“งั้นกูก็มาเสียเที่ยวดิ” เสียงถอนหายใจของไอ้บอลดังขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้น่าเห็นใจสักนิดเดียวเพราะอาจมีประโยคต่อที่เหมือนจะเจาะจงกัดผมโดยเฉพาะ “มึงโคตรเป็นผัวดีเด่น นี่ถ้าเมียไม่ติดสอบก็คงไม่ปฏิเสธแน่”
“ขอบใจที่ชมกูไอ้เลวบอล”
ส่วนเมีย... เธอก็คือตูน ตอนนี้เรียนปีสุดท้าย อายุอ่อนกว่าผมสองปี จริงๆ แล้วเธอน่าจะเรียนจบตั้งนานแล้วแต่เป็นเพราะท้องต้องตาก็เลยดรอปไว้ปีหนึ่ง
ท้องตอนที่บรรลุนิติภาวะแล้วนะข้อนี้ผมบอกไว้ก่อน
เผื่อเข้าใจผิดกัน
“แล้ววันอื่น?”
“มันคืออนาคต”
เหี้ย...
รูปปากไอ้บอลพูดขึ้นแบบนี้แต่ไม่ออกเสียงทว่ามันไม่สะทกสะท้านผิวหนังหนาๆ ของไอ้ตามคนนี้หรอกชินชาไปแล้วด้วยซ้ำ คำพวกนี้พูดแล้วพูดอีกกับพวกมันวันละหลายๆ รอบไป
“เออ ตอบกวนกูเข้าไปไอ้ตาม”
ผมฉีกยิ้มกวนตีนส่งกลับไปให้ไอ้บอลประกอบกับท่าทางยียวนกวนประสาทเต็มเหนี่ยว ทีมันพูดกวนคนอื่นยังทำได้แล้วทำไมผมจะทำไม่ได้
“มึงอยากรู้มากเลยเหรอวะ?”
“ก็... เออๆ บอกก็บอกว่ะ” นั้นไงมันไม่ใช่เที่ยวอย่างเดียวเท่านั้นมีเรื่องอื่นมาพัวพันจนได้ ไอ้บอลมันคิดอะไรอยู่ไม่เจียนสังขาร “มึงจำน้องมิ้นท์ได้มั้ย?”
“ได้” ธรรมดาใครมันจะจำไม่ได้พึ่งเจอไปเมื่อวานกับมันเอง ลืมก็สมองเสื่อมแล้วระยะเวลาห่างไม่ถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ “ไงต่อ”
“คืนนี้น้องเขาชวนกูเที่ยวเว้ย ผับที่ไปบ่อยๆ”
“มึงก็ไปดิ บอกกูเพื่อ?”
“ก็น้องเขาจะไม่ไปไงถ้ามึงไม่ไปด้วย”
“เพื่อนเขาชอบกูว่างั้น?”
ที่แท้ก็ให้ไอ้บอลเป็นสะพานเชื่อมต่อมายังผม เพื่อนคนนี้มันจริงๆ เลยโว้ย ไม่ใช่มันไม่รู้ทันนะแต่มันแกล้งเออออทำทีโง่ไปอย่างงั้นแหละ
“มึงรู้...”
“เพื่อนมึงไม่ได้โง่ มองกูอย่างกับอยากเขมือบขนาดนั้นมึงก็เห็น”
สิ้นเสียงไอ้บอลก็หัวเราะจนทำให้ผมแทบอยากลุกขึ้นเตะมันรัวๆ
“น้องเขาชื่อบุ๋ม”
สิ้นเสียงร่างเล็กนุ่มนิ่มที่ผมโอบกอดเอาไว้เงยใบหน้าขึ้นมาสบสายตาของผมทำท่างงงวยจากนั้นนัยน์ตาสีนิลสวยก็เปลี่ยนเป็นเชิงอยากรู้อยากถาม
“พ่อตามขา... ใครบุ๋ม?”
เอาแล้วไงวะ
นี่แหละที่เขาถึงบอกว่าเด็กชอบเรียนรู้ชอบจดจำในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด
“เอ่อ... เพื่อนอาบอลของลูกไง” ผมตอบลูกในทันทีที่คิดได้โดยใช้วิธีการบวยไปให้ไอ้บอลแทน เอาตัวรอดไว้ก่อนส่วนเพื่อนค่อยช่วยทีหลัง “ใช่ไหมบอล”
“ใช่ค่ะต้องตาเพื่อนอาบอลเอง”
ไอ้บอลรับไปแล้วต้องตาก็ยังทำท่ารุ่นคิดแป๊บหนึ่งซึ่งขนาดผมก็ไม่เข้าใจว่าลูกตัวเองทำไมต้องทำขนาดนั้นทั้งที่เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ สีหน้าเหมือนโตเต็มที่แสดงออกเรื่อยๆ ทว่าแค่พักเดียวริมฝีปากจิ้มลิ้มก็เอ่ยขึ้นทำเอาเสียวสันหลังวาบ
“งั้นตาต้องบอกแม่ตูนมั้ยคะพ่อตามขา”
ซวยแล้วไง...
เป็นสิ่งที่ผมพูดในใจพร้อมกับฝืนยิ้มแห้งๆ ให้กับต้องตาลูกสาวตัวน้อยที่ยังเงยหน้ามองด้วยสายตาแป๋วใสซื่อตามสไตล์เด็ก สิ่งที่เด็กคิดกับผู้ใหญ่คิดมันไม่เหมือนเลยด้วยซ้ำโลกของเด็กก็เปรียบเสมือนผ้าขาวสะอาดไม่มีการแต่งแต้มสีลงไปให้เลอะเทอะส่วนผู้ใหญ่อาจเปื้อนจนแทบไม่มีที่ว่างด้วยซ้ำไป ประโยคนี้นึกไปถึงคนสอนถึงแม้ไม่อยู่ในสถานการณ์ก็ยังมีส่วนเสริมสร้างให้นึกถึง
ร้ายทั้งแม่อีกทั้งยังส่งเสริมลูกอีก
เธอมันน่าจับตีก้นจริงๆ ตูน...
“ไม่เกี่ยวกับพ่อตามขาของต้องตาเลยค่ะ ไม่บอกเนาะอาบอลขอ”
ไอ้บอลพูดขึ้นเป็นผมที่เงียบนิ่งไม่ได้ตอบอะไรกับลูกปล่อยให้ไอ้คนปากหมามันแก้ตัวไปก่อน เรื่องความฉลาดในการเอาตัวรอดต้องยกให้ไอ้บอลเป็นอันดับหนึ่งมันทำได้ดีเลยสำหรับเรื่องนี้และที่มันเอ่ยเอาตัวรอดได้รวดเร็วขนาดนี้ก็เพราะก่อนหน้าผมบวยเรื่องผู้หญิงชื่อบุ๋มให้มัน
ถ้าเรื่องนี้ถึงหูตูนเมื่อไหร่ไอ้บอลก็ไม่รอด
ผมก็ไม่รอดเหมือนกัน
ผลสรุปออกมาตายห่าทั้งคู่เดี๋ยวเมียก็หาว่าเป็นเพื่อนกันก็ต้องเข้าข้างกันอีก เพื่อนกันออกรับแทนกัน คิดแล้วโคตรปวดหัวกับปัญหาใหญ่ที่กำลังตามมา
“แต่แม่ตูนบอกว่าถ้าเกี่ยวกับอาบอลก็ต้องบอกค่ะ”
“ใช่ไม่จำเป็นต้องสนใจคู่วิจัยแต่บางครั้งคนอย่างนายควรสนใจแยกแยะผิดชอบชั่วดีบ้าง ปีนต้นงิ้วไม่สนุกหรอชอบแย่งของชาวบ้านหรือไง” การเปิดเพลงดังเต็มหูก็ไม่ช่วยให้ความใจร้อนของจ๋าดีขึ้นเมื่อเพื่อนฉันคนนี้ยังได้ยินอีกทั้งตอนนี้ถอดหูฟังออกพร้อมหัวร้อนเต็มที่ “ส่วนแกยัยตูนบอกชาวเสือกรับรู้บ้างจะได้หายเสือกสักที!”Rr...แต่แล้วในขณะที่ฉันอยู่คั่นกลางสนามรบระหว่าเพื่อนรักกับรุ่นน้องโทรศัพท์ก็ดันดังขึ้นมาพอดีสองคนนี้ถึงหยุดทะเลาะกัน“แป๊บนะ”ว่าแล้วฉันก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปอีกช่วงหนึ่งซึ่งระยะห่างพอสมควรจากนั้นก็ปัดหน้าจอรับสาย“ค่ะพี่ตาม”[ตูนนี่มันอะไร กิจกรรมบ้าเหี้ยอะไร?]เอ้า... จู่ๆ ก็ถูกเป็นที่รองรับอารมณ์เฉยอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร พี่ตามเห็นฉันรับสายก็พูดใส่ๆ รัวแบบนี้ได้ด้วยหรือไง“นี่มันเรื่องอะไรค่ะ กรุณาเกริ่นหัวข้อด้วย”[ก็อาทิตย์ก่อนไงที่เธอกับลูกไปงานกิจกิจกรรมโรงเรียน]“แล้ว?”ก็ไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้ปกครองคนอื่นๆ กับต้องตาด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเทอมหนึ่งก็เหมือนมีการจัดครั้งหนึ่งด้วย กิจกรรมส่วนมากก็เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ในด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อเ
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงพี่ตามคงแอบรักแกมาปีหนึ่งแล้วล่ะเพื่อน เขาถึงได้นับอีกปีหนึ่งรวมด้วยอีกทั้งยังให้เกียร์แล้วด้วยโชคดีอะไรขนาดนี้จ๊ะแม่ตูนขา” จ๋าจ้องมองที่ข้อมือของฉัน เครื่องประดับชิ้นแรกที่ฉันยังไม่ได้ถอดตั้งแต่วันนั้น “แต่ทำไมพึ่งให้เกียร์ อันนี้ไม่เข้าใจ”“พึ่งนึกออกมั้งว่าควรให้ฉัน”ใช่ที่พูดออกไปฉันประชดผสมกับความหงุดหงิด“อยากได้เกียร์พี่เขาตั้งนานแล้วดิถึงพูดพร้อมกับแสดงอาการแบบนี้ออกมาให้เพื่อนอย่างฉันเห็นได้ ตูนฉันจะบอกอะไรให้นะบางครั้งคนเราก็มีเหตุผลส่วนตัวกันทุกคนอยู่แล้วเปล่า บางคนก็พูดออกมาให้คนอื่นรับรู้แต่บางคนก็เลือกแสดงออกทางการกระทำดีกว่าเหมือนผัวแก พี่ตามเป็นผู้ชายพูดไม่เก่งเท่าไหร่แต่สิ่งที่ฉันเห็นชัดในแววตาเขาคืนนั้นหรือแม้ตอนที่เจอทุกครั้งเขาชัดเจนกับแกและต้องตามาก อยู่กันมาตั้งหลายปีแกไม่เคยเห็นเหรอบอกเลยว่าคนรอบข้างเขาเห็นหมดแล้ว”“รู้”ไม่งั้นฉันจะรักผู้ชายคนนั้นทำไมส่วนบางอย่างก็เลือกสงสัยแต่ไม่ถามก็เท่านั้น“สงสัยก็ถามมีอะไรก็ถามเปิดใจพูดไปเลยจะได้มีความสุข ชีวิตมันสั้นนะหาความสุขใส่ตัวไม่ดีกว่าคว้าความทุกข์เข้ามาไม่ใช่ แกมีครบทุกอย่างแล้วนะตูนอย่าปล่อยหลุ
“จะมีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าวิจัยในตอนนี้บอกเลยไม่มีอีกแล้ว” มันก็จริงเพราะอาทิตย์ที่ผ่านมารวมไปถึงอาทิตย์นี้ทั้งฉันและจ๋าเข้าออกมอเป็นว่าเล่นทุกวัน แบกคอมมาเพื่อแก้งานใต้ตึกเพื่อความรวดเร็ว “หมดกันแพลนเที่ยวที่วางไว้ก่อนจบ”“อย่าบ่นรีบทำจะได้รีบจบ”“เห้อ” ไม่วายจ๋ากรอกตาบนพร้อมกับเสียงถอนหายใจราวกับชีวิตนี้วอดวายไปหมดโดยมีวิจัยจบเป็นตัวการสำคัญมาก “กูถามจริงเถอะตูน เราสองคนจะจบมั้ยวะ”“จะไม่จบก็ตรงวิจัยนี้แหละ”เอาความจริงเลยนะฉันก็โคตรเบื่อหน่ายมากมายเพียงแค่ไม่แสดงออกมากเหมือนจ๋าเพื่อนตัวเอง เราสองคนทำงานอยู่ใต้ตึกคณะตัวเองซึ่งมีคนอื่นๆ ด้วยประปรายเพราะปีอื่นสอบเสร็จปิดภาคเรียนไปหมดเหลือแค่ปีสุดท้ายอย่างพวกฉันเท่านั้น ถ้าส่งวิจัยตัวนี้เสร็จก็เป็นอันว่าทั้งฉันและจ๋าก็จบอย่างเป็นทางการแต่มันติดตรงที่ได้แก้แล้วแก้อีกจนไม่มีอะไรจะแก้นี่สิ!“นั่นดิ คนเก่งๆ ก็ผ่านกันหมดแล้ว”“พูดขนาดนี้ด่าว่าเราสองคนโง่เลยมั้ยอีจ๋า!”ฉันขึ้นอีแล้วนะส่วนจ๋าจากที่ทำหน้าโง่บัดนี้เปลี่ยนมาเป็นใบหน้าแดงกร่ำเพราะถูกฉันตอกหน้ากลับ วิจัยจบอาจารย์ให้ทำเป็นคู่ไงผมมันต้องตกแบบนี้อยู่แล้ว ทั้งจ๋าและฉันไม่มีใครคบหรอก
อ๋อเรื่องนี้เองลืมเสียสนิทเลยใช่อะไรที่เกี่ยวกับตูนไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีไม่ดี โดนรักแกโดยใครผมไม่เคยไม่รับรู้แต่ทำเป็นเฉยไม่คิดใส่ใจนั่นมันก็แค่ฉากหนึ่งที่ผมแสดงออกไปแต่สิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งมันคือความไม่พอใจต่างหาก ทุกคนล้วนมีมุมนี้ต่อหน้ายิ้มแย้มใจดีเหมือนโง่ไม่มีพิษภัยแต่ลับหลังไม่ใช่ ผมเอาคืนทุกคนเก็บมันทุกเม็ดทุกดอกคนแรกว่าให้ตูนแรดร่าน ผมทำให้ลูกมันแรดร่านคูนสอง คนที่สองว่าให้ตูนให้ผู้ชายดีกว่าครอบครัว ผมทำให้ลูกมันหนีไปกับผัว คนที่สามว่าให้ตูนเป็นเสนียด ผมทำให้ลูกมันไม่มีใครคบ คนที่สี่ว่าให้ตูนเป็นผู้หญิงเลวท้องคามหาลัย ผมทำให้คนอื่นทำลูกมันท้องคามัธยม คนสุดท้ายว่าให้ตูนทำให้ครอบครัวอับอายเดินทีแทบเอาปี๊บมาคุมหัว ผมจึงทำให้ครอบครัวมันอับอายหนักหน่วงเดินทีคงเอาปิ๊บมาคุมอย่างที่ปากหมาๆ เคยพูดจริงทุกอย่างคือฝีมือของผมที่ทำทิ้งไว้ก่อนย้ายจากกระบี่ทำมันด้วยอำนาจของเงิน“...”“เงียบอย่างงี้แสดงว่าลืม”“ด่าเมียกูทำไมล่ะ สมอยู่ดีไม่ว่าดีขี้เสือกนัก” ใช่ผมเข้าข้างเมีย เข้าข้างตูนตั้งแต่ต้นแต่ไม่ช่วยเหลือต่อหน้าคอยหนุนหลังมากกว่า “ตูนเป็นคนแรกเลยนะที่กูทำให้แบบนี้”“กูเชื่อมึงเลยจริ
“กูไม่อยากมาที่นี่ไง ไม่อยากมาตั้งแต่แรก” อีกครั้งหนึ่งกระเป๋ากางเกงสั่นรัวด้วยเครื่องมือสื่อสาร ผมล้วงออกมาหน้าจอก็บอกว่าปลายสายคือใคร “แม่ง... ซวยแล้วไง”“ถ้าไม่กลัวเมียก็บอกไปตามตรงไอ้ตาม ไหนพิสูจน์ให้เพื่อนรักมึงคนนี้เห็นหน่อย” การโดนหลอกจากไอ้เฮียติมันเป็นแบบนี้เองผมพึ่งรู้ซึ่งถึงหลายคำด่าของไอ้บอลที่มันเคยด่าไอ้ห่าตรงหน้าผม คำสัญญาบ้าบอพวกนั้นก็แค่ข้ออ้างความเป็นจริงมันต้องการแก้แค้นที่ผมทำกับญาติมันต่างหาก การที่มันไม่ห้ามแต่ก็ใช่จะไม่เอาคืนแค่การเอาคืนมีวิธีต่างกันออกไปต่างหาก “เอาเลยเพื่อนบอกเมียเต็มที่กูรอฟังอยู่ถ้าแน่จริงบอกอยู่ซ่อง บอกจริงกูไม่ล้อมึงเลย”“...”ควาย ความคิดควายล้วนๆ ไม่มีวัวผสมสักนิด“แต่ถ้ามึงโกหกไอ้ตูนเกิดรู้ทีหลังแม่งความรู้สึกพังนะเว้ยคิดดีๆ และกูล้อมึงยันลูกบวชอ่ะเอาดิ”Rrrr...“ฮัล...”[พี่ตามอยู่ไหน ทำไมกลับช้าขนาดนี้เกือบชั่วโมงครึ่งแล้วนะไม่ถึงบ้านสักที แอบไปทำอะไรไม่ดีมาอีกแล้วใช่มั้ยหรือว่าแอบเที่ยวอีก!] ยังไม่ได้โหลเลย ช่องว่างเต็มไปด้วยประโยคคำถามของตูน“อืม...”[อืมอะไร ถามว่าอยู่ไหน?]“อยู่ซ่อง...”คำหลังเสียงผมเบาหวิวเช่นเดียวกับปรายสาย ที่
ดูแลดวงใจของแม่ให้ดีนะลูก แม่ขอให้รักตูนเท่าครึ่งที่แม่รักแค่นี้ก็พอใจแล้วกระทั่งวันเวลาผ่านไปปีกว่าตอนนี้ผมย้ายจากระบี่เข้ามาในเมืองใหญ่เพื่อเปิดธุรกิจของตัวเองรวมไปถึงดูแลธุรกิจของครอบครัวพ่วงท้ายด้วยธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่บางครั้งต้องบินไปกระบี่การมาบ้านในครั้งนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงผมแยกออกมาจากบ้านใหญ่แน่นอนว่าตูนก็มาด้วยส่วนความสัมพันธ์ของผมกับตูนก็มีดีบ้างแย่บ้างปะปนกันไป ผมพยายามทำให้เธอเป็นผู้หญิงเข้มแข็งกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตแล้วความฉลาดก็เริ่มขึ้นจากที่มีอยู่น้อยก็สะสมขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นมากตูนระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นครั้งแรกผ่านสายโทรศัพท์กับผมคืนนั้นผมจำจนตายเพราะเธอมีไพ่เหนือกว่าวันนั้นดึกแล้ว... ผมกำลังจะกลับบ้านก็พบไอ้เฮียติมันยืนพิงรถตัวเอง มันเอ่ยทวงสัญญาจากผมทั้งที่หายไปเกือบปีกว่าจนผมนึกว่ามันลืม“หวังว่ามึงยังไม่ลืมว่าสัญญาอะไรกับกูไว้ไอ้ตาม”“ต้องการอะไรว่ามา จะได้จบๆ นี่อะไรมาทวงเกือบจะสองปีแล้วใครไม่ลืมก็บ้าแล้ว” ผมทำหน้าที่ขับรถไม่มองหน้ามันแต่ก็ตอบรับทุกประโยค “รีบหน่อยดึกแล้วกูต้องไปหาลูกเมีย”“เป็นคนรักลูกรักเมียเข้ามาทันทีเลยว่ะ”“ลูกกูก็หลานมึง