Mag-log in“อยากนอนกับฉันไม๊…คะ!?”
“หือ...?” เสียงครางหลุดออกมาด้วยความข้องใจ เพราะสภาพของคนถามคือแบบ...นั่งยังไม่ตรงเลย ถึงองค์ประกอบโดยรวมจะพอใช้ได้อยู่ แต่...ไม่น่าจะไหวนะ อีกอย่างผมถือคติไม่ขึ้นเตียงกับคนเมา ไม่อยากให้มันเข้าพล็อตเรื่องเดิมๆ ที่ตื่นมาแล้วโวยวาย ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตาย มันน่ารำคาญ เพราะงั้นผมเลยปฏิเสธสาวน้อยตรงหน้าด้วยการกระตุกแขนออกจากการเหนี่ยวรั้งและตั้งใจจะแยกย้าย แต่ดูเหมือนแรงที่ผมใช้จะทำให้คนกึ่งไร้สติเสียการทรงตัวไม่น้อย
อ๊ะ!
จังหวะนั้นปลายเท้าผมเบี่ยงทิศทางโดยอัตโนมัติ ก้าวไปยืนข้างๆ ในระยะประชิด พร้อมยกแขนขึ้นเป็นการ์ดกันร่างบอบบางเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
ฟุ่บ!
เพียงเสี้ยววินาทีคนตัวเล็กทิ้งน้ำหนักตัวเกือบทั้งหมดมาบนแผงอกกว้างของผมโดยสมบูรณ์ นั่นแปลว่าถ้าผมช้ากว่านี้อีกสักชั่วอึดใจเดียว ได้เห็นก้อนแป้งนุ่มนิ่มร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นแน่
ต่อมาผมเลื่อนมือจับไหล่เล็กทั้งสองข้างก่อนจะดันร่างอ่อนปวกเปียกให้ทรงตัวได้เหมือนเดิม ซึ่งมันแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับคนในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นพอดี วูบหนึ่งเราสบตากัน และเป็นผมเองนี่แหละที่เคลื่อนมองส่วนอื่นก่อน ไม่ใช่เพราะหวั่นไหวหรืออะไรหรอกนะ แต่พอระยะห่างมันแคบลงก็มีอะไรให้น่ามองมากขึ้น
ว่าไม่ได้เรื่องของความคมเข้ม ต้องยอมรับก่อนเลยว่าก็สวย ผิวดี ถึงจะไม่ได้ขาวโอโม่ แต่ก็เนียนละเอียดน่าสัมผัส...สัมผัสเหรอ?
บ้าเอ๊ย! ผมรีบปล่อยมือออกจากต้นแขนเปลือยเปล่าทั้งสองข้างทันทีที่ดึงสติกลับมา เพราะเสื้อที่เธอสวมใส่เป็นเกาะอก บริเวณที่ผมแตะต้องเลยเป็นผิวเนื้อโดยตรง ต้องบอกก่อนเลยว่าปกติผมไม่ใช่คนชอบฉวยโอกาสกับผู้หญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีสติ...ยิ่งไม่อยากยุ่ง
ซึ่งความจริงตอนนี้ผมก็ควรจะไปได้แล้ว แต่...
“เมาแล้วอยาก…งี้เหรอ” ผมถามออกไปโต้งๆ ขณะยื่นมือทั้งสองข้างไปยันไว้กับขอบเคาน์เตอร์บาร์ แล้วลดความสูงลงเล็กน้อย ให้เท่าเทียมกับสาวปริศนาที่อยู่ระหว่างกลาง
“ไม่ได้เมาซะหน่อย แล้วก็ไม่ได้อยากด้วยค่ะ” เปลือกตาสีอ่อนกะพริบขึ้นลงอย่างเชื่องช้าพลางขมวดคิ้วเข้าหากันจนยุ่งเหยิง ก่อนจะเอนหลังไปจนแนบชิดกับเคาน์เตอร์บาร์ คล้ายกับอยากรักษาระยะห่าง และจากการกระทำเหล่านี้ทำให้ผมรู้ว่าเธอยังเหลือสติเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน
“…?”
“แค่อยากลองวันไนท์ อยากรู้ว่าจะรู้สึกยังไง” เธอว่า ตอนนี้มีความสงสัยเกิดขึ้นในหัวผมอย่างหนึ่ง ว่าไอ้การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้มันเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรืออยู่ในจิตใต้สำนึกกันแน่
“แล้วทำไมถึงเป็นฉัน” น่าแปลกนะ...ที่ผมขาดหวังคำตอบบางอย่างจากคนที่ไม่รู้จัก
“ก็…”
“หล่อ?” ผมแทรกขึ้นในช่วงจังหวะที่เธอเว้นช่วงหายใจพลางโน้มตัวลงมาในระดับเดียวกัน พร้อมกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมีชั้นเชิง เรื่องความเพอร์เฟคผมไม่เคยเป็นรองใคร แต่พออีกฝ่ายสั่นหน้าปฏิเสธรัวๆ แบบไม่แม้จะฉุกคิด เท่านั้นแหละ...ความมั่นใจผมหายวับไปกว่าครึ่ง
“ก็คุณเดินมาใกล้ ฉันเอื้อมถึงพอดี”
“...” ทุกอย่างภายในร่างกายตึงขึ้นทันควัน ถ้าจะพูดขนาดนี้เอาตีนมาเหยียบหน้าเลยก็ได้นะ! นี่มันยิ่งกว่าการบอกว่าผมไม่หล่อซะอีก...
อารมณ์แบบ ใครก็ได้ แต่มึงเดินพาพอดี ก็เลยเลือกมึง ถามจริง...มันได้เหรอวะ!?
“แต่ถ้าคุณไม่โสด ไม่เป็นไรนะ…ฉันไม่อยากยุ่งกับคนมีเจ้าของ”
“ทำไม โดนหักอกมาไง๊?” ตอนนี้เหมือนผมกลายเป็นผู้ร้ายที่จ้องหาหนทางเอาคืน
“เขาไม่ได้เรียกว่าหักอก...แต่มันเป็นการหักหลัง”
“ต่างกันตรงไหน สุดท้ายเธอก็มานั่งเสียใจจนน้ำตาตกในเหมือนเดิม” ผมแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ...เพราะสุดท้ายแล้วผู้หญิงก็ยังอ่อนไหวกับเรื่องไร้สาระพวกนี้อยู่วันยังค่ำ
“เหอะ! ก็ไม่ได้เสียใจขนาดนั้นนะ แค่เจ็บใจ! มากกว่า”
“คำแก้ตัวของคนอ่อนแอ แพ้แล้ว...แต่ไม่ยอมรับความจริง” คำถากถางของผมจบลงพร้อมกับร่างกายเซถอยไปหลายก้าว จากการที่คนฟังใช้มือผลักดันบริเวณช่วงใต้ไหปลาร้าทั้งสองข้างอย่างแรง
“แล้วคุณเป็นอะไรมากปะ...จะมาซ้ำเติมฉันเพื่อ!?” เจ้าของประโยคถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง ก่อนจะหมุนเก้าอี้เข้าหาเคาน์เตอร์บาร์ จากนั้นก็คว้าแก้วซ็อตที่ตั้งเรียงรายตรงหน้าขึ้นกรอกปากต่อเนื่อง
เธอคือผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมเกิดความลังเล ปลายนิ้วชี้ถูกเลื่อนขึ้นเกาข้างขมับหลายครั้ง ขณะกำลังตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี แต่ดูเหมือนคำพูดแทงใจดำของผมจะทำให้คนสภาพจิตใจอ่อนแอเร่งอัดของมึนเมาเข้าสู่ร่างกายไม่พักเลย และถ้ายังเป็นแบบนี้อีกสักไม่เกินชั่วโมง ร่วงแน่!
“พอแล้วมั่ง” ผมก้าวเข้าไปเอื้อมจับเรียวแขนเล็กข้างขวาไว้ก่อนแก้วที่สิบกว่าจะยกขึ้นถึงริมฝีปากบาง
“ไม่ต้องมายุ่ง!” ดวงตาคู่สวยตวัดมองแรงบวกน้ำเสียงแข็งกร้าว ทำเอาผมถึงกับผงะเล็กน้อย และมันทำให้ผมมีความคิดอยากจะปราบพยศแม่เสือน้อยนี่ผุดขึ้นมา
“ไม่อยากลองแล้วรึไง?”
“ไม่!”
“กลัว?” ผมจงใจโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ และดูเหมือนผมจะเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ
“มีอะไรให้ต้องกลัวเหรอ” ไม่ถอยหนี แถมยังเคลื่อนเข้าหา
“หึ! ตอนอยู่บนเตียง เก่งให้ได้แบบนี้นะ”
“ผมมีข้อเสนอ” สุดท้ายแล้วการเอาตัวรอดที่ถูกสั่งสอนมาก็ถูกงัดออกมาใช้กับอาจารย์ผู้สอนจนได้[ข้อเสนออะไร]“ผมจะล้มธารธาราให้ป๊า แลกกับอิสรภาพทั้งหมด ป๊ากับม้าจะไม่มีสิทธิ์บังคับอะไรผมทั้งนั้น” แน่นอนว่าผลประโยชน์สำหรับผมก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญสุดและผมไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นคนดี…[แกคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลย?]“ป๊าพูดมาก่อน ว่าตกลงไหม” เมื่อก่อนน่ะอาจจะใช่…มันไม่ง่าย แต่พอจับทางได้ เรื่องใหญ่เท่าภูเขาก็กลายเป็นเศษฝุ่นไปในพริบตา ยิ่งตอนนี้ผมมีหมากเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ต้องออกแรง มันง่ายซะยิ่งกว่าง่าย…[ได้ แต่ฉันมีเวลาให้แกแค่เดือนเดียวนะ]“ฮะ!...มันน้อยไปไหมป๊า” จากท่านั่งที่แสนสบายในตอนแรก บัดนี้แผ่นหลังตั้งตรงเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดขึ้นมาทันที ถึงจะมั่นใจแค่ไหนว่ามันต้องสำเร็จแน่ๆ แต่เวลาแค่นั้นมันน้อยเกินไป…[อิสรภาพของแก ม้าแกกำลังหาคนมาทำลายให้อยู่เลย]“ป๊าพูดเรื่องอะไร” คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย บวกกับอาการหวิวในใจแปลกๆ สิ่งเดียวที่ม้า
[บทบรรยาย : เหนือเมฆ]ช่วงสายวันจันทร์….@เมฆากรุ๊ปก๊อก!…ก๊อก!ประตูห้องทำงานถูกผลักเข้ามาหลังเสียงเคาะตามมารยาทจบลง ขณะที่ผมยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับรายละเอียดแพ็กเกจสินค้าใหม่ที่เมฆากรุ๊ปกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้“นี่ค่ะ ข้อมูลที่คุณเหนือต้องการ” ซองเอกสารสีน้ำตาลวางลงบนโต๊ะงานพร้อมกับน้ำเสียงสุภาพของหญิงสาวที่ควบทั้งตำแหน่งเลขาส่วนตัวและผู้ช่วยมากประสบการณ์ ต้องยอมรับนะว่าถ้าไม่ได้คุณรี การทำงานของผมคงดิ่งกว่านี้มาก“ขอบคุณครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองในตอนที่คุณรีถอยไปยืนห่างจากโต๊ะพอสมควร ก่อนคว้าเอาซองนั่นมาเปิดดู และเอาทุกอย่างออกมากองบนโต๊ะ ทั้งเอกสารที่แสดงถึงข้อมูลส่วนตัวและรูปถ่ายหลายใบทิชานันท์…“ธารศิริกุล…?” คราวนี้ผมเลิกคิ้วขึ้นมองผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย เมื่อรู้สึกคุ้นนามสกุลยัยเด็กแสบนั่น“ค่ะ เธอคือลูกสาวคนเดียวของคุณธารา”“...” คำตอบของคุณรีทำผมหลุดยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจและลากสายตากลับมาโฟกัส
“ใคร…” คนถูกถามหันมาสบตากัน“ก็คนที่ใส่เกาะอกสีโอลด์โรสนั่นไง”“แล้วจะอยากรู้ไปทำไม” เขาตอบกลับมาด้วยคำถาม ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่มือประคองพวงมาลัยถูกสับเปลี่ยน ข้อศอกขวายกค้ำกับประตูรถแทน แล้วใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยไปมาบริเวณข้างขมับตัวเองซ้ำๆ“งั้นพี่ไม่อยากรู้บ้างเหรอ ว่าพวกนั้นมันเป็นใคร แล้วทำไมถึงมารุมตีฉัน” มันเป็นเหมือนข้อแลกเปลี่ยน ถ้าสมมุติว่าเขาอยากรู้ ฉันก็จะบอก…เพื่อจะได้รู้ข้อมูลของเขาบ้างหากแต่…“ไม่ ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน”หน้าฉันชาวาบ “โห พูดขนาดนี้ ด่า ‘เสือก’ มาเลยเหอะ”ร้ายกาจ…ร้ายแบบขั้นสุด บทสนทนาของเราก็เลยจบลงตรงนี้ ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหนก็เหอะ แต่ใครจะกล้าถามต่อ“ก็ไม่เลวนะ” ประโยคที่ไร้ซึ่งการเกริ่นนำและความหมายดังขึ้นหลังจากเราปล่อยให้ความเงียบปกคลุมภายในรถเกือบนาที“...?” และฉันแค่ปรายตามองต้นเสียงด้วยความสงสัย“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ชื่ออะไรนะ แพรไห
หลังจากเขาลากฉันเดินออกมาจนถึงด้านรีเซฟชั่น…คนตัวสูงชะลอฝีเท้าลงจนนิ่งสนิทแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากัน ดวงตาคบกริบไล่มองเรือนร่างฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า เกิดเสียงถอนหายใจแรงและตามมาด้วยประโยคหนึ่ง“ตัวเท่าลูกหมา ทำซ่าส์”“เพราะพวกมันหมาหมู่ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับที่ฉันตัวเล็กกว่าซะหน่อย” ฉันรีบแย้งเสียงแข็ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลดระดับลงเล็กน้อย ด้วยเพราะขยับปากมากแล้วมันเกิดความรู้สึกจี๊ดๆ ส่งผลให้คนฟังถึงกลับหลุดหัวเราะหึหึในคอ“...!” พี่เหนือเขยิบเข้าใกล้ขึ้นอีกคืบ หมายถึงใกล้แบบปลายเท้าต่อกัน สัญชาตญาณมันร้องบอกให้ฉันก้าวถอยเพื่อรักษาระยะห่าง หากแต่ความเย็นจากปลายนิ้วสัมผัสบริเวณปลายค้างในวินาทีเดียวกันนั้นทำฉันลืมสิ่งที่จำเป็นต้องทำไปซะสนิทจากนั่นใบหน้าฉันก็ถูกบังคับให้เชิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เบี่ยงซ้ายทีขวาทีตามลำดับ ขณะใช้สายตาไล่สำรวจตามจุดที่น่าจะมีร่องรอยบอบช้ำไปด้วยอย่างข้างแก้ม…มุมปาก…กลีบปาก…ปิดท้ายด้วยการลากขึ้นมาสบตานิ่ง…จ
หมับมันต้องโดนอีกแน่ ถ้าอีสองตัวไม่พุ่งมาล็อกตัวฉันซะก่อน เอาจริงๆ ฉันถึงว่าตัวเล็กกว่าพวกมันมาก แค่เรื่องความสูงพวกมันก็กินขาดแล้ว มิหนำซ้ำยังมีการรุมเกิดขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้นคือไอ้ผู้ชายคนเดียวในที่นี้มันถอยหลังไปยืนพิงผนังดูหน้าตาเฉย ก็รู้นะว่าเลว…แต่ไม่ได้คิดว่าจะถึงขั้นนี้ไง เรียกว่าผู้ชายยังกระดากปาก แม่งเสียเวลาชีวิตช่วงที่คบกับมันฉิบหายตอนนั้นวิญญาณอะไรมันบังตาไว้วะ!?อีไอด้าตรงเข้าหาฉันพร้อมแสยะยิ้มชั่วร้าย“มึงเก่งเหรอ”“ก็เก่งไหมล่ะ สามต่อหนึ่ง”เพียะ!หน้าฉันหันไปตามแรงตบทันทีที่พูดจบ ก่อนหัวหน้าแก๊งผีจะเอื้อมมือมาบีบข้างแก้มฉัน บังคับให้หันไปสบตา“มึงคิดว่าจะมีใครมาช่วยมึง ในโรงแรมพ่อกูเหรอ”“กูก็ไม่ได้ร้องขอให้ใครมาช่วย” คำขู่แบบนั้นใช้ไม่ได้ผลกับคนอย่าง ทิชานันท์ หรอกนะจะบอกให้ ถึงมือฉันจะไม่สามารถใช้ได้ในตอนนี้ แต่เท้ายังไม่ได้ถูกควบคุม ฉันยกมันขึ้นและออกแรงยันอีคนที่อยู่ตรงหน้าเต็มแรงปึก!“โอ๊ย!...” ซึ่งมันถอยไปได้เพียงไ
หนึ่งเดือนต่อมา…@โรงแรม Pฉันยกแชมเปญชั้นเลิศขึ้นจิบขณะจ้องมองคู่บ่าวสาวบนเวที ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าเพื่อนรักอย่าง อีมิ จะมีรอยยิ้มสดใสขนาดนี้ สดใสชนิดที่ว่า…นำพาคนรอบข้างหลุดเข้าไปอยู่ในโลกเทพนิยายที่อบอวลไปด้วยดอกไม้นานาชนิด เช่นเดียวกับธีมงานในวันนี้องค์ประกอบโดยรวมทุกสิ่งอย่างมันทำให้ฉันและแขกเหลือในงานต่างพากันยิ้มตามไม่หยุด ยกเว้นก็แต่…“มึงว่ามันท้องรึเปล่าวะ”“นั้นสิ! รีบแต่งอะไรขนาดนั้น…”นั่นคือเสียงจากเหล่าสัมภเวสี…ซึ่งนำทีมโดยคู่อริคนชั่วคนเดิมของฉันแก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะเครื่องดื่มหลังจากสัมผัสถึงความร้อนวาบไหลผ่านลงคอในคราวเดียว ร่างกายหมุนกลับหลังเพื่อตรงไปยังประตูทางออกห้องจัดเลี้ยง แต่ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะแวะทักทายไอ้พวกผีเจาะปากมาพูดนั่นด้วย“เพื่อนกูมันยังไม่ได้ท้องหรอก มันแค่สวยน่ะ!” ฉันปรายตามองพวกมันพร้อมรอยยิ้มเหยียด ก่อนจะก้าวเดินต่อต้องโตมาแบบไหนวะ…ถึงไม่เคยรู้สึกยินดีกับใคร ขยะสังคมฉิบ!หม







