ใครก็ตามที่รู้จักกับดันเต้มาได้สักระยะหนึ่ง จะรู้ได้ว่าพฤติกรรมรวมถึงคำพูดไม่เหมือนคนทั่วไปของเขานั้น เกิดจากการที่เขาไม่ใช่มนุษย์ และหากความทรงจำไม่เลอะเลือนไปเสียก่อนจะจำได้ว่าชายร่างสูง้กือบสองเมตรคนนี้เป็น ‘*ปีศาจคิวบัส’
งานหลักของอมนุษย์พวกนี้คือการปลุกปั่นอารมณ์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงาน ทำให้การดำรงอยู่ของนายเหนือหัวของพวกมันเป็นนิจนิรันดร์
ยิ่งทำให้มนุษย์เกิดอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของตัวเองได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้นายเหนือหัวของพวกมันเข้มแข็งมากขึ้นตามไปด้วย และจะตามมาด้วยการก่อเกิดปีศาจได้อย่างไม่รู้จบ เป็นวัฏจักรในโลกลี้ลับที่หมุนเวียนแบบนี้มาช้านาน
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือจุดประสงค์หลักจุดประสงค์เดียวที่ทำให้ดันเต้มีตัวตน การทำงานมานับร้อยหรือนับพันปีเช่นนี้ จะพูดว่าเบื่อก็คงบอกได้ไม่เต็มปาก เพราะอสูรเสพกามอย่างเขาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองเจตจำนงอย่างอื่น การอยู่เพื่อทำหน้าที่ของตนจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกึ่งอมตะ
เมื่อก่อนดันเต้มักสิงสู่อยู่แต่ในความฝัน โดยเฉพาะช่วงยุคกลาง… เมื่อมีชายบ้าอำนาจคนหนึ่งองดอ้างว่าตนวิเศษวิโสกว่าคนอื่น ขีดเส้นความดีและความชั่วให้ผู้คนเลือกฝั่ง และช่วงนั้นเองที่การร่วมเพศถูกจัดระเบียบอย่างมีแบบแผน จากเรื่องธรรมชาติกลายเป็นการตัดสินของบาปไปโดยปริยาย
สำหรับดันเต้ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่สนุกเอาเสียเลย ผู้คนก็พยายามอดกลั้นอารมณ์หื่นกระหายเอาไว้ให้ลึกสุดของความคิด เขาเปรียบเปรยว่ามันเหมือนยุคมืดสำหรับปีศาจอย่างเขา ที่ต้องซ่อนตัวอย่างมิดชิดจากโลกแห่งความเป็นจริง
จนเมื่อวันเวลาผ่านไปมนุษย์ก็พ่ายแพ้ให้กับธรรมชาติ เซ็กซ์กลับมามีสีสันสนุกสนานอีกครั้ง แม้บางพื้นที่จะยังถูกต่อต้านจากความคิดคร่ำครึก็ตาม
การอาศัยกลมกลืนไปกับผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่ดันเต้พอกล้อมแกล้มไปได้ แต่การต้องมาทำงานกับมนุษย์นี่สิ เขาแทบไม่ทำเรื่องอะไรทำนองนี้ด้วยความจริงจังมาหลายร้อยปีแล้ว
หากไม่ใช่เพราะบางอย่างในตัวของมิวดึงดูดดันเต้ให้เข้าหา อสูรชายร่างใหญ่คงไม่มาทำงานหาเงินที่เขาไม่จำเป็นต้องใช้ และเขาคงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของอมอร์
ตามปกติแล้วปีศาจอย่างดันเต้จะอยู่เป็นหลักแหล่ง หลายร้อยปีถึงจะย้ายสักครั้งหนึ่ง ต่างจากพวกเทพที่อยู่ไม่กี่สิบปีก็ย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย
ดังนั้นดันเต้ผู้ซึ่งหากินอยู่ละแวกนี้มานานจึงคุ้นเคยกับพื้นที่ตรงนี้เป็นอย่างดี ทว่าเขาก็กลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึง ‘อมอร์’
คนอื่นอาจมองบาร์โฮสต์แห่งนี้เป็นสถานบันเทิงเริงรมย์ แต่ดันเต้มองที่นี่เสมือนห้องอาหารที่จัดบุฟเฟ่ต์ตลอดทั้งคืน ไม่เพียงแต่เขาจะชื่นชอบที่อโคจรแบบอมอร์ เพื่อนปีศาจที่แบ่งปันพื้นที่ร่วมกันน่าจะโปรดปรานไม่ใช่น้อย
กลิ่นคาวของตัณหาราคะ กลิ่นหอมหวานของความสนุกสนาน คละคลุ้งเสียจนปีศาจจอมหื่นอย่างเขาไม่ต้องแวะไปที่ไหนอีกแล้ว
ทว่าก็น่าแปลก… บุฟเฟ่ต์พลังงานขนาดใหญ่อย่างนี้ ดันเต้กลับไม่เห็นปีศาจสักคน มีก็แต่มนุษย์เพียงเท่านั้น
ในขณะที่หลายคนกระวีกระวาดวุ่นวายอยู่ในห้องแคบๆ อมนุษย์ผู้แนบเนียนอย่างดันเต้กลับยืนอยู่หน้ากระจกอย่างผ่อนคลาย
ชายร่างสูงชะลูดสวมชุดสุภาพที่เหมือนยูนิฟอร์มของทางร้าน เสื้อเชิ้ตสีขาวแน่นรัดจนกระดุมส่วนหน้าอกแทบรั้งกันไว้ไม่ติด
กางเกงขายาวสีนาวีเนื้อผ้าลื่นมันเข้ารูป เน้นรัดเพื่อขับเน้นบางส่วนให้นูนเด่นชัดเจน และรองรับการเคลื่อนไหวในทุกท่วงท่าให้ยั่วยวน โดยเฉพาะชายร่างกำยำอย่างดันเต้ ผู้เปี่ยมไปด้วยเนื้อ นม ไข่ และสะโพก ยิ่งตกเป็นเป้าสายตาได้ง่าย
ไม่นานม่านการแสดงถูกเปิดออก เป็นเอกเข้ามาต้อนเหล่าฝูงแกะให้ออกไปหาหญ้ากิน ดันเต้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาถูกเรียกให้ไปทำหน้าที่
เวทีขนาดใหญ่ถูกใช้เป็นลานประมูล มีบันไดทั้งสองฝั่งทอดยาวลงมายังกลางเวที ข้างบนมีพนักงานชายหน้าตาจิ้มลิ้มรูปร่างงดงามยืนรอเรียกคิวให้เป็นเอกขานชื่อ ถึงจะได้เดินลงมาโชว์ตัวเพื่อให้ลูกค้ายลโฉม
“คนต่อไป… ดันเต้!” เป็นเอกขานชื่อเป็นคิวกลางๆ “น้องใหม่แกะกล่องของเราในคืนนี้ ถึจะมาใหม่แต่เสน่ห์อันเหลือร้ายของเขาจะทำให้ทุกคนเพลิดเพลิน ใครพร้อมเปิดซิงเด็กหนุ่มหน้ามนทรงแบดบอยแล้ว… กำป้ายในมือให้แน่นๆนะครับ บอกเลยคนนี้ดาวรุ่งพุ่งแรงคนใหม่ของอมอร์แน่นอนครับ”
ชายร่างสูงเกือบสองเมตรค่อยๆก้าวบันไดลงมาอย่างเชื่องช้า แสงไฟสาดส่องจนผิวเนียนละเอียดนั้นเปล่งออร่าจางๆออกมา ต้นแขนและต้นขารัดแน่นอยู่ภายใต้เนื้อผ้าเบาบาง
“มีโต๊ะไหนสนใจบ้างไหมครับ น้องใหม่ของเราคนนี้เริ่มเปิดที่สี่ดื่มครับ โต๊ะข้างหลังยกป้ายใช่ไหมครับ มีใครสนใจให้มากกว่านี้ไหมครับ ยกป้ายขึ้นมาได้เลยนะครับ… เราจะบิตครั้งละสองดื่มนะครับ… โต๊ะข้างหน้านะครับ หกดื่มแล้วนะครับ มีใครสนใจน้องคนนี้ไหมครับ” เป็นเอกประกาศออกไมค์เชียร์ “ดูน้องเขาสิครับ สูงขนาดนี้ หุ่นแน่นขนาดนี้ หน้าอกเป็นมัดหน้าท้องเป็นลูก ใครประมูลได้ไปลองขอน้องจับดูได้นะครับ แข็งปั๊กทุกส่วน ดูเส้นเลือดที่แขนเขาสิครับ อื้อฮือ… ตรงอื่นจะขนาดไหน”
ความสนใจที่ได้รับนั้นผิดคาดจากสิ่งที่ดันเต้คิดเอาไว้ อาจเพราะเสน่ห์ของปีศาจอย่างเขาก็ข้อจำกัดเช่นเดียวกับทุกอย่างบนโลก
เวทมนตร์นั้นเจือจางอยู่ลมหายใจและกลิ่นที่แทรกซึมผ่านผิวหนังของคิวบัส ฉะนั้นการมองไม่อาจทำให้เสน่ห์ยั่วยวนเกิดผลอย่างเต็มที่
ดันเต้รู้จุดอ่อนข้อนี้ดีนั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยชอบถ่ายรูป ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวขาลงจากเวทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สปอตไลต์แสงนวลส่องตามไปด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! จะทำอะไร” เป็นเอกปิดสวิตช์ไมค์ “บล็อกกิ้งมันไม่ใช่แบบนี้ กลับขึ้นมาบนเวที ดันเต้!”
คำปรามไม่อาจส่งต่อจิตใจอันเด็ดเดี่ยว ดันเต้รู้วิธีจัดการหากอยากได้อะไร เขาเป็นปีศาจนักล่าผู้จองหอง และเสน่ห์ยั่วยวนคืองานถนัดของเขา
กลิ่นหอมประหลาดค่อยๆโชยผ่านทุกโต๊ะที่ดันเต้เดินผ่าน เพียงแค่รอยยิ้มและการขยิบตาเล็กน้อย ป้ายก็จะถูกชูสูงขึ้น
“คุณพี่ยกป้ายนะครับ” เป็นเอกเปิดไมค์อีกครั้ง “ตอนนี้อยู่ที่แปดดื่มแล้วนะครับ”
ความกระตือรือร้นก่อเกิดความอลหม่านไปทั่ว ป้ายสีขาวถูกชูค้างเอาไว้ เสียงตะโกนโหวกเหวกดังระงมไม่ต่างจากตลาดขายอาหารสด
“ยี่สิบดื่ม”
“ยี่สิบห้า”
“ยี่สิบแปดค่ะ”
ตัวเลขเปลี่ยนผันเร็วไม่ต่างจากดวงตาของเป็นเอก เขากวาดสายตาโดยรอบเพื่อไม่ให้ตกหล่น รอยยิ้มอวดกว้างจนเกือบถึงใบหู
ทว่าการประมูลอันดุเดือดก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของดันเต้เท่าไหร่นัก การเห็นว่าเสน่ห์ของเขายังใช้ได้อยู่ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อมั่นใจว่าจะไม่เสียชื่อปีศาจแห่งตัณหาแล้ว ดันเต้ก็มองหาจุดประสงค์ถัดมา คืนนี้ดันเต้เสียพลังงานไปเยอะเพื่อสร้างความประทับใจ ดังนั้นเขาต้องการเหยื่อสำหรับการเก็บเกี่ยว
ดวงตาปีศาจเรืองรองเป็นสีทองอ่อนๆ มองไปยังรอบห้องโถงอันกวา้งใหญ่ ไม่นานก็สะดุดกับชายใส่แว่นรูปงามที่ซ่อนตัวอยู่เกือบหลังสุด
คืนนี้เขาจะเป็นผู้เลือก… เมื่อคิดดังนั้นดันเต้ก็เดินด้วยความขึงขังมุ่งไปยังเป้าหมาย อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าโดนเพ่งเล็งอยู่ จึงมองกลับด้วยความเขินอาย
ดันเต้ทิ้งตัวลงนั่งอย่างอาดๆลงบนโซฟาชุดทรงกลม กลิ่นหอมทวีความรุนแรงออกจากกายหยาบ เหมือนพิษร้ายจากอสรพิษที่ต้องปล่อยก่อนเขมือบเหยื่อ
“ห้าสิบ”
เสียงตัวเลขข้างหลังยังพุ่งสูงขึ้นไม่มีทีท่าจะหยุด
“หมอครับ! คืนนี้จะให้เกียรติอยู่กับฉันได้ไหม” เสียงนุ่มทุ้มของดันเต้ทำเอาชายใส่แว่นใบหน้าแดงก่ำ เขาถามไปโดยที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นหมอ?”
“คงเพราะฉันอ่านคนเก่ง” ดันเต้ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปหาชายอีกคนที่นั่งข้างชายใส่แว่น “แฟนคุณหมอจะว่าอะไรไหม ถ้าคืนนี้พวกเราจะหาอะไรสนุกๆทำด้วยกัน”
ชายทั้งคู่มองหน้ากันโดยไม่ตั้งใจ ชีพจรเต้นเร่า สมองพร่าเบลอขาดการยั้งคิด เหลือเพียงเป้าหมายเดียวคือการครอบครองชายตรงหน้า
“หนึ่งร้อยห้าสิบดื่มครับ”
ชายใส่แว่นชูป้ายเพื่อจบทุกความวุ่นวายด้วยสายตาอันว่างเปล่า หมอกขมุกขมัวหนาทึบลอยวนบดบังความคิด ความร้อนเริ่มพวยพุ่งจากการสูดลมหายใจอันเข้มข้นจากดันเต้
“หนึ่งร้อยห้าสิบดื่มมีใครสู้ไหมครับ?” เป็นเอกยืนประกาศอยู่บนเวที “หนึ่งร้อยห้าสิบครั้งที่หนึ่ง… หนึ่งร้อยห้าสิบครั้งที่สอง… ถ้าไม่มีใครสู้ผมจะเรียกน้องคนใหม่เข้ามาแล้วนะครับ… และ… หนึ่งร้อยห้าสิบครั้งที่… สาม”
“สนใจเปิดห้องวีไอพีด้วยไหมครับ… พวกเราจะได้อะไรสนุกๆกันได้สะดวก”
มารสิงฝันเลียริมฝีปากจนชุ่มชื่น นัยน์ตาทอแสงสีเหลือง
—---------------------
*คิวบัสเป็นปีศาจไร้เพศ สามารถแปลงกายเป็นผู้หญิงซึ่งจะถูกเรียกว่า ‘ซัคคิวบัส’ หรือหากแปลงกายเป็นผู้ชายจะถูกเรียกว่า ‘อินคิวบัส’ ซึ่งอยู่ที่ว่าเหยื่อจะชอบเพศไหน
หากเป็นพวกคิวบัสเองมักนิยมเสพสังวาสกับเหยื่อผู้ชาย เพราะว่าน้ำเชื้อของผู้ชายให้พลังงานชีวิต ส่วนเหยื่อผู้หญิงการหลับนอนกับพวกเธอนั้นจะเป็นไปเพื่อความพึงพอใจเท่านั้น
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด