'เธอ' คือผู้ที่เสียพ่อแม่ไป 'เขา' คือผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเธอมากับมือ "ไปแหกขารอฉันอยู่บนเตียงซะ...นั่นคืองานของเธอ" กะทิช็อกถึงกับอ้าปากค้าง แขนเรียวที่กอดอกอย่างเย่อหยิ่งคลายออกทันควัน
더 보기.
.
ภายในบ้านที่กระจัดกระจายไปด้วยสิ่งของที่ถูกผู้คนทำลาย ชายหญิงโดนกระชากผมลากมากองรวมกัน ผู้ชายสี่ห้าคนที่มีอาวุธยืนคุมอยู่ รอยเลือดหยดเต็มพื้น
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำนั่งไขว้อยู่ที่เตียงหรูพร้อมจุดบุหรี่หนึ่งมวนและสูบเข้าเต็มปอด ก่อนพ่นควันของมันไปยังใบหน้าของชายหญิงวัยกลางคนทั้งสอง
"ท่านครับ...ผมขอร้องล่ะ...ปล่อยเมียกับลูกผมไปเถอะครับ"
"ฮึกๆ ฮือๆ คุณคะ อย่าไปขอร้องพวกมัน! ไอ้พวกชั่ว!"
ชายวัยกลางคนที่มีเลือดท่วมเต็มหน้าตาที่เคยดูดี ตอนนี้หน้าตาบวมช้ำและรอยแตกเป็นทางยาว เขายกมือขึ้นร้องขอชีวิตของลูกและภรรยาทั้งน้ำตา แต่ภรรยาของเขากลับห้ามไม่ให้เขาทำแบบนั้น
ผัวะ!!
หนึ่งในลูกน้องของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงใช้ด้ามปืนตบเข้าไปที่หน้าหญิงผู้นั้นจนล้มเลือดกบปากไปกองกับพื้นหญิงผู้นั้นสำลักเลือดออกมาอย่าทรมาน
ลูกน้องคนเดิมทำท่าจะเข้าไปเตะซ้ำแต่ผู้เป็นสามีได้เข้าไปกอดไว้ พร้อมกับก้มหัวร้องของชีวิตชายที่อายุน้อยกว่าเขาอีกครั้ง
"ขอร้องล่ะครับ ไว้ชีวิตภรรยาและลูกสาวผมด้วย"
"ยังมีหน้า..."
"ขอร้องล่ะครับท่าน!"
ศีรษะที่เคยอยู่สูงก้มลงจรดพื้นรองเท้าของชายอายุน้อยกว่าอย่างอ้อนวอน ชายหนุ่มผู้นั้นหลุบตามองไปยังเท้าของตนอย่างก่อนจะเตะเข้าไปที่หน้าของชายที่ร้องขอชีวิตจากเขา
ภรรยาเห็นอย่างนั้นก็ไม่อยู่เฉยลุกขึ้นหวังจะตบเข้าไปที่หน้าของคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
ปังงง!!
เสียงปืนดังขึ้นทำให้หญิงคนนั้นล้มลงกลางคัน ลูกน้องคนสนิทถือปืนจ่อหญิงคนนั้นที่ทุรนทุรายคลานหนีไปยังตู้เสื้อ มือที่เปื้อนเลือดพยายามเอื้อมไปด้านหน้า
สายตาจ้องมองเข้าไปในตู้ที่มีช่องเล็กๆ อยู่ก่อนที่จะกระสุนจะวิ่งเข้าไปที่ศีรษะของเธอ หญิงผู้นั้นล้มลงทันที มือเปื้อนเลือดนั้นปิดที่ช่องนั้นก่อนจะเลื่อนลงอย่างหมดแรงและหมดลมหายใจ
ชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นจึงเกิดโทสะคิดจะวิ่งเข้าไปทำร้ายคนที่เป็นหัวหน้าแต่ก็ถูกยิงเสียก่อน โดยลูกน้องของเขา
เลือดสีแดงสาดนองเต็มพื้นเละผนังห้อง ชายหนุ่มที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นอย่างไม่ไยดีแล้วลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป แต่ก็หยุดชะงักฝีเท้าลง
"หาตัวลูกสาวมันให้เจอ"
"ครับนาย"
.
หญิงสาววัยสิบแปดนั่งตัวสั่นและปิดปากตนเองอยู่ในตู้เสื้อผ้า มองศพของพ่อและแม่อันเป็นที่รักถูกลากไปตามพื้นเหมือนสิ่งของเธอกลั้นเสียงร้องไห้ไว้และกัดปากแน่นจนเลือดซิบ น้ำมันถูกราดลงบนร่างของพ่อแม่และบ้านของเธอ
ไฟเริ่มลุกลามไปทั่ว คนที่ฆ่าพ่อแม่เธอเดินออกไปอย่างไม่ไยดี ร่างถูกเผาและบ้านกำลังมอดไหม้ทั้งหลัง....มอดไหม้เหมือนแรงแค้นในใจของเธอ
.
.
.
เด็กสาวทุลักทุเลกึ่งเดินกึ่งคลานออกมาจากหลังบ้านพร้อมกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ ของเธอ หญิงสาวหันมองบ้านหลังใหญ่ที่เคยมีความสุขกับพ่อแม่ ค่อยๆ มลายหายไปต่อหน้าต่อตา
เธอพึ่งบอกพ่อกับแม่วันนี้ว่าเธอสอบติดมหาวิทยาลัยที่พวกเขาเคยหวังไว้ได้แล้วแท้ๆ ความฝัน อนาคต ถูกดับวูบลงไปในทันที
รถตำรวจและรถดับเพลิงวิ่งวุ่นไปทั่วบริเวณและเธอจำเป็นต้องหนี น้ำตาไหลอาบสองแก้มวิ่งไปล้มลุกคลาน ภายในใจจุกอกจนเหมือนจะขาดใจตายเสียตรงนี้
หญิงสาวทุบอกตัวเองซ้ำๆ พร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เธอก็ยังคงต้องเดินต่อไป เธอต้องไปสถานีตำรวจ
.
.
.
ตำรวจมองเด็กสาวที่นั่งร้องไห้ไม่พูดไม่จา ข่าวบนหน้าจอทีวีในสถานีป่าวประกาศเหตุการณ์ฆาตกรรมและไฟไหม้ของผู้มีอิทธิพลและภรรยาถูกฆ่าและทิ้งศพให้จมกองเพลิงโดยไร้พิธีกรรมใดๆ อย่างน่าอนาถ
"มือขวาของมาเฟียใหญ่อย่างเดชาเดชได้ถูกฆาตกรรมอย่างน่าอนาถ ไร้ซึ่งพิธีกรรมใดๆ ทางตำรวจสงสัยว่าอาจจะเป็นฝีมือของคู่อริ เนื่องจากผู้เสียคนได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวขัดขาธุรกิจ และตอนนี้ทายาทผู้เห็นเหตุการณ์ได้เข้าพบกับตำรวจแล้ว...."
.
"เธอเห็นอะไรบ้าง...ถ้าเธอไม่พูดฉันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอกนะ"
ชายหนุ่มในชุดตำรวจเดินเข้ามาสอบถามเธอ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบใดๆ เธอยังคงนั่งเหม่อและปิดปากเงียบ
ตอนนี้เธอพูดอะไรไม่ออก มันเบลอไปหมด ปรินทร์เดินเข้ามาก่อนจะพยักหน้าให้ลูกน้องเดินออกไป เพราะเขาจะสอบสวนเธอเอง
"ฉันชื่อปรินทร์ เป็นสารวัตรที่นี่ เธอล่ะ?"
"........."
"เอาเถอะ ถึงไม่บอกฉันก็รู้อยู่แล้ว อิสรินทร์..."
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองชายในชุดตำรวจที่พอดีกับรูปร่างที่กำยำ ใบหน้าหล่อคมของเขามองตรงมาที่เด็กสาวที่ตอนนี้กำลังเหมือนสติหลุด เธอมองเขานิ่งไม่ตอบอะไร น้ำตาของเธอรื้นขึ้นมาคลอรอบดวงตา
"หิวไหม? ฉันจะพาไปกินข้าว"
"...พวกมัน...ฆ่าพ่อแม่ฉัน...ฮึกๆ ...มันมีกันหกคน...มัน ฮึกๆ ฮือ...ฆ่าพ่อแม่ฉันเหมือนผักเหมือนปลา...ไอ้เลวพวกนั้น!!"
"จำหน้ามันได้ไหม?"
.
ปัง!!
เสียงประตูห้องถูกเปิดอย่างแรงพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสูท ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาราวกับลูกรักพระเจ้าคราบบุหรี่มวนดำเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเข้ามา
เสื้อเชิ้ตสีดำที่เผยให้เห็นรอยสักตรงหน้าอกและแขนเสื้อที่เลิกขึ้นครึ่งแขน รอยสักเต็มแขนไปหมด
ลูกน้องที่เปิดประตูก่อนหน้าก้มหัวลงคล้ายเคารพชายหนุ่มคนนั้น เขาเดินเข้ามาหาเด็กสาวที่กำลังนั่งมองเขาอยู่อย่างหวาดระแวง
ปรินทร์เอาตัวเองมาขวางไว้พร้อมกับกางแขนแกร่งออกเพื่อปกป้องเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างหลังเขา
"นี่มันคือการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ คุณไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับพยาน"
"หึ.."
"และที่นี่ไม่ใช่ที่สูบบุหรี่ คุณทิศเหนือ"
ปรินทร์ดึงบุหรี่ออกจากปากเขาก่อนจะโยนมันลงพื้นแล้วเหยียบเพื่อดับมัน ลูกน้องที่เปิดประตูเข้ามาทำท่าจะเข้ามาขวางการกระทำของปรินทร์ แต่ทิศเหนือยกมือห้ามไว้ก่อน
"สืบสวน?...ตำรวจจะไปมีน้ำยาช่วยอะไรได้?"
"มันเป็นเรื่องของกฎหมาย"
"กฎหมาย? อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย...ไม่นานไอ้ที่ว่ากฎหมายก็เงียบไป"
"มาเฟียอย่างคุณไม่เชื่อใจตำรวจอยู่แล้ว...แถมยังไม่ถูกกับกฎหมายเท่าไหร่นี่"
"นายพูดไม่ผิด... เรื่องนี้พวกฉันจะเป็นคนจัดการเอง คนของฉัน...ตำรวจไม่ต้องจุ้น"
"เรายังคงให้พยานไปไม่ได้"
"ฉันไม่ฆ่าเด็กนี่หรอก..."
ทิศเหนือเดินเข้าไปใกล้เด็กสาวแม้ปรินทร์จะยืนขวางอยู่แต่เขาก็ไม่ได้หวาดหวั่น ทิศเหนือยื่นมือออกไปหาเด็กสาวที่นั่งเงียบอยู่ สายตาคมหลุบมองเธออย่างไม่วางตาและแน่วแน่
"มากับฉันสิ"
"ฉันจะเชื่อใจคุณได้หรอ?!"
"เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ หรืออยากจะนอนโอดครวญอยู่ที่นี่ก็เชิญ"
เด็กสาวช่างใจเล็กน้อยแต่ยังไม่ตอบรับ เพราะเธอไม่รู้จักเขา และไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับพ่อแม่เธอยังไงและไว้ใจได้แค่ไหน เด็กสาวมองหน้าชายหนุ่มที่ยื่นมือหาเธอด้วยสีหน้าไม่เชื่อใจ
"พ่อแม่เธอเป็นผู้มีพระคุณของฉัน...และทำงานให้กับตระกูลฉัน"
"........."
"อยากแก้แค้นไม่ใช่หรอ?...หรือจะรอการสืบสวนของตำรวจ?"
มือเล็กๆ ของเธอเอื้อมไปรับความหวังดีที่เขาหยิบยื่นให้ เธอเลือกทางแก้แค้น แม้ปรินทร์จะหันมาส่ายหน้าเป็นเชิงไม่เห็นด้วย แต่เขาก็บังคับให้เธออยู่ที่นี่ไม่ได้
เมื่อลูกน้องคนสนิทของทิศเหนือยื่นพินัยกรรมสิทธิ์การดูแลให้เขา ทำงานกับมาเฟียจึงไม่แปลกที่จะทำพินัยกรรมแบบนี้ขึ้นเพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าต้องมีสักวันที่ถูกฆ่าตาย แถมตำรวจยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ
ปรินทร์ทำได้แค่หลีกทางให้พวกเขาเดินออกไป แต่สารวัตรที่มุ่งมั่นอย่างเขาไม่คิดจะยอมแพ้ จึงคิดที่จะไปรับเด็กสาวกลับมาเพราะคือพยานเพียงคนเดียว...เขาต้องการรู้ว่าเธอเห็นอะไรมากน้อยแค่ไหน...
.
.
..4 ปีผ่านไปหลังจากที่กะทิคลอดลูกชายตัวน้อย ทิศเหนือก็ยังคงดูแลไม่ห่างแต่ถึงอย่างนั้นเธอและลูกก็ออกจากบ้านไร่เมื่อครบสามเดือนเหมือนที่ตกลงไว้ ทิศเหนือเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เขายังคงคอยเทียวไปหาเธอและลูกที่บ้านไม่ได้ห่าง แถมยังไม่ยอมนอนบ้านของตนเองอีกด้วย ในทุกๆ วันเขาจะมีข้ออ้างเพื่อได้นอนที่บ้านของภรรยาสาว แม้จะต้องนอนที่โซฟาก็ตามก็ยังดีกว่าช่วงปีแรกๆ ที่ต้องนอนในรถ ปีหลังๆ มานี้กะทิก็ดูจะใจอ่อนลงอยู่บ้าง ส่วนการันต์กับอัญญาก็ได้แต่งงานกันเรียบร้อยในปีที่สามชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่หน้าโรงเรียนเด็กเล็กแห่งหนึ่งเหมือนทุกครั้ง ด้วยใบหน้าที่หล่อร้ายของเขาทำเอาครูสาวถึงกับมองค้าง ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรชายคนนี้ได้เลย แม้จะเป็นสูญรวมสายตาแต่ทิศเหนือกลับไม่ได้สนใจใดๆ ยังคงก้มมองนาฬิกาเพื่อรอเวลาที่ลูกชายตัวน้อยของเขาเลิกเรียน“ปะป๊าฮับ!”เสียงเรียกของเด็กชายดังขึ้น ทิศเหนือรีบหันไปตามเสียงเรียกนั้น ก่อนที่ลูกชายตัวน้อยจะวิ่งกางแขนไปหาผู้เป็นพ่ออย่างดีใจเช่นทุกวัน ครูสาวยืนม
..“เริ่มเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเด็กจะไม่มีน้ำนมดื่ม เพราะเด็กยังทานอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำนมจากอกคุณแม่”“เอ่อ....”พยาบาลสาวไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปลากมือของทิศเหนือไปยังหญิงสาวที่ยังนั่งอ้าปากค้างอยู่ กะทิเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ส่วนพยาบาลก็สอนวิธีนวดให้ทิศเหนืออย่างตั้งใจ ทิศเหนือเองก็ไม่ต่างจากกะทิเท่าไหร่ อะไรที่ไม่เคยทำก็ทำมันแบบเขินๆ ที่กะทิไม่แย้งเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องปัญหาที่มีของตน จึงทำได้แค่เงียบ“อย่างนั้นแหละค่ะ...ต้องนวดแบบนี้บ่อยๆ นะคะ”“...ครับ”“เพราะว่าถ้าคุณพ่อช่วยนวดจะทำให้น้ำนมไหลออกมาได้เร็ว”“เอ่อ...ครับ”“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พยาบาลขอตัวก่อนนะคะ”พยาบาลยิ้มก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้คนทั้งคู่อยู่ด้วยกันเงียบๆ ในห้อง กะทิเองก็ไม่ได้พูดอะไรเอนตัวนอนและหลับตานิ่ง เพื่อรอเวลาที่คุณหมอจะส่งตัวลูกชายของตน ทิศเหนือมองหน้าไร้อารมณ์ของกะทิก็หย่อนตัวนั่งโซฟาข้างๆ เตียงพร้อมกับถอนหายใจ อาจจะเป็นเพราะความเพลียจึงทำให้กะทิผล็อยหลับไป ทิศเหนือมองกะทิอยู่เงียบๆ อย่างนั้
..เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ทิศเหนือไม่เคยออกไปทำงานนอกบ้านอีกเลย แถมยังใช้เวลาเกือบสองเดือนที่ทำงานอยู่ที่บ้านไร่ไม่หนีหายไปไหนแม้แต่นาทีเดียว กะทิเองจะยังไม่ค่อยพูดคุยกับเขาเหมือนเดิม แถมยังพยายามทำตัวห่างจากเขาอีกตามเคย แม้กระทั่งถึงวันคลอดเธอก็ไม่เคยถามหาเขา ยังคงถามหาแต่การันต์ลูกน้องของเขาแทนจนตอนนี้มาอยู่หน้าห้องคลอดทิศเหนือก็แทบจะนั่งไม่อยู่ ลุกเดินไปเดินมาอย่างตื่นเต้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววหมอคนไหนจะเดินออกมาจากห้องคลอดเลย การันต์นั่งมองผู้เป็นนายไปมา แม้ตัวเขาเองจะตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าหลานแต่ก็ไม่เท่าทิศเหนือเลย“นั่งก่อนดีไหมครับนาย”“เป็นมึงนั่งใจเย็นได้หรอวะ กูตื่นเต้นจนอยากจะไปทำคลอดเองแล้วเนี่ย”“อย่างน้อยนายเหนือก็น่าจะใจเย็นลงหน่อยนะครับ”“แม่ง...ช้าฉิบหาย หมอมัวทำอะไรกันอยู่วะ”ทิศเหนือเดินไปเดินมาพร้อมกับสบถไป คิ้วเข้มขมวดยุ่งเมื่อรู้สึกว่ามันนานเกินไปสำหรับเขา การันต์ยิ้มกริ่มเพราะความใจร้อนอยากเห็นหน้าลูกชายของผู้เป็นนาย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเขาไม่เคยคิดจะมีล
..หลังจากขับรถมานานกว่าสองชั่วโมง ก็ถึงบ้านไร่เดชาเสียที คนในบ้านต่างออกมาต้อนรับพวกเขาเพราะยังไม่ค่ำจึงมีคนงานในบ้านเดินเข้ามาช่วยหอบหิ้วข้าวของของเจ้านายเข้าบ้านไป แม้กะทิจะอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะสนิทสนมด้วย เพราะถือว่าเธอเป็นคุณนายเดชาเดชจึงมีหลายครั้งที่กะทิมักจะออกไปเดินเล่นคนเดียว ถึงจะมีผู้ติดตามไปแต่กลับไม่มีใครกล้าพูดคุยกับเธอทิศเหนือเองก็ไม่ได้ถามไถ่เธอเรื่องนี้ และกะทิก็ไม่ยอมบอกเขากลัวว่าจะไปเป็นเรื่องรบกวนเวลาเขาทำงานเสียเปล่าๆ แต่การไม่ที่เธอไม่อยากงอแงใส่เขาหรือเอาแต่ใจกับเขา กลายเป็นการเปิดทางให้เขามีคนอื่นเสียอย่างนั้น ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่ามีคนอื่นแต่ช่วงเวลานั้นทิศเหนือก็ได้แปรใจปันให้คนอื่นไปแล้วกะทิเดินเข้าบ้านที่คุ้นเคยอย่างเงียบๆ ไม่มีคำพูดหรือสนทนาใดๆ กับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอเดินเข้าห้องนอนของตัวเองโดยไม่หันหลังกลับไปมองมาเฟียหนุ่มที่กำลังเดินตามเธอต้อยๆ เหมือนสุนัขเชื่องๆ ที่เลี้ยงไว้ กะทิหันไปมองชายหนุ่มที่เดินตามเธอเข้าในห้องด้วยสายตาเรียบนิ่งอย่างที่ชอบทำ ใบหน้าหล่อทำทีท่าสงสัย
..“เลือกได้ดีค่ะ”กะทิพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจ แม้ภายในใจจะไม่ได้เป็นอย่างสีหน้าที่แสดงออกไป แววตาของมาเฟียหนุ่มผู้โหดร้ายกลับแสดงออกมาอย่างชัดเจน เขามองกะทิด้วยความรู้สึกเจ็บปวด มันเจ็บปวดมากกว่าการโดนแย่งแฟนคนแรกเสียอีก แม้แต่ลูกเขาก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นการเติบโตของลูกชายตัวเอง“แต่...เธอต้องอยู่กับพี่จนกว่าจะคลอดได้สามเดือน เพราะร่างกายเธอยังคงไม่หายดี”“ไม่จำเป็น”“พี่ขอแค่สามเดือน ให้เวลาพี่หาบ้านที่จะซื้อให้และรถ”“คนอย่างคุณมันไม่ใช่เรื่องยากหรอกแค่เรื่องพวกนั้น”“ก็จริง...แต่พี่ขอ..ขอร้อง...ให้พี่คุกเข่าตรงนี้ก็ยอม”“ทำสิ”กะทิพูดออกมาอย่างไม่แยแส การันต์เองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อทิศเหนือยอมคุกเข่าทันทีที่กะทิพูดจบ เพราะคนอย่างทิศเหนือไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร มีแต่คนอื่นที่คุกเข่าต่อหน้าเขาเพราะความเกรงกลัว ทิศเหนือยอมจำนนทุกอย่างจริงๆ เพื่อให้ได้อยู่กับลูกและเมียเพียงแค่สามเดือน“กะทิ นายเหนือ”“ได้ ฉันจะยอมอยู่กับคุณสามเดือน และค
..“อะไรนะครับ?”“กูให้มึงไปสืบหาเรื่องของอัญญา...แต่มึงกลับมาสภาพนี้ มึงสืบแบบไหน?”“ก็....”“อย่าบอกนะว่าแบบเดิมที่เคยทำ”“.......”การันต์ไม่ได้ตอบคำถามทีเล่นทีจริงของผู้เป็นนาย เพียงเท่านั้นทิศเหนือก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นอย่างที่เขาคิดแน่นอน เพราะเขาและการันต์อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทำไมจะไม่รู้วิธีการของลูกน้องคนสนิท ทิศเหนือยกยิ้มก่อนจะพยักหน้าเบาๆ“ขอโทษครับนาย”“กูยังไม่ได้ว่าอะไรมึงเลย”“ผมนึกว่านายจะโกรธที่...”“ทำไมกูต้องโกรธ กูดีใจด้วยซ้ำ กะทิจะได้ไม่คิดมาก”“นายจะบอกเรื่องนี้กับกะทิหรอครับ?”“มีเหตุผลอะไรที่กูต้องบอก...เดี๋ยวเธอก็เห็นท่าทีของพวกมึงเอง”“ครับ? ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอ”“กูไม่ได้หมายถึงมึงหรอก กูหมายถึงอัญญาต่างหาก”ทิศเหนือพูดด้วยความมั่นใจ เพราะดูจากผู้หญิงแล้วไม่ว่าจะรักหรือไม่รักถ้าได้มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอที่ทำให้จำไม่ลืมก็ไม่แปลกที่ท่าทีที่มีต่อกันมันจะเปลี่ยนไปเองตามธรรมชาติ และยิ่งเป็นคนที่
..“ช้ากว่านี้ ฉันจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น”“ฉันทำเพราะแม่ของฉันต้องการให้ฉันเป็นนายหญิงของตระกูลเดชาเดช...ฮึกๆ ...ฉันจำเป็นต้องทำ”“มันมีความจำเป็นจนต้องแย่งขนาดนั้นเลยหรอ? ถ้านายเหนือไม่มีครอบครัวฉันจะไม่ว่าเลย”“จะให้ทำยังไงได้ล่ะ! แม่ของฉันเป็นหนี้นอกระบบ...ถึงจะเป็นเมียน้อยแต่คงได้ค่าตอบแทนไม่น้อย”อัญญาพูดทั้งน้ำตาถึงแม้เธอจะดูสวยเก่งโปรไฟล์ดี แต่ความจริงแล้วชีวิตของเธอก็ลำบากมาไม่น้อย ดีแค่ไหนแล้วพวกเจ้าหนี้ยอมปล่อยเธอมาและไม่เอาเธอไปขัดดอก อัญญาคิดเพียงว่าถวายตัวให้ทิศเหนือดีกว่าไปเสียตัวให้เสี่ยเจ้าหนี้พวกนั้น แถมอาจจะยังได้รับการคุ้มครองจากมาเฟียหนุ่มในฐานะผู้หญิงของเขาอีกก็ได้“โง่”“ฮึกๆ ..ฮือ”คำพูดของการันต์สั้นๆ ทำให้น้ำตาของเธอพรั่งพรูออกก่อนที่เธอจะเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างนั้น มันคือความคิดโง่ๆ อย่างที่ชายหนุ่มพูดจริงๆ นั่นแหละ เพราะเธอคิดว่าแค่เสียตัวคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้รับรู้แล้วว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน ถ้ายิ่งทำอย่างนั้นเพื่อเงินและอยู่ในฐานะคนบนเตียงลับๆ
..การันต์ตรงดิ่งเข้ามายังบริษัทหลังจากที่ทิศเหนือพากะทิเข้าโรงพยาบาลและนอนแอดมิทเพื่อรอดูอาการ แม้ใบหน้าของการันต์จะนิ่งเฉยแต่ภายในใจกลับเหมือนไฟสุมอก เมื่อลิฟต์เลื่อนขึ้นมาถึงยังชั้นบนสุด เขาก็รีบย่างสามขุมเข้าไปหาเลขาสาวหน้าห้องของผู้เป็นนายที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมจะกลับบ้าน มือหนาคว้าข้อมือเล็กของเลขาสาวสวยคมนั้นและกำไว้แน่น“คุณการันต์!! ฉันเจ็บนะ!”“คนอย่างเธอมีความรู้สึกด้วยหรอ?”“คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย!”“เธอสิเป็นบ้าอะไร? รู้ไหมว่าทำครอบครัวของคนอื่นแตกแยกร้ายแรงขนาดไหน”“แล้วไง? ก็ฉันรักของฉัน มันผิดตรงไหนที่จะแสดงความรู้สึกออกมา?”“ผิดตรงที่เธอแสดงกับคนมีเจ้าของแล้วทั้งที่รู้! ทำไม? มันคันมากหรอ?”“คุณการันต์!! พูดอะไรให้เกียรติฉันด้วย”“เธอยังเหลือเกียรติอยู่หรออัญญา มันไม่มีตั้งแต่ที่คิดจะเป็นเมียน้อยของนายเหนือแล้ว!”“แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาโวยวายใส่ฉัน?”การันต์จ้องมองหน้าสวยเขม็งอย่างโกรธเคือง แต่อัญญากลับไม่ได้เกรงกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะเริ่มเข้าใจว่าท
..การันต์สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปมองหน้ากะทิอย่างจริงจัง แต่กะทิเพียงแค่ปรายตามองเขาเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะหันหน้าออกไปรับลมทะเล แต่ในใจยังคงรอรับฟังเหตุการณ์จริงๆ ทั้งหมด ที่มันทำให้เรื่องยุ่งเหยิงขนาดนี้ เพราะถึงความจริงจะเป็นยังไง เธอก็มีความคิดและตัดสินใจเรื่องทั้งหมดไว้อยู่แล้ว“นายเหนือ...พอเลิกกับดุจดาวแล้วเขาก็บินไปเมืองนอก และกลับมาตอนที่รู้ข่าวว่าพ่อแม่เริ่มมีอาการป่วยแปลกๆ และทรุดหนัก ...ทั้งที่ตอนแรกนายเหนือไม่คิดจะรับช่วงต่อของตระกูล...”“แล้วตอนแรกเขาคิดจะทำอะไร?”“นายเหนือมีความฝันที่จะเป็นนักธุรกิจร้านอาหารธรรมดาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาชื่อเสียงของครอบครัว เขาต้องการที่จะสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง...”“........”“แต่...พอเกิดเรื่องขึ้นเขาก็กลับมาสืบเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองหลังจากที่รู้ว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในตระกูล รวมทั้งสืบเรื่องของครอบครัวเธอ นั่นคือครั้งแรกที่นายเหนือได้พบเธอ”“แต่ฉันไม่เคยพบเขา....”“ก็ไม่แปลก เพราะนายเหนือแอบสืบและตามเธอโดยไม่ให้เธอหรือครอบครัวรู้ตัว...
댓글