ถึงจะเป็นห้องวีไอพีขนาดเล็กสุด แต่ความบันเทิงก็มีให้อย่างครบครันไม่ต่างจากห้องใหญ่ ความสนุกถูกย่อให้เล็กลง ทว่ามันก็ยังตื่นตาตื่นใจอยู่ดี
เครื่องอำนวยความบันเทิงครบครันในทุกพื้นที่ของห้อง ทั้งโทรทัศน์พร้อมโหมดคาราโอเกะ โซฟาหนังตัวยาว ไฟดิสโก้เปลี่ยนสีทุกวินาทีเพิ่มความมึนเมา และอุปกรณ์เอนเตอร์เทนมากมาย
ทว่าทั้งหมดที่จัดแจงเอาไว้กลับแทบไม่ถูกใช้งาน พวกมันถูกตั้งเอาไว้นิ่งๆ และเป็นฝ่ายเฝ้าดูกิจกรรมสันทนาการในห้องแทน
ไฟถูกเปิดไม่ให้สว่างเกินไป หน้าจอโทรทัศน์ดับมืดทำหน้าที่สะท้อนภาพสยิวแทนกระจก มีเพียงโซฟาเท่านั้นที่ถูกใช้งาน
ชายร่างใหญ่ปลดกระดุมออกจนหมดเพื่อระบายความอัดอั้น กางเกงเข้ารูปสีนาวีถูกปลดกองไว้ที่หน้าแข้ง มือทั้งสองวางพาดบนพนักพิงด้วยท่าทีสบายๆ
หว่างขามีชายใส่แว่นง่วนอยู่กับการพยายามจับดุ้นยักษ์เข้าปาก แต่การกระแทกอย่างไม่หยุดยั้งจากด้านหลัง ทำให้เรื่องง่ายๆยากขึ้น
“อึก… ” น้ำลายเจิ่งนองถูกลอบกลืนลงคอยามดุ้นยักษ์หลุดออกจากโพรงปาก และตามมาด้วยเสียงสำลักยามมันถูกกลืนกลับไปจนเกือบทะลุคอหอย “อ๊อก… อ่อก…”
แท่งหนาใหญ่ยืดแข็งตัวตระหง่านเหนือชายใส่แว่น เส้นเลือดที่พันรอบลำเต้นตุบๆ ทว่ามันกลับไม่ได้อุ่นตามที่ปกติควรจะเป็น
“ใช่แน่!” ดันเต้พึมพำในขณะที่ปล่อยให้ชายใส่แว่นชำเราร่างกายโดยสมัครใจ “มันต้องเป็นคำสาปอะไรสักอย่างไม่ผิดแน่”
คิ้วดกดำเงาวับของดันเต้ขมวดชนกัน พลางคิดถึงช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกับมิวเมื่อคืนก่อน บางอย่างในตัวของชายคนนั้นผิดแปลกไปจากผู้อื่น มันมำให้เขาหมกมุ่นอย่างไม่เคยเป็นกับผู้ใด
เสียงครางกระเส่าจากชายตรงหน้าทั้งสองไม่อาจบั่นทอนสมาธิของปีศาจ ในหัวจดจ่ออยู่กับชายผิวขาวผ่องที่เขาคอยตามติดมาระยะหนึ่ง มันมีเรื่องที่ชวนให้สมองอันน้อยนิดของเขาคิดไม่ตก
เดิมทีดันเต้ตั้งจจะอยู่กับอาร์เต้ประเดี๋ยวประด๋าว ทว่าอสูรร่างหนุ่มกลับได้กลิ่นพิเศษติดตามตัวอาร์เต้ กลิ่นหอมหวานซ่อนเปรี้ยวที่เขาไม่ได้เจอมานานมากแล้ว
ในตอนแรกดันเต้คิดว่ามันเป็นกลิ่นของอาร์เต้ จนกระทั่งมันเริ่มเหือดหายหลังจากผ่านไปหลายวัน เขาจึงรู้ว่ากลิ่นนี้อาจติดมาจากคนอื่น และคำตอบนั้นก็แวะมาหาอสูรจอมเขมือบกามถึงที่
“อึก! โอ๊ย! ระวังฟันหน่อยสิ! วิธีการเรียกร้องความสนใจของนายแย่มาก” ดันเต้สะดุ้งเฮือก ความคิดในหัวพลันสลายไปในพริบตา “ถึงฉันจะแข็แกร่งแต่ไอ้นั่นของฉันบอบบางและอ่อนไหวนะ”
“ขอ… ขอโทษ แฮกๆ” หนุ่มแว่นหายใจหอบถี่ “ผมไม่เคยเจอของใหญ่ขนาดนี้มาก่อน”
“และชาตินี้นายก็คงไม่มีวันได้เจอ” ปีศาจแสยะยิ้มอย่างภูมิใจ “แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้าง”
“อืม… ฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลย” หนุ่มแว่นส่งสายตาออดอ้อนในขณะที่คนข้างหลังตะบี้ตะบันรูสวาทของเขาไม่หยุดพัก
“รู้ไปก็เท่านั้น ไม่นานนายก็ลืม”
“แล้วนายอยากรู้ชื่อ… อึก… ของฉันไหม?” หนุ่มแว่นพูดพลางดูดกลืนส่วนหัวที่บานใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย ราวกับกำลังดื่มด่ำกับช็อกโกแลตแท่งที่ไม่มีวันละลาย
“ไม่!” ดันเต้คำราม “รู้จักชื่อก็จะผูกพันกันเปล่าๆ หมอเก็บปากไว้ทำเรื่องสนุกๆให้ฉันดีกว่า”
ด้วยความรำคาญและไม่อยากได้ยินเสียงอู้อี้ให้เสียอารมณ์ ดันเต้ใช้มือใหญ่ใหญ่โตจับท้ายทอยของหนุ่มแว่น ออกแรงกดมันลงไปจนอีกฝ่ายเกือบสำรอก
เนื้อท่อนยักษ์แทงลึกลงไปจนถึงคอ น้ำลายยืดไหลจากคางลงไปถึงพื้น ร่างกายบอบบางของหนุ่มแว่นถูกอัดแน่นทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกัน
“ฉะ… ฉัน จะแตก” ชายหน้าตี๋ข้างหลังโอดร้องอย่างทุรนทุราย ในขณะที่สะโพกรัวจนตัวเซถลา ความสุขสมประดังประเดถาโถมร่างบางนั้นจนสั่นสะท้าน “จะแตกแล้ว”
“รวมเอาไว้ข้างในตัวหมอนั่นแหละ” ดันเต้เลียริมฝีปาก “เดี๋ยวฉันค่อยไปจัดการทีเดียวตอนจบ”
“อืม… ซี้ด!... อ้าาาาา” เสียงครางดังยาวจนสุดลมปอด
ภายในตัวหมอร้อนระอุเมื่อปล่องภูเขาไฟพ่นลาวาสีขาวขุ่นเข้าไป ตัวกระตุกตามระลอกของการปลดปล่อย เม็ดเหงื่อคละคลุ้งกับสารคัดหลั่งจากร่างกายจนแยกไม่ออกว่าอะไรมาจากส่วนไหน
น้ำเชื้อเก่าที่อัดแน่นคั่งค้างอยู่เดิมล้นทะลักออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่องทางคับแคบแม้จะหิวกระหายมากเพียงใดก็ไม่อาจรองรับทั้งหมด
“เอาล่ะ! เหมือนว่าใกล้จะเลิกงานแล้ว ฉันไม่อยากทำโอทีด้วยสิ” ดันเต้เชยคางของหนุ่มแว่นขึ้น พลางมอบจูบอาบยาพิษ
น้ำลายหนืดเหนียวถูกกลืนลงคออย่างเชื่องช้า หัวเข่าของที่ยีนอยู่บนพรมของหนุ่มแว่นสั่นสะท้าน ท่อนเนื้อสีสวยคายของเหลวขาวใสออกมาเป็นทาง ยืดจนถึงเบื้องล่างโดยสายไม่ขาดออกจากกัน
“วันนี้ฉันน่าจะได้จนเพียงพอแล้วล่ะ” ดันเต้ตบแก้มของหนุ่มแว่นเบาๆ นัยน์ตาทอแสงสีทองเป็นประกายเรืองรอง “นายยังไหวอยู่ใช่ไหม?”
ชายตรงหน้าขยับแว่นที่เอียงกระเท่เร่ให้ตั้งตรง พลางหยักหัวหงึกๆ ใบหน้าเหยเกอุ่นวูบวาบลามไปถึงหูทั้งสองข้าง หน้าอกกระเพื่อมจากอาการเหนื่อยหอบ หัวนมตั้งแข็งชูชันบ่งบอกถึงอารมณ์ความอยาก
อสูรยักษ์ลุกขึ้นจากโซฟาสะบัดกางเกงที่ไม่ถูกใช้งานทิ้งไว้ข้างๆ เขาเดินอ้อมไปยังด้านหลังก่อนจะโน้มตัวเข้าหาหนุ่มตี๋ที่ตัวผูกติดกับอีกร่างจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้
“ฉันขออีกรอบแล้วนะ”
พูดจบดันเต้ก็อ้าปากแลบลิ้นจนยาว ชายตาขีดอ้าปากยื่นริมฝีปากเข้าหาทันที
เสียงจูบดูดดื่มดังระงมทั่วทั้งห้องที่บุเอาไว้อย่างดี กลิ่นหอมประหลาดทวีความเข้มข้น มนุษย์ทั้งสองถูกม่านหมอกปิดกั้นความรู้ผิดชอบ ปล่อยสัญชาตญาณให้โลดแล่นเหนือความคิด
นิ้วหนาใหญ่จรดแผ่วเบาบนหน้าท้องขาวบาง ความร้อนเร่าแล่นไปทั่วร่างโดยพลัน หนุ่มตี๋เบิกตาลีบเล็กจนกว้างออก ลมหายใจขาดห้วงชั่วขณะ
ท่อนเนื้อที่มีทีท่าจะอ่อนแรงผงาดกล้าอีกครั้งภายในร่างอันอุ่นร้อนของหมอ รูสวาทสีแดงก่ำโชกไปด้วยฟองขาวขุ่น
ดันเต้เดินอ้อมไปด้านหลังของหนุ่มตี๋ เขาทิ้งหัวเข่าวางบนพื้นพรมหนานุ่ม ฉีกขาทั้งสองจนได้ส่วนสูงที่พอดี ก่อนจะกำท่อนเนื้อมหึมาเอาไว้ในมือจนแน่น
มือหนาใหญ่อีกข้างคล้องคอชายอีกคนจากด้านหลัง ฉุดรั้งร่างอ่อนแอกว่าให้โน้มเข้าหาแผ่นอกกำยำ “เจ็บหน่อยนะ แต่แค่แป๊บเดียว… เชื่อฉัน”
ดันเต้แจ้งเตือนพลางยัดส่วนหัวบวมใหญ่เข้าไปในซอกหลืบ เขาครางกระเส่าแผ่วเบาในขณะที่แก้มก้นทั้งสองพยายามบีบรัดท่อนเนื้อไม่ให้รุกล้ำ
“ผ่อนคลายไว้”
“แต่ฉัน… ” หนุ่มตี๋เสียงสั่นเครือขณะที่ท่อนยักษ์แทรกตัวเข้าไปจ่อยังรูสวาท รอยแยกขมิบเข้าหากันด้วยความตื่นเต้น “ฉันไม่…”
“ไม่ต้องห่วงน่า ความรู้สึกมันไม่ต่างจากตอนนายนั่งขย่มไอ้จ้อนให้ชู้นั่นแหละ หึหึ” ดันเต้หัวเราะในลำคอ “เพื่อนสนิทของหมอใช่ไหมล่ะ นายเข้าใจเลือกคนแก้เหงานะ”
ความลับถูกเปิดออกมาท่ามกลางความมึนงง สำหรับมนุษย์ทั้งคู่ไม่ว่าจะได้เห็นหรือได้ยินอะไร ช่วงเวลานี้ก็เปรียบเสมือนความฝันเลือนรางเท่า แยกแยะไม่ออกระหว่างเรื่องจริงหรือการโป้ปด
“แต่ใหญ่ขนาดนี้…” หนุ่มหนาตี๋อึกอัก ลมหายใจอุ่นขึ้นเรื่อยๆ
“ชู่!” ดันเต้ปลอบประโลมในขณะที่ส่วนหัวบวมเป่งแทรกผ่านช่องบางรัดแน่นเข้าไปอย่างช้า “แล้วนายจะทึ่งกับสิ่งที่นายทำได้”
เอวหนาแกร่งค่อยๆขยับประะชิดร่างบอบบางข้างหนา ใบหน้าหยิ่งจองหองของปีศาจบิดเบี้ยวด้วยความเสียวกระสัน
ท่อนลำขนาดเขื่องค่อยๆสอดผ่านร่างที่สั่นกระตุกเข้าไปเรื่อยๆ ช่องทางคับแคบฉีกขยายออกอย่างช้า จากการเคลื่อนไหว
ส่วนกลางของลำลึงค์ทั้งหนาและใหญ่หยุดชั่วครู่ เมื่อฝ่ายที่รับเข้าไปเริ่มหายใจไม่ค่อยออก
“อย่างเกร็ง” ดันเต้กระซิบข้างใบหู “ฉันรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่นายกำลังจะผ่านช่วงที่ยากที่สุดไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มหน้าตี๋อ้าปากค้างไว้ปล่อยร่างกายให้คุ้นชินกับความเจ็บปวด
“ดีมากคนเก่ง”
สะโพกของดันเต้เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง ชายในอ้อมแขนตัวสั่นเทิ้มไม่อาจขยับหนีความเสียดตึงจากด้านล่าง เหงื่อแตกทั่วทั้งร่างบอบบาง
ยิ่งด้านหลังปวดแน่นด้านหน้าก็ยิ่งเสียวซ่าน หนุ่มตี๋กัดฟันโอบรับท่อนเนื้อขนาดเขื่องเข้าไปในกายจนหมด ประกายไฟระยิบระยับเต็มช่องท้องลามลงไปขา
“ฉันบอกแล้วว่านายจะต้องทำได้”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด