่อนแล้วอีกคันตามหลังเพราะถนนบนทางลาดเขาแคบเขาลูกนี้ถนนสองเลนก็จริงแต่กฎนี้เป็นธรรมเนียมสากลที่ใช้ในทุกๆ การแข่ง ผมขับตามรถคู่แข่งมาแบบประชิด มองไลน์การขับและการเคลื่อนไหวของรถข้างหน้าอย่างวิเคราะห์ไปด้วย ก็ดูมีทักษะดีอ่ะนะ แต่ขับตามตำราเป๊ะๆ อย่างนี้เอาชนะผมไม่ได้หรอก ไม่รู้ไอ้แฮคกับเรซมันเอาข้อมูลนักแข่งมาจากไหน เทียบกับโปรไฟล์ที่พวกนั้นบอกแล้วตัวจริงอย่างห่วย! ผมเหยียบคันเร่งแซงตรงโค้งมรณะเลยครับ ป้ายเตือนภัยสะเทือนวูบไหวทันทีที่รถสองคันวิ่งคู่ขี่สูสีกันเข้าโค้ง แป๊บเดียวแต่เหมือนนาน เวลาในรถเดินช้าลงไปด้วย ทุกวินาทีที่ผ่านไปผมจดจำภาพเหล่านั้นได้ชัดเจน ไอ้ไก่อ่อนที่คุยโวนักหนาว่ามีฝีมือทำหน้าตื่นตกใจเมื่อเห็นผมเบียดแซงขึ้นมา “อยากตายหรือไงวะ” หมอนั่นที่ขนาดชื่อผมยังจำไม่ได้แหกปากตะโกนอยู่ในรถ ผมมองเห็นหน้
กรี๊ดดดดดดดดดด ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่บนเบาะ มือบีบสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น กรีดร้องอย่างหวาดกลัวตั้งแต่นาทีแรกที่ริกกี้เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างบ้าดีเดือด คิดจะฆ่าตัวตายหรือไงเนี่ย“โค้งๆ กรี๊ดดดด”ฉันแหกปากลั่น ริกกี้เหยียบทะลุโค้งแบบท้ายรถเฉียดกับขอบกั้นเหวนิดเดียว หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก หันกลับไปมองจุดหวิดตายอย่างใจหายใจคว่ำ ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันบ้าบิ่นชะมัด ยังไม่ทันหายตกใจกับโค้งแรก รถก็วูบเอียงไปอีกด้าน ฉันหันกลับมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนตอนนั้นรถก็ปาดเข้าโค้งอีกฝั่งด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงไอ้บ้าริกกี้ไม่แตะเบรกด้วยซ้ำ สับเท้าเหยียบคันเร่งพึบพับอย่างกับพวกนักแข่งมืออาชีพที่เคยเห็นในหนัง สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาที่จ้องมองไปด้านหน้าถึงจะดูเครียดนิดๆ แต่ไม่มีวี่แววหวั่นเกรงสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย“กรี๊ด!”ฉันกรีดร้องออกมาแทบจะต่อเนื่อง ถนนบนเขาคดโค้งและซิกแซกเหมือนงูขดบวกกับความเร็วกระชากวิญญาณของรถที่ริกกี้เป็นคนขับ ฉันแทบสลบกลางอากาศหลายรอบ หวาดเสียวยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาอีก เมื่อไหร่เรื่องบ้าบอคอแตกนี่มันจะจ
“คะนิ้ง!” อาโยออกมาเปิดประตูรั้วหลังจากฉันกดกริ่งไปสองครั้ง ทำหน้าตกใจแกมอึ้งที่เห็นฉัน มือรีบดึงประตูรั้วออก เดินออกมาคว้ามือฉันไปจับเอาไว้มองสารรูปฉันด้วยท่าทางสับสน “คะนิ้งจริงๆ ด้วย....” “อาโย พ่อละค่ะ” “ไปทำงานน่ะลูก คะนิ้งหายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมอากับพ่อเป็นห่วงแค่ไหน” “เอ่อ อาโยคะค่าแท็กซี่” “อ้อ....” อาโยมองแท็กซี่ที่เปิดไฟกะพริบอยู่ด้านหลังฉันอย่างเข้าใจ ชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาจูงมือฉันเข้าบ้าน “คะนิ้งนั่งรอนี่นะ อาเอาเงินไปจ่ายค่ารถให้” ฉันพยักหน้าหลังจากถูกอาโยจับตัวให้นั่งลงบนโซฟาในห้องโถงชั้นล่าง รอแป๊บหนึ่งร่างอวบอิ่มได้ทรวดทรงในวัยสามสิบปลายก็เดินกลับเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “คะนิ้ง.... ไหนเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น” อาโยมองสำรวจเนื้อตัวฉันแล้วเอ่ยถามตรงๆ ฉันมองสบแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกจุกตันในคอ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่อีกใจก็หวาดกลัวที่จะเล่าความจริง ถ้าอาโยรู้ว่า
ผมอยู่ที่เซอร์กิตหรือสนามแข่งรถระดับนานาชาติแห่งหนึ่งแถวปริมณฑล มีรายการแข่งรถเล็กๆ ถูกจัดขึ้นและทีมของเราก็เข้าร่วม รายการแข่งรถบนดินแบบนี้ส่วนใหญ่จะให้สมาชิกทีมที่เป็นทางการลงพวกผมห้าคนไม่สิตอนนี้มีแค่สี่คนซึ่งเป็นตัวนำหลักของทีมจะปรากฏตัวเฉพาะการแข่งใต้ดินเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงแข่งรถในอุโมงค์นะครับ ถึงแม้บางครั้งจะมีเส้นทางลอดใต้อุโมงค์ก็เถอะ แดดตอนเช้าร้อนเปรี้ยงอย่างกับตอนตะวันตรงหัวทั้งที่เวลานี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าหน่อยๆ คนดูไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะไม่ใช่งานแข่งใหญ่อะไร แต่ดูเหมือนจะถ่ายทอดสดทางช่องเคเบิ้ลสักอย่าง ผมจำรายละเอียดไม่ได้เพราะไอ้เรซเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด “อ้าวริกกี้ ว่างเหรอวะ นึกว่าไปสำรวจเส้นทางขึ้นเขาเพชรบูรณ์กับเฮียหมูซะอีก” แฮคกำลังตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์รถหันมามองผมอย่างแปลกใจ เด็กคนอื่นๆ ภายในเต็นท์ก็พลอยหันมายกมือไหว้ผมด้วย ผมแค่พยักหน้าให้ทุกคนแล้วพูดกับแฮคเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เดี๋ยวไปพร้อมมึง” แฮคมันพยักหน้ารู้เรื่องแบบไม่ใส่ใจ ไม่ซักอะไรอีกหันไปสนใจงานตรงหน้าและคุยกับลูกมือใกล้ๆ