ด้านนอกปรับความเข้าใจพูดคุยกันได้ด้วยดี ส่วนด้านในห้องกำลังร้อนระอุสลับเย็นเยือกได้ที่ เหล่าการ์ดรู้สึกอยากปลีกตัวไปขอยาพาราสักเม็ดเพราะเกรงว่าจะป่วยกันเสียก่อน คงมีเพียงผู้อาวุโสอย่างอาคมกับคนสนิทซ้ายขวาของอเล็กเซย์ ที่ยังยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านกับบรรยากาศเหล่านี้
ชายมากอำนาจนั่งไขว่ห้างจ้องเพื่อนตัวเองเขม็ง อเล็กเซย์ยังคงยิ้มแม้เหงื่อจะผุดตรงขมับ มือสวยยกปิดปากกระแอมไออย่างไว้มาด ดูสง่าดุจเจ้าชายผู้เผชิญหน้ากับซาตาน
“เลิกจ้องแบบนั้นสักที ฉันจะยอมบอกก็ได้” หลังจากเล่นสงครามประสาทกันมาสักพัก อเล็กเซย์เป็นฝ่ายยกมือยอมแพ้เพราะครั้งนี้เขาล้ำเส้นเพื่อนสนิทมากเกินไป มั่นใจได้เลยว่าหากเปลี่ยนคนอื่นมานั่งตรงนี้คงถูกลูเซียสยิงดับโยนลงทะเลให้ฉลามกินไปแล้ว!
“ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเด็กคนนั้นมีความสำคัญกับนายยังไง เลยวางแผนอะไรนิดหน่อยพร้อมกำจัดหนอนแมลงไปในคราวเดียว…” พออเล็กเซย์เงยหน้ามองเพื่อนถึงกับสะดุ้ง “ไม่เอาน่า นายก็รู้ดีว่าฉันทำอะไรรอบคอบเสมอ ทุกอย่างอยู่ในการคาดเดาของฉันหมดแล้ว ฉันไม่ปล่อยให้คนของนายกับเด็กคนนั้นตายเพราะเรื่องของตัวเองหรอก”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ อเล็กเซย์นั่งลุ้นจนเกร็ง
“ฝากบอกเฟลอร์ด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ที่สำคัญ เขาอยู่ฐานะลูกชายของฉัน ทำอะไรเห็นแก่หน้าฉันบ้าง”
หนุ่มอังกฤษยิ้มรับคำกล่าวนั้น ลูเซียสพูดออกมาแบบนี้แสดงว่าให้อภัยแล้ว ปกติบอสใหญ่เอาแต่ใจก็จริง แต่ทุกอย่างล้วนอยู่บนเหตุและผลแล้วเบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้ดันเป็นน้องสาวสุดที่รัก ที่หวงพี่ชายจนเกินเหตุ เขาจะโกรธลงได้ยังไง แม้จะหมั่นไส้ไอ้คนยิ้มหน้าระรื่นนี่ก็เถอะ
อีกอย่าง...ทางนี้ก็ได้ผลประโยชน์เช่นกัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มิทรี่เติบโตไปอีกขั้น
แต่ใครจะรู้ว่าระหว่างที่อเล็กเซย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดพร้อมสายลมพุ่งผ่านแก้ม ตามมาด้วยความแสบร้อนกับกลิ่นดินปืนที่คุ้นเคยทำเอาเจ้าตัวยิ้มค้าง ใบหน้าซีดเผือด
“น้องฉันก็ส่วนน้องฉัน กับนายมันอีกเรื่อง อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายแค่นึกสนุกอยากทดสอบเด็กของฉันอเล็กเซย์ อย่าให้มีครั้งที่สองถ้านายยังอยากอยู่กับเฟลอร์และพวกเด็กๆ”
แทนที่จะโมโหหรือหวาดกลัว อเล็กเซย์กลับหัวเราะจนไหล่สั่น
“ฮ่าๆ! ต้องแบบนี้สิเพื่อนของฉัน!! ฉันนึกว่านายไปอยู่ประเทศนั้นจนฝีมือทื่อลงซะอีก ดีแล้วๆ” พยักหน้าหงึกหงักอย่างพึงพอใจ หยิบผ้าผืนเล็กเช็ดคราบเลือดของตัวเอง อาคมรู้งานเดินมาหาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล เตรียมการดีเหมือนรู้ว่าต้องมีคนได้เลือด เจ้าตัวถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“นายไม่คิดจะมาทำงานให้ฉันเหรอ อุดอู้กับลูเซียสแบบนั้น ฉันเสียดายฝีมือ”
“นายของผมมีเพียงท่านลูเซียสเท่านั้นครับ” อาคมตอบด้วยท่าทางสงบก่อนจะถอยฉากมายืนข้างลูเซียสตามเดิม หลังส่งกล่องปฐมพยาบาลให้คนสนิทของอเล็กเซย์เพื่อทำแผลให้เจ้านายตัวเอง
“ทั้งหลง ทั้งอาคม แล้วยังไนท์อีก ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมพวกมีฝีมือถึงอยู่ข้างนายหมด” ทุกคนในห้องพร้อมใจกันทำหูทวนลมไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เพราะเกรงว่าบอสใหญ่จะมือกระตุกอยากลั่นไกอีกสักนัด ในใจลูเซียสอยากจะยิงอีกฝ่ายให้พรุน แต่คำว่าน้องเขยมันค้ำคอ เกิดอเล็กเซย์เป็นอะไรขึ้นมานอกจากสมดุลฝั่งอังกฤษจะมีปัญหา น้องสาวของเขาจะโดนหางเลขไปด้วย
“ฉันไปดีกว่า ถึงเวลาต้องโทรรายงานตัวกับหวานใจแล้ว แต่ก่อนไปขอเตือนนายสักเรื่อง ไม่มีพ่อคนไหนเขาเอาลูกชายมากินหรอกนะลูเซียส”
เจ้าของชื่อแสยะยิ้ม
“ต่อให้เป็นลูกถ้าฉันอยากได้ ฉันก็ต้องได้”
อเล็กเซย์มองตาปริบๆ แล้วส่ายหัวกับนิสัยเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
“สมกับที่คนนั้นเลี้ยงนายมา นิสัยหลายอย่างถอดพิมพ์กันมาหมด” ว่าจบก็รีบลุกหนีออกจากห้องเพราะเกรงว่าจะโดนเพื่อนฝังกระสุนใส่หัว
ฝ่ายลูเซียสนั่งเงียบ โบกมือให้อาคมพามิทรี่เข้ามา คำพูดของอเล็กเซย์ทำให้ลูเซียสฉุกใจคิด นึกภาพใบหน้าของคนคนนั้น ไม่ได้ไปหานานแล้ว คงต้องหาโอกาสไปเยี่ยมสักที...
“ป๋าคุยเสร็จแล้วเหรอ”
มิทรี่เข้ามาพร้อมการ์ดประจำตัว พอหลงเข็นมิทรี่มาหยุดด้านข้างโซฟาที่บอสใหญ่นั่ง วงแขนแกร่งก็อุ้มมาวางบนตักตัวเองหน้าตาเฉย เหล่าการ์ดหลายคนรู้หน้าที่ทยอยกันออกจากห้องไปเฝ้าด้านนอก เหลือเพียงพวกอาคมอยู่ด้านใน
“ใช่ หลังจากนี้เธออยากทำอะไรฉันจะพาไปเอง”
ธุระของลูเซียสบนเรือเสร็จแล้ว เรื่องอเล็กเซย์ก็เคลียร์เรียบร้อย นับจากนี้จนกว่าจะถึงญี่ปุ่นลูเซียสเลยทุ่มเวลาทั้งหมดอยู่กับอีหนูแบบไม่ต้องขอ คุณลูกชายเลิกคิ้ว ก่อนกระตุกยิ้มมุมปาก ออเซาะลูเซียสจนน่าหมั่นไส้
“อยากไปกาสิโน ตอนนั้นยังเล่นไม่หนำใจเลย” สิ้นคำดวงตาคมตวัดมองหลงที่เนียนหลบหลังไมค์ ผมใช้มือสองข้างจับหน้าลูเซียสมาสบตาตัวเอง ถือเป็นการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ขืนปล่อยให้หลงโดนบอสลงโทษ ไม่ให้มาเป็นการ์ดผมอีกก็แย่สิ! คนที่จะพาทำเรื่องสนุกๆ ได้มีแค่หลงเท่านั้น
ลูเซียสมีหรือจะไม่รู้เจตนาอีหนู เจ้าตัวจูบหนักๆ ด้วยความมันเขี้ยวแล้วพากันยกโขยงไปกาสิโน ลงทุนสอนเล่นด้วยตัวเองอีกต่างหาก ทำให้ช่วงเวลาที่อยู่บนเรือ มิทรี่เลยไม่ต่างจากราชาตัวน้อยเพราะลูเซียสเล่นตามใจทุกอย่าง เล่นเอาการ์ดปวดหัวไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอาคมที่ชอบหลบมุมไปพึมพำทำนองว่า หมดกันอนาคตของชาติอะไรสักอย่าง
หลังสนุกสนานกันหลายวัน และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ในที่สุดเรือสำราญก็จอดเทียบท่าเกาะญี่ปุ่น สิ่งแรกที่สัมผัสได้คืออากาศซึ่งแตกต่างจากประเทศไทยโดยสิ้นเชิง รวมถึงสภาพแวดล้อมแปลกตาหลังหันไปทางไหนก็เจอแต่ทะเลมาหลายวัน
ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกที่อยากจะทรุดลงจูบดินจริงๆ อยู่บนเรือใหญ่แม้จะไม่โคลงเคลงแต่ลึกๆ ในใจก็ยังคิดเสมอว่ามันอยู่เหนือผืนน้ำที่พร้อมจะแปรปรวนตลอดเวลา แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ได้ออกไปใจกลางมหาสมุทรก็ตาม ดังนั้นพอเจอผืนดินหนักแน่นมั่นคง อดไม่ได้ที่จะลุกยืนสักหน่อย ผืนดินจ๋า คิดถึงจัง
“อย่าหาเรื่อง นั่งลงไปซะ” เสียงดุๆ ไม่ใช่ของใครอื่น คุณป๋าผู้รับหน้าที่เป็นคนเข็นรถกิติมาศักดิ์ ผมยอมทิ้งตัวลงนั่งแต่โดยดี การดื้อใส่จอมเผด็จการไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“เราจะไปไหนกันต่อ” ผมแหงนคอถาม หางตาเหลือบเห็นพวกนนท์ ทางนั้นคล้ายอยากจะเดินเข้ามาหาแต่ก็เกรงบรรดาการ์ดตัวโตชุดดำที่อยู่รอบพวกเรา ความจริงหลังจากเกิดเรื่องก็ไม่เห็นพวกเขาอีก เพิ่งมาเจอกันตอนลงเรือนี่แหละ ผมเลยชวนลูเซียสคุย ไม่เปิดช่องให้พวกนั้นเข้ามา ผมไม่ยอมให้ลูเซียสลดตัวไปคุยด้วยหรอก โดยเฉพาะเวลาเห็นสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรืออยากทำความรู้จักผ่านทางผม เพราะหวังผลประโยชน์แล้วอยากจะอ้วก
“โรงพยาบาล ฉันให้ไมค์ติดต่อทางนั้นแล้ว”
จริงสินะ เหตุผลในการเดินทางครั้งนี้นอกจากธุระของลูเซียสคือเรื่องขาของผม พวกเราออกจากท่าเรือด้วยรถที่การ์ดเตรียมเอาไว้ มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล ผมมองนอกหน้าต่างอย่างสนใจ ตั้งแต่เล็กจนโตผมเคยไปเยี่ยมญาติที่รัสเซียกับแม่แค่ครั้งเดียว ตอนนั้นยังเด็กมาก ผมจำอะไรไม่ค่อยได้ ดังนั้นการมาเยือนแดนปลาดิบก็ไม่ต่างจากการมาต่างประเทศครั้งแรก
ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันแตกต่างกับไทยตรงไหนบ้าง บอกได้คำเดียวว่าทุกอย่าง บ้านเมืองสะอาด ไม่มีเสาไฟรกสายตา ผู้คนดูเร่งรีบและแทบจะมีทางม้าลายในทุกๆ ที่ ไม่มีสะพานลอย ถนนค่อนข้างโล่งเพราะส่วนใหญ่นิยมใช้รถไฟใต้ดินมากกว่า ซึ่งไอ้สิ่งที่ผมเคยเห็นในทีวีหรือในหนัง นับเป็นเพียงส่วนเล็กๆ จากของจริงเท่านั้น
พอถึงโรงพยาบาลผมก็ต้องทึ่งอีกรอบ อดรู้สึกเกร็งไม่ได้ แม้จะไม่ใช่โรงพยาบาลใหญ่โตอะไร แต่แค่ของที่ผมไม่เคยเห็น บรรยากาศที่ต่างจากเมืองไทยลิบลับก็ชวนให้เกร็งแล้ว
การติดต่อเข้ารับการรักษาดูไม่วุ่นวายอย่างที่คิด คงเพราะไมค์จัดการล่วงหน้า ผมเลยเข้าไปตรวจสุขภาพพร้อมเอกซเรย์ขา แม้จะมีผลตรวจจากไทยแล้ว แต่ต้องทำซ้ำเพื่อความมั่นใจก่อนการรักษา พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมก็ถูกพาไปยังแผนกกายภาพบำบัดโดยมีไมค์อยู่ด้วยตลอดเวลา คอยแปลภาษาและตอบคำถามแทนผม ส่วนลูเซียสกับคนอื่นพักรออยู่ด้านล่าง
ไมค์จับมือทักทายกอดเพื่อนชาวญี่ปุ่น เขาหันมายิ้มให้ผมที่นอนเป็นรูปปั้นอยู่บนเตียงหลังอ่านผลตรวจในมือเสร็จ
“ฉันจะขอดูอาการที่ขาคุณสักหน่อย ไม่ต้องเกร็งนะ ถ้าเจ็บบอกได้ทันที”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ ผมค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ปล่อยให้หมอยกขางอเข่า ลองจับราวเดินคอยตอบคำถามเป็นระยะ ไม่รู้คนญี่ปุ่นเป็นเหมือนเขาหมดรึเปล่า เสียงนุ่มน่าฟัง ใช้คำศัพท์สุภาพมากแม้ว่าผมจะอายุน้อยกว่า
“เท่าที่ดูแผลสมานตัวได้ดีไม่มีปัญหาอะไร แต่คงต้องรอผลตรวจทั้งหมดอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ระหว่างนี้อย่าใช้งานขาเยอะนะครับ”
ผมพยักหน้ารับลูกเดียว ไมค์พยุงผมนั่งบนวีลแชร์สั่งให้การ์ดพาผมไปหาลูเซียส
“คุณหนูกลับไปพร้อมบอสก่อนนะครับ ผมต้องอยู่รอผลกับฟังวิธีการทำกายภาพบำบัดก่อน”
“ขอบคุณนะไมค์”
“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ไม่สิ...ผมเต็มใจทำครับ” เขาเปลี่ยนคำค่อยน่าฟังหน่อย เรายิ้มให้แบบรู้กัน
ผมถูกพามาชั้นล่าง เห็นลูเซียสนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศหลบมุมอยู่ พร้อมหลงกับการ์ดแค่สองสามคน นอกนั้นรออยู่ด้านนอกโรงพยาบาล ขืนเข้ามากันหมดคนอื่นได้แตกตื่นกันพอดี แค่ตอนนี้ก็เด่นจะแย่ ชายต่างชาติร่างกายสูงใหญ่เหมือนหลุดมาอยู่เมืองคนแคระแล้วยังใส่ชุดสูทสีเข้มกันยกเป็นขบวน
พอลูเซียสหันมาเจอผมก็ถามไถ่อาการตามปกติ ผมตอบเท่าที่ได้ยินมา เขาพยักหน้ารับวางแก้วกาแฟแล้วรับหน้าที่พาผมขึ้นรถเพื่อไปยังเรียวกังที่จองไว้
ใช้เวลาเดินทางนานพอสมควรกว่าจะถึงที่หมาย หลงอธิบายให้ฟังว่า การจองเรียวกังน่ะไม่ยาก เพียงแต่การหาเรียวกังที่ยอมให้คนมีรอยสักใช้ได้นั่นอยู่ห่างไกลพอสมควร เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าคนที่มีรอยสักคือพวกยากุซ่าหรือคนมีอำนาจไม่ควรข้องเกี่ยว พาลให้ผมนึกถึงรอยสักบนแผ่นหลังของลูเซียส ถ้าไปแช่กับคนอื่นพวกเขาคงตกใจกันแย่
สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ เรียวกังสไตล์ญี่ปุ่นแบบเก่าเบื้องหน้ามีห้องพิเศษพร้อมออนเซ็นในตัว ผมหยิบมือถือถ่ายรูปเท่าที่สภาพร่างกายตอนนี้จะเอื้ออำนวย ที่นี่จัดสวนแบบเซน เน้นความเรียบง่ายส่วนใหญ่เป็นก้อนกรวดสีขาวสร้างลวดลายเป็นทางยาวกับวงกลม ประดับด้วยหินก้อนใหญ่ หากไม่นับต้นไผ่ที่ล้อมรอบเรียวกังไวก็แทบจะไม่มีต้นไม้เลย
ตัวเรียวกังส่วนใหญ่สร้างจากไม้มีฐานเป็นหิน ข้ามสะพานผ่านบ่อปลาคาร์ฟเข้าไปยังด้านในที่มีพนักงานหญิงสวมชุดกิโมโนคอยต้อนรับอยู่แล้ว หลังแจ้งชื่อจองเสร็จเธอก็พาเราไปยังส่วนของห้องพักส่วนตัว ด้านในใช้วีลแชร์ไม่ได้เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนลูกค้าคนอื่นเข้า รถเจ้ากรรมเลยถูกพวกการ์ดแบกตามหลัง ส่วนผมมีลูเซียสอุ้มสบายไม่ต้องเดิน
เธอเปิดประตูให้อธิบายเวลาเปิดปิดของครัวและวิธีสั่งอาหารก่อนจะถอยฉากออกไป รวมถึงพวกการ์ดที่กระจายกันไปพักใกล้กับบอสใหญ่ เรียกว่าฝั่งนี้ทั้งฝั่งลูเซียสเหมาหมด
“พักผ่อนซะ” ลูเซียสพูดแค่นั้นผมก็พร้อมที่จะทิ้งตัวลงบนฟูกที่ถูกจัดเตรียมไว้ ต่อให้ไม่ได้เดินก็รู้สึกเพลียจากการเดินทาง ผมผล็อยหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นอาหารมากมายวางเรียงบนโต๊ะ มีทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็นมาก่อน ผมรีบคลานไปนั่งข้างลูเซียสทันทีแล้วลงมือกินอาหารตรงหน้า เล่นชิมมันทุกอย่าง
เรื่องพวกนั้นไม่เท่าไหร่ ของจริงมันหลังจากนี้ต่างหาก
“กฎการแช่ออนเซ็นเธอรู้รึเปล่า”
“พอรู้มาบ้าง” ต้องบอกว่าหลงกรอกข้อมูลใส่หัวมากกว่า นักฆ่าคนนี้เหมือนสารานุกรมเคลื่อนที่ รู้ไปซะทุกเรื่อง คงเป็นผลจากการทำงานที่ต้องเดินทางหลายประเทศ
“ดี” ลูเซียสพาผมไปถอดเสื้อผ้าอาบน้ำล้างตัวก่อนลงออนเซ็น เท่าที่ผมจำได้คือเราต้องถอดเสื้อผ้าทุกชิ้น ล้างตัวให้สะอาดถึงลงไปแช่ได้และห้ามเอาผ้าขนหนูจุ่มลงไปในน้ำ
ทันทีที่ถอดเสื้ออากาศหนาวเข้าจู่โจม ที่นี่เย็นกว่าไทยโข หากไม่ติดว่าร่างกายผมปรับอุณหภูมิตั้งแต่อยู่บนเรือคงจะตัวสั่นงันงกแม้จะมีไอน้ำกับความร้อนจากบ่อมาช่วยก็ตาม ก็ลูเซียสเล่นเลือกบ่อแบบกลางแจ้ง! แถมยังอาบแบบน้ำเย็นเจี๊ยบหน้าตาเฉย
ผมถอยหนีไปอาบน้ำอุ่นของตัวเอง ไม่คิดบ้าระห่ำแบบลูเซียสเด็ดขาด ระหว่างอาบก็ชมบรรยากาศไปด้วย ที่นี่มีหินก้อนใหญ่ตรงขอบบ่อน่าจะเอาไว้พิงไม่ก็นั่ง พื้นเป็นไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้ม ตรงมุมถูกแต่งด้วยหินกรวดเหมือนด้านนอกพร้อมต้นไผ่ มีเสาไม้เล็กๆ คอยปล่อยน้ำร้อนจากกระบอกไม้ไผ่ลงบ่อ ล้อมเขตบ่อด้วยรั้วไม้สูงให้ความเป็นส่วนตัว
ขณะที่ผมขัดตัวเองจนตัวใสกิ้งว่าจะแช่น้ำในชื่นใจ ร่างกายถูกคว้าชนแผ่นหลังกระแทกกับแผงอกกว้าง ผมดิ้นเร่าทันที
“ป๋าปล่อย น้ำเย็นมันหนาวนะ”
“เดี๋ยวก็อุ่นจนร้อน” หลังคอผมถูกงับมือหยาบซุกซนลูบไล้ไปทั่วขยำสะโพกกับบั้นท้ายแบบไม่เกรงใจ ผมหน้าซีดพยายามขืนตัวหนีทันที
“ป๋า ไม่เอาตอนนี้ มันเย็น แช่น้ำร้อนก่อนค่อยทำได้ไหม” ผมหันไปอ้อนวอนตัวเริ่มสั่น น้ำแช่น้ำแข็งรึเปล่าเนี่ย ลูเซียสบ้าอาบไปได้ยังไง
“ไม่ ฉันจะทำตอนนี้และเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงทุ้มต่ำให้คำตอบข้างหู ผมโดนปลุกเร้าจนยากจะหนี ระทวยอยู่ในอ้อมแขนใหญ่ ไม่รู้จะขอบคุณหรืออะไรดีที่ลูเซียสยังมีน้ำใจช้อนข้อพับขาข้างที่เจ็บของผมเพื่อไม่ให้รับน้ำหนักมากเกินไปจนกลายเป็นท่วงท่าหวาดเสียว
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...ท่ายืนมันไม่ทรมานเท่ากับมุกที่โดนน้ำจนเย็นเจี๊ยบจริงๆ ...
สุดท้ายก็ต้องล้างตัวใหม่อีกรอบก่อนจะลงไปแช่ในบ่อ ลูเซียสให้ผมนั่งบนตักเพราะกลัวจะไหลไปกองอยู่ก้นบ่อซะก่อน ผมนั่งนิ่งกับอาการเจ็บจี๊ดๆ ที่สะโพก ปล่อยให้ลูเซียสใช้มือลูบคลำไปเรื่อย น้ำในบ่อมันร้อนจนเหมือนตัวจะสุก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังจากเพิ่งเสร็จกิจ
น่าเสียดายที่ร่างกายผมไม่ชินกับการแช่น้ำร้อนแบบนี้นานๆ ผ่านไปไม่กี่นาทีลูเซียสก็ให้ผมนั่งพักตรงโขดหินกันหน้ามืด แล้วค่อยลุกไปเช็ดตัวสวมยูกาตะที่ทางเรียวกังเตรียมไว้ให้ เนื้อผ้านุ่มสบายมีตัวซับสีขาวด้านใน ผมมันสายมันไม่เป็นเลยมัดเอาแบบมันไม่หลุดก็พอ ลำบากลูเซียสมาช่วยแก้ให้หลังจากขึ้นมาแต่งตัวบ้าง
ผมนั่งรินสาเกให้ลูเซียสจิบก่อนนอน ซึ่งงานนี้พวกเรานอนบนฟูกเดียวกันเช่นเคย แล้วตื่นมาอีกทีในสภาพที่ต่างจากตอนนอนอย่างสิ้นเชิง ชุดยูกาตะตกจนเผยไหล่ทั้งสองข้าง มีลูเซียสซุกหน้านอนแถวอก มือใหญ่ล้วงวางตรงสะโพกชายชุดเลยถลกจนถึงเอวสวนทางกับอีกคนแค่เผยแผงอกกำยำเท่านั้น ต้องขอบคุณลูเซียสที่ใส่ยูกาตะนอน ทั้งที่ปกติจะชอบเปลือยเปล่า ไม่งั้นคงได้แนบเนื้อมากกว่านี้
ผมปลุกลูเซียสเพราะเริ่มหิว พวกเราอาบน้ำนั่งกินมื้อเช้าระหว่างนั้นลูเซียสเรียกให้ไมค์เข้ามาบอกผลตรวจ แต่ประโยคแรกที่ไมค์พูดไม่ใช่คำทักทายยามเช้า แต่เป็น...
“บอสครับ คุณหนูยังเจ็บอยู่ จะทำอะไรก็ระวังสุขภาพคุณหนูด้วยนะครับ”
ผมก้มมองตามสายตาของไมค์จ้องรอยจ้ำแดงบนไหปลาร้าที่โผล่พ้นผิวผ้า
“ฉันทำอะไรฉันรู้ตัวดีไม่ต้องให้นายมาบอก”
“ขออภัยด้วยครับบอส ผมทำไปตามหน้าที่หมอ”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ผมอยากรู้ว่าผลตรวจเป็นยังไงบ้าง” ผมตัดบทเข้าเรื่อง ไมค์ยื่นผลตรวจส่งให้ลูเซียส ปากก็อธิบายไปด้วย
“ผลจากกระสุนทำลายกล้ามเนื้อไปบางส่วนต้องคอยทำกายภาพบำบัดและอาจจะมีอาการเจ็บจากภายในเวลาลงน้ำหนักที่ขา ระยะเวลารักษาไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของคุณหนู โอกาสหายสนิทมีมาก แต่คุณหนูคงเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายหนักๆ ไม่ได้แล้ว”
ผมนิ่งค้าง รู้สึกใจหายวูบ ที่ผ่านมาผมเอาตัวรอดด้วยขาคู่นี้ นั่นเท่ากับว่าผมไม่สามารถใช้งานมันได้เหมือนอย่างเก่า ความกังวลเริ่มเข้ามาเกาะกินจิตใจ อนาคตผมจะเป็นยังไง ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกผมจะเอาตัวรอดได้ไหม ขนาดสภาพขาดีๆ ยังไม่รอดเลย
ลูเซียสรับรู้ได้ถึงความกังวลของผม มือหนาวางบนกลุ่มผมนุ่มแล้วลูบเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่อ่อนลงหลายระดับ
“เธอไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้วมิทรี่ เธอยังมีฉัน มีพวกการ์ด ทำใจให้สบายแล้วตั้งใจรักษาตัวเองเถอะ”
ผมหลับตา แม้จะยังรู้สึกแย่แต่ไม่เท่ากับตอนแรก ไม่นานผมคงทำใจได้ ขาผมไม่ขาดหรือพิการสักหน่อย ผมคิดปลอบใจตัวเอง
”ผมเรียนวิธีทำกายภาพมาแล้ว ขออนุญาตบอสทำการรักษาคุณหนูหลังจากนี้ด้วยครับบอส” ไมค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลูเซียสพยักหน้ารับเนิบๆ
“ได้ รายงานฉันทุกครั้งหลังทำกายภาพด้วย กลับไทยแล้วไปตกลงตารางกับไนท์เอา”
หมอจำเป็นรับคำอย่างเข้าใจ เรื่องไนท์รับหน้าที่ฝึกผมต่อสู้ทุกคนรู้กันทั่ว แม้ผมจะไม่เข้าใจก็เถอะ ว่าจะสอนยังไงทั้งที่ขาเดี้ยงแบบนี้ คงต้องรอเจอเองถึงจะรู้สินะ
พวกเราพักที่นี่อีกหนึ่งคืนเพราะว่าพี่อาคมกับหลงต้องออกไปทำธุระให้ไนท์ มิน่าผมถึงไม่เห็นหน้าเลยทั้งวัน ระหว่างนั้นลูเซียสก็พาผมไปเที่ยวสถานที่ใกล้ๆ ฆ่าเวลา แต่ด้วยสภาพไม่อำนวย เลยเที่ยวแค่ที่สองที่แล้วกลับมาขลุกอยู่ในห้องพัก
ก่อนกลับผมซื้อของฝากไปให้พวกซันหลายอย่าง ใจนึกอยากกลับไปเรียนจะแย่ หวังว่ากลับไทยทำกายภาพแล้วผมจะหายไวๆ แม้จะไม่สามารถวิ่งหนักๆ ได้ ยังไงก็ดีกว่านั่งรถเข็นไปตลอด