@คอนโด
ฉันชะลอฝีเท้าลงทันทีที่เปิดประตูหน้าคอนโดเข้ามาแล้วสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายที่นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ล็อบบี้นั่นกำลังลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงมาหาฉันด้วยท่าทางดีใจแบบสุดๆ
“พี่ซัน มาที่นี่ได้ไงคะ” ฉันเอ่ยถามแบบงงๆ เมื่อพี่ซันมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขามาที่นี่ได้ยังไงกัน ฉันไม่ได้บอกเขาซะหน่อยว่าพักอยู่ที่ไหน
“คือ....”
“คุณพ่อซินะ เฮ้อออ...ทำอะไรตามใจตัวเองอีกตลอดเลย” ฉันพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพึมพำกับตัวเองแบบเซ็งๆ คุณพ่อนะคุณพ่อ ไม่คิดจะถามฉันเลยเหรอ ไม่ได้อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายซะหน่อย ถึงจะเป็นคนที่ฉันเคยสนิทด้วยก็เหอะแต่นั่นมันผ่านมากี่ปีแล้ว ก่อนที่พี่ซันจะหุบยิ้มทำหน้าเจื่อนลงไปทันทีที่ฉันแสดงท่าทีแบบนั้นออกมาก่อนจะพูดขึ้นเสียงแผ่วแบบแสดงความรู้สึกผิดออกมาอย่างชัดเจน
“พี่ขอโทษนะ ที่มาแบบไม่บอก โรสไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร พี่กลับก็ได้ครับ”
“เออ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โรสแค่ตกใจน่ะ พี่ซันมีธุระอะไรรึเปล่า” ฉันรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเฉยเลย ความจริงเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ฉ
“ตัวเด็ดกูมาถึงแหละ”เวลาผ่านไปสักพัก คนที่ชื่อวาโยก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับพูดบอกพลางยกยิ้มขึ้นมุมปากเหลือบตามองฉันแปลกๆ อีกแล้ว คุณหมอก็เหมือนกัน พวกเขาเป็นอะไรกันเนี่ย ต้องมีอะไรแน่ๆ ทำไมต้องเหลือบมองหน้าฉันตลอดเวลาเลย ส่วนพี่ซันก็ยกเหล้าขึ้นดกจนหมดก่อนจะวางแก้วที่มีแต่น้ำแข็งเปล่าลงบนโต๊ะลุกขึ้นยืนพยักหน้าให้เพื่อนตัวเอง ฉันเองพอเห็นพี่ซันลุกขึ้นก็ลุกตามทันทีเหมือนกันคนชื่อวาโยเดินนำออกจากห้องตามด้วยพี่ซัน ฉัน และคนที่เหลือ ลงมายังสนามด้านล่างที่มีรถจอดรออยู่ตรงจุดสตาร์ทแล้วคันหนึ่ง รถสปอร์ตสีดำเงาคันหรูที่น่าจะถูกตกแต่งมาเพื่อลงสนามโดยเฉพาะ และอีกคันที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาด้วยความเร็วและเบรกเสียงเอี๊ยดดดด...ดังยาวจนฝุ่นตลบเพื่อหยุดตรงจุดสตาร์ท เป็นรถสีขาวที่ดูสะอาดตา ไม่ได้ถูกตกแต่งอะไรมากนักแต่ฟังจากเสียงก็พอรู้ว่าเป็นรถที่ใช้ลงสนามโดยเฉพาะเหมือนกัน ถ้างั้นรถสีดำนั้นก็ของพี่ซัน เขาชอบแข่งรถแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันฉันยืนมองพวกเขากำลังตรวจรถก่อนจะแข่ง ไม่ได้ยินว่าเขาคุยอะไรกันหรอกตอนนี้เพราะเสียงท่อไอเสียที่ดังลั่นสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้
@คอนโดฉันชะลอฝีเท้าลงทันทีที่เปิดประตูหน้าคอนโดเข้ามาแล้วสายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายที่นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ล็อบบี้นั่นกำลังลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงมาหาฉันด้วยท่าทางดีใจแบบสุดๆ“พี่ซัน มาที่นี่ได้ไงคะ” ฉันเอ่ยถามแบบงงๆ เมื่อพี่ซันมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขามาที่นี่ได้ยังไงกัน ฉันไม่ได้บอกเขาซะหน่อยว่าพักอยู่ที่ไหน“คือ....”“คุณพ่อซินะ เฮ้อออ...ทำอะไรตามใจตัวเองอีกตลอดเลย” ฉันพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพึมพำกับตัวเองแบบเซ็งๆ คุณพ่อนะคุณพ่อ ไม่คิดจะถามฉันเลยเหรอ ไม่ได้อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายซะหน่อย ถึงจะเป็นคนที่ฉันเคยสนิทด้วยก็เหอะแต่นั่นมันผ่านมากี่ปีแล้ว ก่อนที่พี่ซันจะหุบยิ้มทำหน้าเจื่อนลงไปทันทีที่ฉันแสดงท่าทีแบบนั้นออกมาก่อนจะพูดขึ้นเสียงแผ่วแบบแสดงความรู้สึกผิดออกมาอย่างชัดเจน“พี่ขอโทษนะ ที่มาแบบไม่บอก โรสไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร พี่กลับก็ได้ครับ”“เออ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โรสแค่ตกใจน่ะ พี่ซันมีธุระอะไรรึเปล่า” ฉันรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเฉยเลย ความจริงเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ฉ
วันต่อมา….“ฮะๆๆๆ” ฉันสะดุ้งสุดตัวรีบตอบรับเป็นพัลวันกับเสียงตะโกนเรียกข้างหูของเพื่อนใหม่ที่เริ่มจะสนิทของฉัน ก่อนที่นนท์จะเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย“เป็นไรเนี่ย เราเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว”“ปะ...เปล่าๆ คิดไรไปเรื่อยน่ะ” ฉันตอบกลับไปแบบปัดๆ แล้วนนท์ก็หันกลับไปทางน้องอีกคนของชมรมที่กำลังพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับโรงเรียนบนดอย ฉันก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ เพราะมัวแต่คิดเรื่องเมื่อคืนก่อนและตอนนี้ก็ปวดหัวหนักมาก คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก อยู่ดีๆ คีย์การ์ดคอนโดที่หาไม่เจอก็มีคนเอาไปฝากไว้กับพี่รปภ. แต่ถ้าฉันทำหล่น ทำไมถึงเข้าห้องได้ล่ะ ความจริงมันก็ควรอยู่ในห้องไม่ใช่เหรอ หรือฉันไม่ได้ล็อกห้องตั้งแต่ก่อนออกไป พอกลับเข้ามาก็เลยเปิดได้โดยไม่ใช้คีย์การ์ดงั้นเหรอ แต่มันไม่น่าเป็นไปได้นะ ฉันเนี่ยนะลืมล็อกห้อง โอ๊ย...หัวจะระเบิด“โอเคงั้นเอาตามนี้แหละกัน มีใครจะเสริมอะไรอีกไหม” นนท์สรุปจบก่อนถามความคิดเห็นเพิ่มเติมจากคนในชมรม แต่ก็ไม่มีใครเสนออะไร ฉันจับใจความได้คร่าวๆ ว่าอาทิ
“แป๊บนะ” ฉันเลยเอ่ยบอกคนตรงหน้าพลางล้วงหยิบมือถือในกระเป๋าสะพายตัวเองออกมา ปรากฏชื่อผู้เป็นบิดาบนหน้าจอมือถือ นิ้วเรียวเล็กเลื่อนสไลด์รับสายทันที“คะ คุณพ่อ”ฉันเรียกสรรพนามปลายสายพลางมองหน้าธามไปด้วยเป็นเชิงบอกเขานัยๆ ว่า ใครเป็นคนโทรมาหาฉัน‘หนูทำไรอยู่’ “เปล่าค่ะ คุณพ่อมีอะไรเหรอคะ”‘พ่อมีธุระจะคุยด้วย มาหาที่บ้านหน่อยนะ ตอนนี้เลยนะลูก พ่อรออยู่’ “อ๋อ...ได้ค่ะ”ฉันตอบรับปลายสายก่อนจะกดวางแล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม ก่อนจะหันมาบอกคนตรงหน้าที่ยืนมองฉันแบบนิ่งๆ ตามสไตล์ของเขา“คุณพ่อให้โรสไปหาท่านที่บ้าน ตอนนี้เลยอะ”“อืม” เสียงคำรามตอบรับในลำคอดังขึ้นพร้อมกับร่างหนาเดินนำไปที่รถทันที ฉันได้แต่คอตกเดินตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปแบบหงอยๆ ทำไมต้องเวลานี้ด้วยนะ ฉันยังอยากคุยกับเขาอยู่เลย อยากหยุดเวลาไว้แบบนี้ด้วยซ้ำ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะยังเป็นแบบนี้อยู่ไหม….
“โรสเป็นแฟนกู”“แฟน!!!” ไอ้เฮียหมอทวนคำว่าแฟนออกมาเสียงดังลั่นอย่างตกใจ สีหน้าท่าทางบ่งบอกได้ชัดเจนว่ามันกำลังช็อกสุดๆ กูมีแฟนมันเป็นเรื่องอเมซิงขนาดนั้นเลยเหรอวะ ก่อนมันจะกะพริบตาถี่เหมือนเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วยิงคำถามใส่ผมรัวๆ“มีได้ไง ตอนไหน แล้วทำไมกูถึงไม่รู้ มึงดะ...”“พอ!!” ผมตะคอกใส่มันเสียงลั่นอย่างหัวเสีย ห่าเอ๊ย...จะอยากรู้อะไรมากมายขนาดนั้นว่ะ ถามเหี้ยอะไรนักหนา ก่อนจะเลิกคิ้วประชดประชันมันด้วยความหมั่นไส้“เป็นพ่องผมง่ะ”“อ้าว ไอ้ฉิบหาย กูรุ่นพี่มึงนะ” ไอ้เฮียหมอด่าผมกลับทันควันพลางง้างมือจะโบกหัวผม แต่มันโบกได้แต่ลมเท่านั้นแหละเพราะผมไหวตัวหลบมันทัน“อย่าลีลา”“แฟนกูก็บอกไม่ได้ นอกจากมึงจะเป็นผัว กูถึงจะบอกได้”“ไอ้หมอ!!” คำตอบของไอ้เฮียหมอทำให้ผมของขึ้นทันที ตวาดเรียกมันเสียงลั่นพร้อมกับกระชากคอชุดกราวดึงมันขึ้นยืนทันที ตอนนี้พวกพยาบาลข้างนอกคงสะดุ้งกันเป็นแถวๆ แต่ไม่มีคงใครกล้าเข้ามา“ใจเย็น
Tanin Talk@โรงพยาบาลพอมาถึงโรสก็ยื่นเอกสารซองนั่นให้ประชาสัมพันธ์ด้านหน้า ก่อนจะได้เข้าพบหมอโดยไม่ต้องรอคิว เอกสารในซองนั่นมันคืออะไรวะ ผมรู้แต่ว่ามันส่งมาจากเมกา“เดี๋ยวๆ ไม่ต้องเข้าไป รออยู่นี้แหละ แป๊บเดียว” โรสหันมาดันร่างผมที่กำลังเดินตามเธอมาจนจะถึงห้องหมออยู่แล้ว พอเธอทำแบบนั้น พยาบาลก็เข้ามาขวางผมให้ออกไปนั่งรอข้างนอกตามคำสั่งเธอทันที แต่พอผมเห็นว่าหมอที่อยู่ในห้องเป็นใคร รอยยิ้มมุมปากถูกยกขึ้นโดยอัตโนมัติและยอมออกไปรอข้างนอกแต่โดยดีผมเดินวนไปวนมาอยู่ด้านนอกตั้งนานสองนานไหนบอกแป๊บเดียวไงวะ แค่มาเอายาเฉยๆ จำเป็นต้องนานขนาดนี้ ยัยขี้แยของผมเป็นอะไรหรือเปล่าวะ เมื่อตอนเปิดประตูมาเจอผมก็ทีหนึ่งแหละ เธอเพ่งมองอยู่ตั้งพักใหญ่ถึงรู้ว่าเป็นผม แถมยังงงอีกตอนผมยื่นคีย์การ์ดคืนให้เธอ เหมือนเธอมองไม่ชัดอย่างงั้นแหละ แต่โรสไม่ได้สายตาสั้นนิ จะไม่เห็นได้ไงสักพักประตูก็ถูกเปิดออกผมก็รีบเดินเลี่ยงไปหลบอีกทาง ก่อนที่โรสจะเดินออกมาจากห้องและตรงไปยังเคาน์เตอร์ด้านหน้าเพื่อรอรับยาทันที ผมอาศัยจังห
อื้ออออฉันครางในลำคอพลางบิดร่างกายไปมาอยู่บนที่นอน กะพริบตาถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ยกมือขึ้นบีบขมับตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาความปวด ทำไมปวดหัวขนาดนี้นะ...ฉันดื่มไปมากแค่ไหนกันเนี่ย แต่ฉันก็ตื่นขึ้นเต็มตาทันทีเมื่อภาพที่เห็นมันพร่ามัวไปหมด ดีดตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตาตัวเองด้วยความตกใจ ไม่ได้นะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะฉันนั่งกะพริบตาอยู่บนที่นอนสักพักก่อนมันจะกลับมามองชัดเป็นปกติ ลมหายใจถูกพ่นออกมาอย่างโล่งอก วันนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาลนิ สิบโมง!! ตายแล้ว...ฉันรีบดีดตัวขึ้นจากที่นอนวิ่งเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำอย่างไว ฉันมีนัดกับหมอตอนเก้าโมงครึ่งแต่นี้มันสิบโมงกว่าแล้ว โอ๊ย...ไม่น่าดื่มเยอะเลยฉัน ว่าแต่เมื่อคืนฉันกลับมายังไงนะ เพลินมาส่งแหละมั่ง ช่างมันเหอะ.......โอ๊ะ...หัวฉันไปกระแทกอะไรมาเนี่ย ซี๊ดดด...เจ็บชะมัด ฉันซู๊ดปากนิ่วหน้าทันทีเมื่อยกมือขึ้นแตะรอยแดงตรงหน้าผากที่เห็นเด่นชัดผ่านกระจกเงาบานใหญ่ เหมือนมันจะปูดออกมาหน่อยๆ ด้วย ช่างมันก่อน ตอนนี้ฉันต้องรีบแล้วฉันคว้ากระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ด...คีย์การ์ดอยู่ไหน ฉันเอาไว้ไหนเนี่ย โอ๊ย...อยากจะบ้าตาย ฉันวิ่งรื
ผมโน้มตัวลงไปกดจูบบนหน้าผากมนด้วยความโหยหา คิดถึง...คิดถึงมากเหลือเกิน ก่อนจะผละออกและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ร่างกายเธอ แล้วลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างถือวิสาสะ รูปคู่ของเราที่ถูกวางไว้หลายจุดในห้องทำให้ผมหลุดยิ้มน้อยๆ ออกมา เธอยังรักผมเหมือนอย่างที่ปากพร่ำบอกจริงๆ แต่อะไรคือสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปล่ะใจผมหล่นวูบหุบยิ้มลงทันทีที่เหลือบไปเห็นรูปคุณน้ารัน ผู้เป็นมารดาของเจ้าของห้องวางอยู่บนหัวเตียง เธอคงจะเสียใจและเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องสูญเสียมารดาและญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ดูแลเธอมาตลอดไป ถ้าผมได้เป็นคนปลอบเธอในเวลาแบบนั้นก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งผู้เป็นบิดาที่เธอมาอยู่ด้วยในตอนนี้ผมไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำตั้งแต่วันที่ คุณน้ารันกับโรสย้ายเข้ามาอยู่บ้านใกล้ผมเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนผมอายุประมาณเจ็ดขวบรักครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในตอนนั้น ผมหันกลับไปมองร่างบอบบางบนเตียงอีกครั้ง แล้วนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่ชิงช้าสวนสาธารณะในหมู่บ้านเพราะคิดถึงพ่อ ผมรู้สึกอยากปกป้องเธอตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเปลี่ยนความคิดผมได้ เวลาต้องการปลดปล่อยก็แค่บอกไอ้ดินมันก็จ
“ธามมม~ โรสเจ็บ ม่ายช่ายตรงนั้น แต่มันเป็นตรงนี้ต่างหาก อึก”ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่พูดด้วยเสียงออดอ้อนราวกับเด็กน้อยก็ไม่ป่านพร้อมกับมือข้างขวาที่ทาบอยู่บนอกข้างซ้าย ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม นัยน์ตาสั่นระริกแดงก่ำที่ไม่รู้จากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือจากการที่เธอร้องไห้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือผมเงาเห็นตัวเองสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ใจผมที่มันแทบจะหยุดเต้นไปแล้วเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอทำให้มันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เอาจริงๆ คือผมโคตรคิดถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เลย อยากกอด อยากหอม แล้วดูชุดที่ใส่ตอนนี้ดิ บวกกับตาหวานเยิ้มคู่นั้นอีก มันน่าไหม นี่เธอไม่ได้ยั่วผมอยู่ใช่ไหมปึกกกก“โอ๊ยย!! เจ็บๆๆ”ยัยตัวเล็กร้องออกมาพลางเอามือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เมื่อหัวทุยเล็กโยกไปมาและมาจบที่หน้าผากผมอย่างแรงด้วยความเจ็บ ในขณะเดียวกับที่ผมไม่ทันตั้งตัวก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นอย่างจังโดยมียัยขี้เมาตัวแสบหล่นลงมานั่งเอนไปเอนมาอยู่บนตักผม หมดกันความคิดเมื่อครู่ เจ็บฉิบ...หัวแข็งจังวะ“ไหนดูดิ” ผมจับมือเล็กออกจากหน้าผากพร้อมกับมืออีกข้างเลื่อนโอบเอวบางไว้หลวมๆ แล้วถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ขนาดผมยังเจ็บเล