“คุณอเล็กเซย์...” ผมเค้นเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างยากเย็น มือเท้าเย็นเฉียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน...
ย้อนกลับไปเล็กน้อย หลังจากที่อเล็กเซย์เข็นผมออกมารับลมทะเล เขาเอาแต่ชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่มีทีท่าว่าจะถามเรื่องเกี่ยวกับลูเซียสเลยสักนิด ทั้งที่ตัวเองบอกตอนแรกว่าอยากจะถามเรื่องลูเซียสจากปากผมแท้ๆ แล้วรอบข้างก็เป็นใจซะเหลือเกิน ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา
จนกระทั่งอเล็กเซย์หยุดบทสนทนาลง ยังไม่ทันจะได้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น วีลแชร์ของผมถูกอเล็กเซย์หมุนเปลี่ยนทิศกะทันหันพร้อมเสียงดังปัง! ข้างหู รู้สึกกระแสลมไหลผ่าน มองตามไปเห็นพื้นไม้เป็นรู ชัดเจนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปกป้องพวกเขาเร็ว!” ไมค์ตะโกน การ์ดสามคนยืนล้อมผมกับอเล็กเซย์ไว้ ส่วนเจ้าตัวหยิบปืนที่ซ่อนไว้ในสูทยิงสวนกลับไป ทางนั้นดูจะไม่ยอมรามือง่ายๆ ทั้งที่ยิงนัดแรกพลาด ไมค์เข้าใจสถานการณ์ดี อเล็กเซย์เป็นคนระดับไหน โอกาสน้อยมากที่จะเข้าถึงและมีช่องว่างขนาดนี้ ไม่แปลกที่อีกฝ่ายคิดจะจัดการให้สำเร็จ
เจ้าต้นตอแห่งความวุ่นวาย แทนที่จะเดือดร้อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดันยืนยิ้มหน้าระรื่นซะจนน่าหมั่นไส้ ในใจผมตอนนี้รู้สึกอึดอัดสุดๆ ไม่อยากเป็นตัวถ่วงอยู่บนรถเข็น แต่ถ้าผมวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือได้ซวยมากกว่าเดิมแน่
พวกการ์ดล้อมเราไว้ คอยยิงสวน ถอยเข้ามาหลบตรงทางที่เราออกมาแทนการอยู่ในที่โล่งให้เป็นเป้าโจมตี ทั้งที่คิดว่าน่าจะรอดจากกระสุนได้สักระยะ เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งจากทางด้านหลัง
“Damn it!! เราถูกดัก!” ไมค์สบถอย่างหัวเสีย ยิงร่วงไปได้หนึ่งคน แต่อีกคนดันหลบหลังกำแพงเสียก่อน จังหวะที่มันกำลังจะออกมายิงซ้ำ อเล็กเซย์ดึงผมไว้ข้างกาย ยกขายาวถีบรถเข็นไปทางนั้นเพื่อก่อกวนพร้อมยิงกลางแสกหน้า ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที จนร่างนั้นล้มลงเกิดเสียงหนัก เลือดสีแดงสาดกระเซ็นเปื้อนกำแพงขาว ไหลนองบนพื้นเป็นวงกว้าง
ผมเบิกตากว้างมองภาพนั้น สลับมองอเล็กเซย์ เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมันแสนธรรมดาสามัญ ต่างจากผมที่หน้าซีด เคยเห็นคนถูกยิง ถูกซ้อมจนตาย แต่ไม่เคยเห็นคนโดนยิงกลางแสกหน้าเลือดสาดกระจายแบบนี้มาก่อน
“กลัวเหรอ ถ้าเธอคิดจะเป็นเด็กลูเซียสต้องเจอแบบนี้อีกมากนะ จะไหวเร้อ~” อเล็กเซย์ถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ผมดันเขาออก ยืนลงน้ำหนักไปที่ขาข้างเดียว
“เอาเวลาเหน็บแนมผม จัดการตัวปัญหาที่คุณพามาดีกว่ามั้ง” ผมตอกกลับอย่างร้อนใจ เจ้าตัวยิ้มค้างจ้องผมแบบเคืองๆ อย่างไม่จริงจังนัก ผมยอมรับว่าตกใจกับภาพที่เห็น แล้วมันยังไง แค่ไม่หันไปมองก็จบ ต้องข่มความกลัวเอาไว้แล้วหาทางทำให้ตัวเองรอด ชีวิตของผมสำคัญที่สุด!
“พวกมันมาแล้ว” หมอประจำตัวเอ่ยเสียงเครียด มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินข้ามศพตรงดิ่งมาทางพวกเรา บีบให้ต้องกลับไปอยู่จุดเดิม
ไมค์หันมามองผม แววตาของเขาฉายความรู้สึกผิดวูบหนึ่ง ทีแรกผมยังไม่เข้าใจว่าอะไร กระทั่งเราถูกล้อมจากทุกทางและการ์ดทุกคนเลือกปกป้องอเล็กเซย์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ชายคนนี้จงใจรึเปล่า ถึงไม่ช่วยผมอย่างทีแรก ปล่อยให้ยืนอยู่เพียงลำพัง
ผมไม่หันไปมองไมค์อีก ถามว่าผมรู้สึกอะไรไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอบอกได้เลยว่าผมเจ็บเอาเรื่อง ยิ่งมีสายตาของอเล็กเซย์คอยเฝ้าดูปฏิกิริยาของผมอย่างคนที่คาดเดาทุกสิ่งไว้ ผมยิ่งเจ็บมากกว่าเดิมหลายเท่า
สุดท้าย...ความสำคัญของผมมันก็ได้เท่านี้ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะด้วยหน้าที่หรือความเห็นใจก็ไม่สำคัญสำหรับผมอีกต่อไป
เสียงดวลปืนทำให้ผมหมอบต่ำเพื่อลดการเป็นเป้าโดนยิง ทั้งสองฝ่ายยิงสวนกันไปมา ฝั่งนั้นมีคนตาย ในขณะที่ฝั่งเราแค่บาดเจ็บเท่านั้น บ่งบอกว่าฝีมือห่างชั้นกันแค่ไหน
ผมเลิกสนใจพวกเขา หาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณ ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ คำนี้ยังคงใช้ได้เสมอ ที่ผ่านมาไอ้ผมมันก็ตัวคนเดียวครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน อาศัยจังหวะทั้งสองต่างเพ่งความสนใจกับฝั่งตรงข้าม ผมก้มต่ำกัดฟันทนความเจ็บจี๊ดที่ขาพุ่งเข้าไปหลบอยู่หลังกระถางต้นไม้
ทุกการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวในที่นี้อยู่ในสายตาของอเล็กเซย์ แววตาฉายประกายบางอย่าง เมื่อยามเห็นเด็กคนนั้นเอาตัวรอดคนเดียวหลบอยู่ในจุดปลอดภัย เขาวางแผนเก็บกวาดเอาไว้แล้ว แต่ยังก่อน รออีกนิด...
“อเล็กเซย์!!”
มาแล้ว!
เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดกลางดงห่ากระสุนสร้างความตื่นตะลึงได้ชะงัก เจ้าของนามผุดรอยยิ้มตรงมุมปาก มีหน้าโบกมือทักทายไม่นำพากับสถานการณ์ตึงเครียด ลูเซียสเดินดุ่มๆ เข้ามาโดยมีการ์ดยิงกรุยทาง ข้างกายมีอาคมที่พร้อมจะฆ่าทุกคนที่เล็งปืนมาทางเจ้าชีวิต
ฝ่ายตรงข้ามเห็นลูเซียสนอกจากจะไม่หวั่นเกรงแล้วยังเหิมเกริมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารคนสำคัญทั้งสองโดยไม่สนกระทั่งชีวิตของตัวเอง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชีกับเพื่อนตัวดี ลูเซียสกัดฟันกรอดๆ ระบายอารมณ์ผ่านทางกระบอกปืนยิงสกัดฝ่ายตรงข้ามจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ดวงตาพยายามสอดส่องหาเด็กของตัวเอง ปากด่าเพื่อนเป็นภาษารัสเซียรัวจนฟังไม่ทัน อเล็กเซย์หัวเราะชอบใจ
อเล็กเซย์ยกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องตนเองที่เตรียมการไว้มาตลบหลังเก็บพวกหนอนแมลงในคราวเดียว หลังมั่นใจแล้วว่าไม่มีพวกมันหลบซ่อนที่ไหนอีก บางส่วนที่หลุดรอดเหมือนคล้ายได้มือดีจากเงามืดคอยยิงส่องระยะไกลนอนจมกองเลือดทุกราย
เมื่อทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ลูเซียสเดินตรงดิ่งไปยังกระถางต้นไม้ เพราะมันเป็นที่เดียวที่พอจะหลบได้ในทางเดินกว้างแห่งนี้ ถึงงั้นก็ยังไม่วางใจ ใช้ปืนเขี่ยใบไม้เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เผื่อคนที่หลบเป็นโจรจะได้ยิงนัดเดียวจอด แต่สิ่งที่เห็นทำให้บอสใหญ่ขมวดคิ้ว
ว่างเปล่า? มิทรี่หายไปไหน
“ไมค์”
เรียกชื่อคำเดียวสร้างความเย็นเยือกไปทั้งกาย กระทั่งไมค์ยังอึ้งกับความว่างเปล่านี้ แม้เขาจะไม่ได้จับตามองตลอด แต่มั่นใจว่ามิทรี่น่าจะหลบอยู่ตรงนั้นจริงๆ กระทั่งอเล็กเซย์ยังเลิกคิ้ว ลงทุนเดินมามองด้วยตัวเองก่อนหันมาถามเพื่อนข้างกาย
“ตกลงเด็กนายเป็นคนแน่รึเปล่า ไม่ใช่ว่ากลายเป็นมดมุดเข้ากระถางไปแล้วหรอกนะ”
“หุบปากไปอเล็กเซย์ ฉันยังมีบัญชีที่ต้องคิดกันนาย”
“ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งโมโหสิ เด็กนายอาจจะกลัวจนวิ่งหนีไปแล้วมั้ง ตอนเห็นฉันยิงหัวคนตายคาที่ ยังหน้าซีดแข่งกับศพ”
ลูเซียสเลิกสนใจเพื่อนปากสุนัขสั่งให้ทุกคนหามิทรี่ พอดีกับหลงเดินมาสมทบหลังหายไปตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวาย มือหนึ่งแบกปืนสไนเปอร์ไรเฟิลเก็บเสียง อีกมือลากศพชายคนหนึ่งที่ถูกรัดคอจากด้านหลังจนตาเหลือกตาย ใบหน้าของหลงประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาปิดหางตาชี้อย่างคนจีนกวาดมองสำรวจสภาพโดยรอบ
ทุกคนไร้ซึ่งคำถาม ว่าทำไมหนุ่มชาวจีนถึงเพิ่งโผล่มาตอนนี้ เนื่องจากพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องฝีมือของหลงเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าร้ายกาจแค่ไหน พวกมดปลวกคงถูกส่งมาเป็นตัวล่อให้โดนยิงตาย นักฆ่าตัวจริงพร้อมเครื่องมือทันสมัยหลบอยู่ในที่ลับเตรียมจัดการเป้าหมายระยะไกล ด้วยความที่หลงมีอาชีพเดียวกันเลยเดาทางได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะลอบยิงจากจุดไหน ถึงลอบไปจัดการตลบหลัง ชิงปืนมาใช้ยิงปกป้องพวกของตัวเอง
“มิทรี่อยู่ไหน” ลูเซียสเป็นฝ่ายถาม ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาอีกต่อไป ในเมื่อหลงเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของทุกคนโดยตลอด เจ้าตัวยักไหล่ ปล่อยศพในมือลงพื้นจนเกิดเสียงดังตุบ
“คุณหนูไม่ได้ไปไหนไกล อยู่แถวนี้แหละบอส” จากคำตอบของหลง ทุกคนสอดส่องสายตาพยายามหา ทันใดนั้น จู่ๆ คนที่นอนจมกองเลือดก็ขยับตัว ปืนทุกกระบอกจ่อไปทางนั้นอย่างรวดเร็วจนหลงต้องรีบออกปากห้าม
“อย่ายิง!”
ร่างนั้นถูกพลิกหงาย สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือคนที่พวกเขากำลังตามหา ชุดสูทสีเทาเปื้อนเลือด ทำเอาสีหน้าบอสใหญ่ไม่น่ามอง แต่พอเห็นมิทรี่ขยับตัวยืนไม่มีอาการบาดเจ็บนอกจากที่ขาถึงค่อยวางใจคลายสีหน้าลง
ผู้ตกเป็นเป้าสายตาลุกขึ้นขยับตัวไล่ความเมื่อยขบ กับการซ่อนอยู่ใต้ศพไร้คนสนใจ เจ้าตัวไม่ได้นึกอุตริกลิ้งไปหลบใต้ศพเอง แต่เป็นเพราะศัตรูคิดจะทำร้ายจากทางด้านหลังระหว่างที่หลบอยู่ตรงกระถาง ชั่วเวลาที่คิดว่าตัวเองกำลังงานเข้า ชายคนนั้นถูกยิงอกทะลุ เลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอยเปรอะเปื้อนใบหน้า
ร่างไร้วิญญาณเริ่มโงนเงนแล้วล้มตัวลงทับผมที่กำลังถอยหนี ตอนแรกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังให้การคุ้มครองระยะไกล ผมเลยตัดสินใจอยู่ใต้ศพอย่างสงบไม่นั่งล่อเป้าอีก พอเห็นหลงโผล่มาแบบนี้ ชัดเจนแล้วว่าคนที่ช่วยผมคือหนุ่มจีนคนนี้นี่เอง
ผมกระชับด้ามปืนเย็นเฉียบในมือที่เอามาจากศพเพื่อป้องกันตัว เมื่อเห็นว่าทุกคนยังไม่ลดปืนลงแม้จะรู้ว่าเป็นผม ริมฝีปากก็ขยับเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
สำหรับทุกคนในที่นี่ยามเห็นรอยยิ้มไม่สื่อสิ่งใด พลันรู้สึกสะท้านในอก โดยเฉพาะไมค์ เขาเคยเห็นแววตานั้น มันเหมือนกับของตัวเองในอดีตก่อนที่จะเจออาคม แววตาของคนที่ไม่เชื่อใจใคร ไม่สิ...ต้องบอกว่าไม่อาจเชื่อใจใครได้อีกต่างหาก
“เธอคิดจะยืนอีกนานแค่ไหน ขาตัวเองหายแล้วหรือไงถึงทำอะไรไม่เจียมตัว”
คงมีเพียงลูเซียสกับหลงที่ไม่สะทกสะท้านกับภาพเด็กหนุ่มถือปืนในมือยืนยิ้มท่ามกลางศพและกองเลือด ลูเซียสเข้าไปปลดปืนในมือมิทรี่ได้อย่างง่ายดายพลางย่อตัวลงอุ้มอีกฝ่ายเข้ามาสู่อ้อมแขน ไม่ใส่ใจเลือดที่เปื้อนสูทตัวโปรด มือหนาลูบแผ่นหลังที่สั่นไหวเบาๆ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้ ปากออกคำสั่งโดยไม่หันไปมองด้านหลัง
“อเล็กเซย์ จัดการเรื่องสวะที่ตามนายมาให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เรามีเรื่องต้องคุยกัน หลง คัดการ์ดห้าคนตามฉันกลับไปที่ห้อง ส่วนนอกนั้นอยู่ช่วยอเล็กเซย์ที่นี่ คนที่บาดเจ็บก็ไปรักษาตัวซะ” ณ เวลานี้ ไม่มีใครคิดอยากกลับเข้างานสักนิด
“แล้วแผลของคุณหนู...” ไมค์พูดขึ้นเพราะไม่ได้ยินชื่อตัวเอง อาคมถูกบอกให้ช่วยงานอเล็กเซย์ไม่น่าแปลกใจ แต่เขาซึ่งเป็นการ์ดอีกคนของมิทรี่แถมเป็นหมอกลับถูกกันออกแบบนี้มัน...
“ไม่ต้อง หลังจากนี้นายและคนอื่นเตรียมรับโทษจากอาคมซะ” เพียงประโยคเดียวไมค์รู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้ว เขาใช้เหตุผลในการเลือกปกป้องอเล็กเซย์มากกว่า บอสไม่โทษว่าเขาผิด แต่ก็ยังขัดคำสั่งที่ให้ไว้แต่แรกอยู่ดี ต่างกับหลงที่สามารถปกป้องได้ทั้งคู่ ลูเซียสถึงให้อาคมเป็นคนลงโทษแทนที่จะเป็นตัวเอง ไมค์ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากก้มหน้ารับคำสั่งโดยดี หลงตบบ่าหนักๆ แทนการปลอบแล้วเดินตามลูเซียสไปพร้อมการ์ดตามจำนวน
กลับถึงห้องมิทรี่ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หัวใจยังคงเต้นรัว ร่างกายยังสั่นเทาจากเหตุการณ์ระทึกขวัญระยะประชิด พอได้อยู่ในห้องเงียบๆ ข้างกายมีลูเซียสคอยดูแลให้ความรู้สึกปลอดภัย ในที่สุดความตื่นกลัวค่อยบรรเทาลง หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จถึงยอมเปิดปากบ้าง “ป๋ามือหนักชะมัด” ดันพูดจาน่าตีซะนี่
“ปากดี หรือจะให้ฉันเรียกไมค์มาเด็กน้อย” คนที่เดาทุกอย่างได้หมดส่ายหัวระอา ตอนนี้พวกเขาอยู่กันบนเตียง ผมสวมชุดคลุมอาบน้ำนั่งเท้าแขนให้ลูเซียสยึดขาวางไว้บนตักเพื่อพันแผลให้ใหม่ พอเสร็จเรียบร้อยแขนแกร่งรั้งเอวผมไปนั่งคร่อมอยู่บนตัวในสภาพล่อแหลม แค่ชุดคลุมอาบน้ำ มันไม่ช่วยปิดอะไรๆ
“ไม่เอา ผมยอมรับว่าตัวเองยังเด็ก สมองมันเข้าใจแต่ความรู้สึกมันไม่ใช่” ผมกำลังรู้สึกแย่กับไมค์ ทั้งที่ความจริงไมค์กับการ์ดพวกนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่... ”ผมก็ยังเป็นคนนะป๋า แถมเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง จะสะเทือนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่แปลก” เอ่ยพลางซบหน้ากับอกแน่น ยอมเผยมุมอ่อนแอของตัวเองออกมา
“เธอไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ปล่อยทุกอย่างให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ก็พอ”
คำปลอบใจแบบปัดความรับผิดชอบทำให้ผมหลุดขำ ไม่ว่าก่อนหน้านี้ผมจะรู้สึกกดดันแค่ไหน ขอเพียงมีลูเซียสอยู่ใกล้ๆ ผมก็วางใจ
“เหมือนเรื่องนี้ที่ต้องปล่อยให้ผู้ใหญ่จัดการใช่ไหม” เอ่ยถามหยอกเย้ายามสัมผัสได้ว่าฝ่ามือสากล้วงผ่านชุดคลุมลูบไล้ผิวโดยตรง
“ใช่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงจำไว้ว่าฉันอยู่ข้างเธอ” เกือบจะซึ้งแล้วหากไม่มีความหื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
“ผมว่าเวลาแบบนี้ไม่ค่อยน่าทำมั้ง...” ปากพูด กายถูกดันให้นอนลงทั้งที่ขายังถูกรั้งให้เกี่ยวเอวหนาจนสะโพกยกสูง
“พูดอะไร มันก็แค่เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เธอควรทำตัวให้ชินไว้ หลังจากนี้ต้องเจออีกมาก ไว้เธอหายเมื่อไหร่ เตรียมใจรับการฝึกหนักจากไนท์ได้เลย”
อ่า...ลูเซียสว่ายังไงก็ว่าตามนั้น ภายหลังผมถึงรู้แจ้งว่าเหตุการณ์ระทึกไม่มีผลต่อความหื่นของลูเซียส แล้วแบบนี้ผมจะมีเวลาไปคิดเรื่องอื่นอีกได้ยังไง แค่หาทางรองรับอารมณ์ลูเซียสคนเดียวก็ไม่เหลือที่ในสมองให้คิดอะไรแล้ว
วันต่อมา วีลแชร์คันเดิมถูกนำมาใช้อีกครั้ง ด้วยความที่เป็นของดีราคาแพงเลยไม่บุบสลายตรงไหน อาศัยแค่เช็ดเลือดออกก็เอากลับมาใช้ได้ปกติ ต่อให้ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อบนเรืออย่าหวังว่าจะหาคันใหม่
“ทนใช้ไปก่อนนะคุณหนู เห็นว่าถึงญี่ปุ่นบอสจะซื้อคันใหม่ให้” หลงกลับมาพูดจ้อตามเดิม หลังไม่มีใครยืนคุม หรือต่อให้มี คนคนนั้นก็มัวแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนละเลยนิสัยน่าตีของหลงไป
“ความจริงไม่ต้องซื้อใหม่ก็ได้มั้ง ใช้อีกไม่เท่าไหร่ผมก็กลับมาเดินได้ตามปกติแล้ว”
“เรื่องนั้นยังไม่แน่ครับคุณหนู ต้องรอพบนักกายภาพบำบัดที่ผมติดต่อไว้ก่อน เราถึงจะมั่นใจได้ว่าขาคุณหนูไม่มีปัญหาจริงๆ” ไมค์ตอบด้วยความเคยชิน เรื่องสุขภาพของคุณหนูเจ้าตัวมีหน้าที่รับผิดแบบเต็มๆ กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอทำตัวปกติ ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งมีประเด็นกันไปเลยเกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา จึงปิดปากเงียบตามเดิมแถมยังเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ยังอยู่ในระยะที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือทุกเมื่อหากเกิดอะไรขึ้น
“พี่หลง พี่ไมค์เป็นอะไร ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากคุยกับผมนะ”
“ฉันควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า คุณหนูไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอกับเรื่องเมื่อคืน” การ์ดประจำตัวหยุดการเข็นรถเพื่อพูดคุย ดูเผินๆ เหมือนเรากำลังชมวิวทะเลกันอยู่ ทั้งที่ผมไม่ค่อยสนใจมัน
“รู้สึก? รู้สึกเรื่องอะไร เรื่องคนถูกฆ่าตายต่อหน้า ฉากเลือดสาดแบบในหนัง หรือว่า...”
หลงสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบ “เรื่องแค่นี้คงทำอะไรคุณหนูไม่ได้หรอก ถูกบอสปลอบไปเมื่อวานเกือบทั้งคืนนี่ สิ่งที่ผมอยากถามคือเรื่องที่ไมค์ตัดสินใจปกป้องคุณอเล็กเซย์มากกว่าคุณหนู” หลงก็ยังคงเป็นหลง พูดจาตรงไม่อ้อมค้อม เจ้าตัวจะเดาเรื่องเก่งไปไหน แอบมาดูลูเซียสปลอบผมรึไง
ผมถอนหายใจ รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แบบนี้มันเหมือนกับว่าผมเป็นเด็กเอาแต่ใจไม่มีเหตุผลจนคนรอบข้างต้องพลอยกังวลไปด้วย ถึงผมจะเด็กจริงๆ ก็เถอะ เมื่อเทียบกับอายุคนที่อยู่รอบตัว
“เรื่องมันผ่านไปแล้วผมไม่อยากเก็บมาใส่ใจ พี่ไมค์ก็มีเหตุผลของตัวเองใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นช่างมันเถอะ” ผมยอมง่ายๆ ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวไมค์ต้องโดนพี่อาคมลงโทษตอนกลับไทย ถือว่านั่นเป็นการเอาคืนให้ผม แถมลูเซียสบอกว่าให้ปล่อยไปไม่ต้องคิดมาก ผมจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังแล้วกัน ที่สำคัญยังต้องอยู่ด้วยกันอีกยาว ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้อึดอัดตายพอดี
“แต่ฉันปล่อยผ่านไม่ได้” จู่ๆ มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ผมเลิกคิ้ว ไม่รู้ไมค์มายืนด้านหลังผมแทนหลงตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่ทำดีที่สุดแล้ว”
“ไม่ ถ้าดีจริงฉันคงทำได้เหมือนหลง” สวนกลับมาทันที ไมค์นี่หัวดื้อมากกว่าที่คิดแฮะ นึกว่าจะเป็นคนนิ่งๆ
“น่าๆ นายเป็นหมอ ไม่ใช่นักฆ่าอย่างฉัน การตัดสินใจไม่เฉียบขาด ฝีมือการยิงปืนไม่ได้ครึ่งของพ่อ ประสบการณ์ก็ยังน้อย อย่ากดดันตัวเองนักเลย” หลงช่วยพูดอีกแรง ที่ไม่รู้ว่าปลอบหรือหลอกด่ากันแน่ กลายเป็นว่าคนที่จิตตกไม่ใช่ผม แต่เป็นไมค์ซะงั้น เจ้าตัวรู้สึกผิดขนาดนั้น ผมยังจะต่อว่าอะไรได้อีก
“คุณหนูเองก็อภัยให้ไมค์มันเถอะ ที่ผ่านมาคนที่ทำให้มันคิดมากได้มีอยู่ไม่กี่คน คุณหนูคือหนึ่งในนั้น แสดงว่าไมค์ใส่ใจคุณหนูพอดู”
เดี๋ยวนะ เผากันต่อหน้าแบบนี้เลยเรอะ ผมเอี้ยวตัวไปมองไมค์ เห็นคนหัวทองหน้าขึ้นสีนิดๆ แต่ทำขรึม
“อะแฮ่ม หลง ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”
ดีล่ะ ได้ทีมันต้องซ้ำเติม “ผมคิดว่าพี่หลงพูดดีแล้วนะ ไม่งั้นคงไม่รู้ตัวเองได้รับความสำคัญขนาดนี้” ผมมองสบตาพวกเขา “ยอมบอกก็ได้ว่าผมเคืองพี่ไม่น้อย ไว้เราค่อยเริ่มกันใหม่ ลูเซียสบอกว่าถ้าขาผมหายเมื่อไหร่จะให้ฝึกการต่อสู้กับไนท์ ผมจะได้เป็นตัวถ่วงน้อยลง” แบบนี้เขาเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลังรึเปล่านะ แอบจิกกัดประชดเล็กๆ แล้วพูดให้รู้สึกดี
“ดีแล้ว จะได้ปกป้องตัวเองได้เมื่อถึงคราวจำเป็น” สีหน้าไมค์ดูโล่งอก ไม่ติดใจกับวาจาของคนอายุน้อยกว่า ทั้งไมค์และหลงต่างยอมรับว่าพวกเขาให้ความสนใจกับคุณหนูคนนี้ไม่น้อย ในช่วงแรกอาจดูถูกไม่อยู่ในสายตา แต่พอมาอยู่ด้วยกัน ได้พูดคุยรวมถึงเรื่องราวที่อาคมเล่าให้ฟังลับๆ ถึงเข้าใจ ชะตาชีวิตของมิทรี่นั้นลำบากไม่ต่างจากพวกเขาในวัยเด็ก ถ้าวันนั้นพวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือจากอาคมกับบอส คงไม่มีชีวิตได้อย่างทุกวันนี้
ยิ่งเป็นคนที่บอสเลือก หลงกับไมค์ถึงเปิดใจให้มิทรี่มากกว่าคนอื่น คนแบบเดียวกัน มักจะดึงดูดและเห็นใจกันและกันเสมอ