วันเวลาหลังจากย้ายแผนกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็จะครบหนึ่งเดือนแล้ว คาริสาพบว่างานเลขาส่วนตัวของศรุตไม่ได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเรียบง่าย สิ่งที่ต้องมีคือสติและความจำอันเยี่ยมยอด ซึ่งต้องขอบคุณที่เธอไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งนันทิยาก็เป็นครูสอนงานที่ดี แม้คาริสาจะบกพร่องและทำผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่เคยตีหน้ายักษ์ใส่เลยสักครั้ง ส่วนศรุตก็ทำตัวเป็นเจ้านายไปตามปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีหรือดูแลเธอเป็นพิเศษ นับว่าพี่ชายเลี้ยงของเธอค่อนข้างรู้งาน เลยไม่มีสาว ๆ ที่หมายปองเขามาเขม่นเธออย่างที่กลัวแต่ทีแรก ด้วยเหตุนี้การฝึกงานจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
“ริสา ช่วยเอาเอกสารนี้ไปให้คุณศรุตเซ็นที อ้อ! นี่เป็นเอกสารด่วนนะ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
“สบายมากค่ะพี่นัท” คาริสาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มสีดำมา แล้วลุกขึ้น เดินเข้าไปภายในห้องทำงานของศรุต
พอเห็นหน้าพี่ชายเลี้ยงก็ยิ้มหวาน วางเอกสารลงตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล แล้วส่งสายตารอคอย
“เอกสารด่วนละสิ”
“แหม...ถ้าพี่ศรุตไปเป็นพ่อหมอ ต้องดังแน่ ๆ”
“ความจริงริสาไม่ต้องใช้มุกเอาใจเจ้านายตามแบบฉบับคุณนัทก็ได้ ยังไงพี่ก็ไม่กินหัวเราหรอก”
“แหะ ๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ หรือพี่ศรุตอยากให้ริสาทำหน้าตูมตอนเดินเข้ามา”
“ต่อให้ทำหน้าตูม ก็ยังน่ารักอยู่ดี” ศรุตหลุบสายตาลง พึมพำเบา ๆ
“พี่ศรุตว่าอะไรนะคะ” คาริสาได้ยินไม่ถนัด
“มะ...ไม่มีอะไร ริสารอพี่แป๊บหนึ่งนะคะ ต่อให้บอกว่าด่วน ยังไงพี่ก็ต้องอ่านก่อน”
“ริสาเข้าใจค่ะ” เดิมทีคาริสาก็นึกชื่นชมศรุตอยู่แล้ว
“ไปนั่งรอบนโซฟาก่อนก็ได้”
“ไม่ดีมั้งคะ” คาริสารู้สึกว่านี่เป็นเวลางาน เธอไม่ควรทำตัวตามสบายจนเกินไป
“ไปนั่งเถอะ ไม่ต้องมายืนกดดันพี่อยู่ตรงนี้หรอก” ศรุตรู้สึกกดดันจริง ๆ ก็คนที่ตัวเองชอบมายืนยิ้มน่ารักอยู่ข้าง ๆ ใครที่ไหนจะไปมีสมาธิอ่านเอกสาร
“งั้น ริสาไปนั่งก็ได้” คาริสาหมุนตัว เดินไปทางโซฟาหนังสีดำตัวใหญ่ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง แล้วทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่วงท่าสบาย ๆ แต่ก็อดปรายสายตามองศรุตอย่างชื่นชมไม่ได้ เธอจำได้ว่าตั้งแต่เขาเข้ามารับตำแหน่ง CEO ของบริษัท บิดาก็เบาแรงลงไปได้มาก สืบเนื่องมาจากการที่เขาตัดสินใจเปลี่ยนระบบทุกอย่างให้ทันสมัยขึ้น ทำให้ระบบการทำงานรวดเร็วว่องไว ยังไม่รวมถึงวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยม พนักงานทุกคนจึงให้การยอมรับในตัวเจ้านายหนุ่มคนนี้อย่างไม่ยากเย็น
ผ่านไปครู่ใหญ่ ศรุตที่เซ็นเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมา
“เสร็จแล้วครับคุณเลขา”
“อะ...ขอบคุณค่ะบอส” คาริสากระเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา เดินฉับ ๆ เข้าไปคว้าแฟ้มจากโต๊ะทำงานของศรุตอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับว่าเธอทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ก่อนที่คาริสาจะก้าวออกจากประตูห้อง ศรุตก็ส่งเสียงเรียกเธอเอาไว้ก่อน
“เย็นนี้ริสาว่างหรือเปล่า ไปกินข้าวด้วยกันนะ” ศรุตพยายามคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไปกินข้าวกับหล่อนเสียเมื่อไหร่ แต่เมื่อเทียบกับนัดธรรมดาครั้งก่อน ๆ คราวนี้เขาหวังจะสร้างความประทับใจให้เธอ ย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา
“เสียใจด้วยค่ะบอส วันนี้เลขาคนสวยมีนัดแล้ว”
“มีนัดแล้ว! ใคร...กับใคร”
“ทำไมพี่ศรุตต้องตกใจขนาดนั้น” คาริสาเอียงคอถาม รู้สึกงุนงงกับท่าทีของเขาอยู่บ้าง
“ก็...พี่ไม่เคยรู้มาก่อนนี่นาว่า...ว่าริสามีคู่เดต” มาคิดอีกที ศรุตก็รู้สึกตัวว่าตัวเองดูตื่นตระหนกเกินไป จึงรีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ
“คู่เดต? โอ๊ย! มีก็ดีสิคะ” คาริสาหัวเราะเบา ๆ
“อ้าว! ไม่ใช่หรอกเหรอ”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ริสาแค่จะไปดื่มกับเพื่อน ๆ เท่านั้นเองค่ะ”
“อ้อ! อย่างงี้นี่เอง” ศรุตยิ้มอย่างโล่งอก “ยังไงเดี๋ยวพี่ไปส่ง แล้วรอรับเรากลับเลย กลางค่ำกลางคืน เป็นผู้หญิงนั่งแท็กซี่คนเดียวมันอันตราย พี่เป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ริสานัดยายกุ๊กกิ๊กไว้แล้ว กะจะไปนอนค้างที่คอนโดใหม่ของนางด้วยเลย”
“งั้น ให้พี่ไปส่งที่ร้านนะคะ” ศรุตยังไม่ยอมแพ้ เพราะตั้งใจว่าต่อไปนี้เขาจะดูแลเอาใจใส่คาริสาให้มากขึ้น ศรุตเชื่อว่าเธอเองก็รู้สึกดีกับเขาเช่นกัน เพียงแค่ที่ผ่านมาเขาระมัดระวัง รักษาความสัมพันธ์ให้อยู่ในกรอบ ความเป็นพี่น้อง มาโดยตลอด ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอไม่คืบหน้า แต่ตอนนี้ศรันย์เปิดไฟเขียวแล้ว เขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสทำคะแนนอีกเป็นอันขาด
“อย่าเลยค่ะ ถ้ามีคนเห็นริสานั่งรถออกไปกับพี่ศรุตตอนเลิกงาน คงไม่ดีแน่ ๆ”
ศรุตไม่ตอบ แต่หันไปยกหูโทรศัพท์ภายในขึ้นมา
“คุณนัท ช่วงบ่ายวันนี้ผมจะพาริสาไปพบลูกค้าด้วยกัน...ไม่เป็นไร ไม่ได้สำคัญมาก ผมว่าริสาน่าจะรับมือไหว...อืม ตามนั้น” พอพูดจบ CEO หนุ่มก็วางหูโทรศัพท์ลงไปที่เดิม
“ทีนี้ เราก็ออกจากบริษัทได้โดยไม่ต้องกลัวใครจะเห็นแล้วนะคะ” ว่าแล้ว ก็ส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้น้องสาวคนสวย
“ถ้าแบบนี้ก็ได้ค่ะ” แม้ศรุตจะเป็นพี่ชายต่างสายเลือด แต่เขาก็ปฏิบัติและดูแลเธออย่างดี หรือบางที อาจจะดีกว่าพี่น้องแท้ ๆ บางคู่เสียด้วยซ้ำ จุดนี้ทำให้คาริสารู้สึกซาบซึ้งใจในความห่วงใยที่เขามอบให้เสมอมา จึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา
“เหลือเวลาอีกสามสิบนาที ริสาไปเตรียมตัวเถอะ”
“รับทราบค่ะบอส” คาริสายิ้มหวานชนิดที่ทำให้คนมองหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนเดินนวยนาดจากไป และทันทีที่ประตูปิดลง ศรุตก็เผยรอยยิ้มออกมา
วันเวลาหลังจากย้ายแผนกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็จะครบหนึ่งเดือนแล้ว คาริสาพบว่างานเลขาส่วนตัวของศรุตไม่ได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเรียบง่าย สิ่งที่ต้องมีคือสติและความจำอันเยี่ยมยอด ซึ่งต้องขอบคุณที่เธอไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งนันทิยาก็เป็นครูสอนงานที่ดี แม้คาริสาจะบกพร่องและทำผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่เคยตีหน้ายักษ์ใส่เลยสักครั้ง ส่วนศรุตก็ทำตัวเป็นเจ้านายไปตามปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีหรือดูแลเธอเป็นพิเศษ นับว่าพี่ชายเลี้ยงของเธอค่อนข้างรู้งาน เลยไม่มีสาว ๆ ที่หมายปองเขามาเขม่นเธออย่างที่กลัวแต่ทีแรก ด้วยเหตุนี้การฝึกงานจึงเป็นไปอย่างราบรื่น“ริสา ช่วยเอาเอกสารนี้ไปให้คุณศรุตเซ็นที อ้อ! นี่เป็นเอกสารด่วนนะ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”“สบายมากค่ะพี่นัท” คาริสาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มสีดำมา แล้วลุกขึ้น เดินเข้าไปภายในห้องทำงานของศรุตพอเห็นหน้าพี่ชายเลี้ยงก็ยิ้มหวาน วางเอกสารลงตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล แล้วส่งสายตารอคอย“เอกสารด่วนละสิ”“แหม...ถ้าพี่ศรุตไปเป็นพ่อหมอ ต้องดังแน่ ๆ”“ความจริงริสาไม่ต้องใช้มุกเอาใจเจ้านายตามแบบฉบับคุณนัทก็ได้ ยังไงพี่ก็ไม่กินหัวเราหรอก”“แหะ ๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ หรือพี่ศรุตอยากใ
กลางเดือน ดีที่เลยไตรมาสแรกของปีมาแล้ว ทำให้คาริสาเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วหลังจากประกาศฉบับนี้ถูกปิดบนบอร์ด และอีเมลจากส่วนกลางส่งตรงถึงทุกคนอย่างเป็นทางการ เพื่อนร่วมงานในแผนกล่ามส่วนใหญ่ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับคาริสาตามปกติ แต่หนิงกับกุ้งเพื่อนสาวที่สนิทกับเธอกลับตื่นเต้นแทนเจ้าตัวเป็นการใหญ่ เพราะศรุตเป็น CEO รูปหล่อ ขวัญใจสาว ๆ ทั้งในและนอกบริษัท อีกอย่างเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน พวกเธอสองคนดันพบเห็นคาริสานั่งกินข้าวกับศรุตในร้านอาหารบนห้างสรรพสินค้าดังเข้าโดยบังเอิญ จากเหตุการณ์นั้นสองสาวจึงตัดสินไปว่า การเลื่อนตำแหน่งหนนี้ของเพื่อนคนสวยต้องมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอนทว่าถึงจะคิดแบบนั้น หนิงกับกุ้งก็ไม่คิดเปิดโปงคาริสากับศรุตแต่ประการใด ทั้งยังลุ้นตัวโก่งให้พวกเขาลงเอยกันอีกต่างหาก“ริสา หล่อนทำบุญด้วยอะไร” จู่ ๆ หนิงก็โพล่งออกมา ในระหว่างที่ช่วยคาริสาเก็บข้าวของบนโต๊ะลงกล่อง“ดีจังเลยเนอะ ต่อไปแกจะได้เห็นหน้าเทพบุตรของพวกเราทุกวัน” กุ้งเงยหน้าขึ้น แล้วหันไปมองคาริสาด้วยแววตาซ่อนนัยบางอย่าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเป๋อเหลอ ก็อดให้คำแนะนำเพิ่มเติมไม่ได้ “ริสา แ
“การหาเลขาสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะรับสมัครสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้ นอกจากต้องใช้ภาษาจีนและภาษาอังกฤษได้ในระดับดี คนคนนั้นต้องซื่อสัตย์ สามารถเก็บความลับของบริษัทได้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ คุณพรรณเขาถึงเลือกเรามาให้พี่ยังไงล่ะ”“คุณพรรณเสนอชื่อริสาเองจริง ๆ เหรอคะ” คาริสาถามย้ำอีกหน แต่น้ำเสียงอ่อนลงมาก เพราะที่ผ่านมาศรุตไม่เคยโกหกเธอเลยสักครั้ง“ริสาก็น่าจะรู้จักพี่ดี พี่คงไม่เสี่ยงให้งานเสียหาย เพียงเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แน่นอนว่าถ้าเราไม่ผ่านทดลองงาน พี่ก็คงต้องให้ฝ่ายบุคคลเฟ้นหาคนที่เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่นี้แทน” แม้มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ แต่แววตาของศรุตกลับจริงจังเป็นที่สุด ทำให้คาริสารู้สึกว่าทั้งหมดคือความจริง“แต่ริสาไม่ได้จบด้านเลขานุการโดยเฉพาะนะคะ” ริมฝีปากสีชมพูยังคงส่งคำท้วงติงออกมาอีกหน“ถ้าคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับสองอย่างเราจบสายตรงมาตั้งแต่แรก พี่กับคุณพ่อคงไม่ปล่อยเราไปทำงานในแผนกล่ามให้เสียเวลาหรอก ริสา...พี่เชื่อว่าเรารับมือได้” ศรุตให้ความเชื่อมั่นกับเธอด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น“ก็ได้ค่ะ ริสาจะลองดู” หลังจากนิ่งคิดถึงเหตุผลทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่ง คาริสาก็เลือก
“ริสา...ริสา ได้ยินพี่หรือเปล่า”สายตาของคาริสาเพ่งไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายนิ้วเรียวยังคงกดลงบนแป้นพิมพ์ไม่หยุด ทำให้คนที่ยืนเรียกเธออยู่นานสองนานทางด้านหลัง ตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเจ้าตัวเบา ๆ เพื่อเรียกสติคนถูกทำลายสมาธิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันกายไปทางตัวต้นเหตุ พอเห็นว่าเป็น ‘นุชนาถ’ ผู้จัดการแผนกล่าม คาริสาก็เอานิ้วแตะบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อหยุดเสียงการประชุมที่อัดเอาไว้แม้ในใจจะขุ่นเคืองที่ถูกขัดจังหวะการทำงาน แต่ดวงหน้าอ่อนหวานกลับไม่ปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจ“ขอโทษนะคะพี่นุช ริสากำลังเขียนรายงานการประชุมของเมื่อเช้าอยู่ พอดีคุณศรุตต้องการด่วนค่ะ” คาริสาอธิบาย พลางส่งยิ้มอย่างน่ารักที่ใครเห็นก็โกรธเธอไม่ลงออกไป“ไม่เป็นไรจ้ะ” นุชนาถใจอ่อนยวบ“ว่าแต่พี่นุชมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้มาหาริสาที่โต๊ะด้วยตัวเองแบบนี้” คาริสาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้วนุชนาถควรเรียกเธอไปพบที่ห้องทำงานส่วนตัวด้านใน“พี่เพิ่งกลับจากห้องท่านประธาน แล้วมีเรื่องที่จะแจ้งเราพอดี อีกอย่าง ถ้าริสาไม่ลืม ตรงนี้เป็นทางผ่านไปห้องทำงานของพี่นะ”“อ๋อ! ใช่...ทางผ่านจริง ๆ ด้วย” คาริสาเอ่
บทนำ“...ฉันชอบเธอ”“อะไรนะ”“ริสา ฉันรู้ว่าเธอได้ยิน”“กฤษณ์ แน่ใจนะว่านายไม่ได้เป็นไข้” คาริสาหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับยื่นมือออกไป ทำท่าจะแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มเพื่อวัดไข้“ไม่เอาน่า ฉันกำลังจริงจังนะ” กฤษณ์เบี่ยงศีรษะหลบหลังมือของคนตัวเล็ก ใบหน้าคมดูเคร่งเครียด ไม่มีแววล้อเล่นสักนิด ท่าทางแบบนี้ทำให้เด็กสาวที่นึกว่าเพื่อนแกล้งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะผ่านไปเกือบสองนาที คาริสาถึงได้เอ่ยปากทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน “แต่เราเพิ่งจบ ม.ปลาย เองนะ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ให้มาคิดเรื่องมีแฟนตอนนี้...ฉันว่าเร็วไปสิบปี”“ได้...สิบปี”“...” คาริสารู้สึกเหมือนตนเองตามอะไรไม่ค่อยทัน“ถ้าสิบปีฉันยังไม่เปลี่ยนใจ แล้วเธอยังไม่มีใคร เรามาแต่งงานกัน” พอมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เหมือนจะมีเครื่องหมายคำถามแปะเอาไว้กลางหน้าผาก กฤษณ์จึงขยายความให้ด้วยเสียงดังฟังชัดแต่นั่นกลับทำให้ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นอีกคาริสาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นบ้า หรืออ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไปกันแน่ แต่นัยน์ตาสีนิลคมเข้มที่ฉายแววจริงจังกลับทำให้เธอไม่กล้าหัวเราะ“ได้...ถ้าถึงวันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้า แล้วฉันยังไม่มีใคร