กลางเดือน ดีที่เลยไตรมาสแรกของปีมาแล้ว ทำให้คาริสาเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากประกาศฉบับนี้ถูกปิดบนบอร์ด และอีเมลจากส่วนกลางส่งตรงถึงทุกคนอย่างเป็นทางการ เพื่อนร่วมงานในแผนกล่ามส่วนใหญ่ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับคาริสาตามปกติ แต่หนิงกับกุ้งเพื่อนสาวที่สนิทกับเธอกลับตื่นเต้นแทนเจ้าตัวเป็นการใหญ่ เพราะศรุตเป็น CEO รูปหล่อ ขวัญใจสาว ๆ ทั้งในและนอกบริษัท อีกอย่างเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน พวกเธอสองคนดันพบเห็นคาริสานั่งกินข้าวกับศรุตในร้านอาหารบนห้างสรรพสินค้าดังเข้าโดยบังเอิญ จากเหตุการณ์นั้นสองสาวจึงตัดสินไปว่า การเลื่อนตำแหน่งหนนี้ของเพื่อนคนสวยต้องมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอน
ทว่าถึงจะคิดแบบนั้น หนิงกับกุ้งก็ไม่คิดเปิดโปงคาริสากับศรุตแต่ประการใด ทั้งยังลุ้นตัวโก่งให้พวกเขาลงเอยกันอีกต่างหาก
“ริสา หล่อนทำบุญด้วยอะไร” จู่ ๆ หนิงก็โพล่งออกมา ในระหว่างที่ช่วยคาริสาเก็บข้าวของบนโต๊ะลงกล่อง
“ดีจังเลยเนอะ ต่อไปแกจะได้เห็นหน้าเทพบุตรของพวกเราทุกวัน” กุ้งเงยหน้าขึ้น แล้วหันไปมองคาริสาด้วยแววตาซ่อนนัยบางอย่าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเป๋อเหลอ ก็อดให้คำแนะนำเพิ่มเติมไม่ได้ “ริสา แกต้องแต่งตัวสวย ๆ มาทำงานทุกวันเลยนะยะ”
“แหม...ริสามันตื่นมาก็สวยเลยเหอะ ไม่ต้องทำอะไรเยอะก็งาม อีกอย่างถ้าคนเขาจะชอบ ยืนเฉย ๆ เขาก็ชอบ เนอะริสาเนอะ” พูดจบ หนิงก็หันมาทำท่าพยักพเยิดใส่คาริสา แต่เจ้าตัวยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบกลับ กุ้งก็พูดแทรกขึ้นมาอีกหน
“ฉันไม่ได้หมายความว่ายายริสาไม่สวย แต่คนที่ยื่นบัตรคิวสมัครเป็นคนรู้ใจของคุณศรุตมีน้อยซะเมื่อไหร่ หางแถวอยู่โน่น...ดาวอังคาร”
“ยื่นบัตรคิวแล้วไง คุณศรุตเขาสนเหรอ? เห็นอยู่ว่าผู้ชายเขาให้ความสำคัญกับใคร” หนิงยืนกราน คาริสาสวยและเหมาะสมกับศรุตอยู่แล้ว อีกอย่างสายตาของ CEO หนุ่มที่ตนเองเห็นในวันนั้น บ่งบอกชัดเจนว่าเพื่อนของเธอไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรทั้งสิ้น ติดก็แต่แม่คุณที่ยังไม่รู้ตัวสักที
คาริสาอ้าปาก กะพริบตาปริบ ๆ มองหน้าหนิงกับกุ้งสลับกันไปมา เพราะบทสนทนาของทั้งคู่ ยิ่งพูด ยิ่งไปกันใหญ่ หากผู้หญิงที่หมายปองศรุตมาได้ยินเข้าละก็ เธอต้องถูกเกลียดขี้หน้าแน่ ๆ และก่อนที่เพื่อนสาวผู้หวังดีจะพูดอะไรที่แก้ไขไม่ได้ออกมา เธอต้องหยุดคนทั้งคู่
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน ยายหนิง ยายกุ้ง ฉันได้เลื่อนตำแหน่งนะ ไม่ใช่กำลังจะไปจับผู้ชาย”
“แกไม่ได้ไปจับผู้ชาย แต่ผู้ชายเขาอาจจะอยากให้แกจับก็ได้” หนิงสวนทันควัน
“ไปกันใหญ่แล้ว ใครจะจับใคร ไม่มี้” หางเสียงที่ตวัดขึ้นสูงของคาริสา แลกมาด้วยการถูกหนิงกับกุ้งกลอกตาใส่สามตลบ
“จ้า…ไม่มีก็ไม่มี/ จ้า…ไม่มีก็ไม่มี” หนิงกับกุ้งพร้อมใจกันตอบอย่างกับนัดกันไว้ นี่ถ้าคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่ใช่พวกเธอสองคน คาริสาคงถูกบรรดาสาว ๆ ที่กรี๊ดพ่อ CEO รูปหล่อ รุมทึ้งจนย่ำแย่ไปแล้ว
“ก็มันไม่มีอะไรจริง ๆ นี่” คาริสารู้สึกว่าต้องพูดย้ำอีกครั้ง เพราะเหมือนหนิงกับกุ้งจะไม่ได้เข้าใจตามที่พูดสักนิด
“ก็ไม่มีไง รีบ ๆ เก็บของให้เสร็จเถอะ” หนิงตัดบทเอาดื้อ ๆ
“อืม” คาริสากลับไปให้ความสนใจกับข้าวของส่วนตัวที่ต้องเก็บอีกครั้ง แม้จะยังสงสัยในท่าทีของเพื่อนสาวทั้งสองก็ตาม แต่ด้วยความสนิทสนม จึงรู้ว่าซักไซ้ไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี
ไม่นานนักสามสาวก็เก็บข้าวของทุกอย่างเรียบร้อย แล้วพากันขึ้นไปยังชั้นสามสิบเอ็ด หนิงกับกุ้งค่อนข้างตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะไม่เคยขึ้นมาถึงชั้นทำงานของผู้บริหารระดับสูงมาก่อน ทั้งสองสอดส่ายสายตาขณะเดินตามคาริสาไปยังปีกขวา พยายามจดจำรายละเอียดที่ไม่แน่ว่าชาตินี้จะได้มีโอกาสเห็นอีกครั้งหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ลงความเห็นกับสิ่งที่พบเพียงสี่พยางค์คือ เลิศ หรู ดูแพง
ในที่สุดสามสาวก็เดินไปถึงหน้าห้องของ CEO หนุ่ม คาริสาเดินนำหนิงกับกุ้งไปยังโต๊ะทำงานของนันทิยา เลขาคนปัจจุบันของศรุต แล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะพี่นัท”
“สวัสดีจ้ะ ริสา” นันทิยาทักทายคาริสา แล้วหันไปทางหนิงกับกุ้ง “นี่คงเป็นเพื่อน ๆ ของน้องริสาสินะคะ อุตส่าห์ช่วยยกของมาให้ น่ารักจริง ๆ”
“สวัสดีค่ะ / สวัสดีค่ะ” หนิงกับกุ้งรีบยกมือไหว้ทักทาย เคยเห็นนันทิยาอยู่บ้าง แต่ไม่เคยสนทนากันเลย จึงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“พี่จัดที่ไว้ให้แล้ว ระหว่างนี้เราสองคนคงต้องใช้โต๊ะตัวเดียวกันไปก่อน อาจจะรู้สึกคับแคบไปสักหน่อย แต่หลังจากฝึกงานเสร็จ ทั้งหมดนี่ก็จะเป็นของริสาจ้ะ” นันทิยาผายมือไปทางด้านหนึ่งของโต๊ะทำงานรูปตัว L ถึงแม้จะกล่าวว่าคับแคบ แต่ความเป็นจริงแล้วกว้างขวางนั่งสองคนได้สบาย ๆ
ก็นะ...จะเอาโต๊ะทำงานของแผนกล่ามมาเทียบโต๊ะทำงานของเลขา CEO ได้ยังไงเล่า
พอส่งคาริสาเสร็จ หนิงกับกุ้งก็ขอตัวกลับไปทำงาน ก่อนเดินจากไป คนทั้งสองไม่วายยกมือขึ้นชูสองนิ้ว ทำปากขมุบขมิบแต่ไร้เสียงว่า “สู้ ๆ” คาริสาเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา แล้วยกมือขึ้นทำท่าเดียวกัน
วันเวลาหลังจากย้ายแผนกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็จะครบหนึ่งเดือนแล้ว คาริสาพบว่างานเลขาส่วนตัวของศรุตไม่ได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเรียบง่าย สิ่งที่ต้องมีคือสติและความจำอันเยี่ยมยอด ซึ่งต้องขอบคุณที่เธอไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งนันทิยาก็เป็นครูสอนงานที่ดี แม้คาริสาจะบกพร่องและทำผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่เคยตีหน้ายักษ์ใส่เลยสักครั้ง ส่วนศรุตก็ทำตัวเป็นเจ้านายไปตามปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีหรือดูแลเธอเป็นพิเศษ นับว่าพี่ชายเลี้ยงของเธอค่อนข้างรู้งาน เลยไม่มีสาว ๆ ที่หมายปองเขามาเขม่นเธออย่างที่กลัวแต่ทีแรก ด้วยเหตุนี้การฝึกงานจึงเป็นไปอย่างราบรื่น“ริสา ช่วยเอาเอกสารนี้ไปให้คุณศรุตเซ็นที อ้อ! นี่เป็นเอกสารด่วนนะ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”“สบายมากค่ะพี่นัท” คาริสาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มสีดำมา แล้วลุกขึ้น เดินเข้าไปภายในห้องทำงานของศรุตพอเห็นหน้าพี่ชายเลี้ยงก็ยิ้มหวาน วางเอกสารลงตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล แล้วส่งสายตารอคอย“เอกสารด่วนละสิ”“แหม...ถ้าพี่ศรุตไปเป็นพ่อหมอ ต้องดังแน่ ๆ”“ความจริงริสาไม่ต้องใช้มุกเอาใจเจ้านายตามแบบฉบับคุณนัทก็ได้ ยังไงพี่ก็ไม่กินหัวเราหรอก”“แหะ ๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ หรือพี่ศรุตอยากใ
กลางเดือน ดีที่เลยไตรมาสแรกของปีมาแล้ว ทำให้คาริสาเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วหลังจากประกาศฉบับนี้ถูกปิดบนบอร์ด และอีเมลจากส่วนกลางส่งตรงถึงทุกคนอย่างเป็นทางการ เพื่อนร่วมงานในแผนกล่ามส่วนใหญ่ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับคาริสาตามปกติ แต่หนิงกับกุ้งเพื่อนสาวที่สนิทกับเธอกลับตื่นเต้นแทนเจ้าตัวเป็นการใหญ่ เพราะศรุตเป็น CEO รูปหล่อ ขวัญใจสาว ๆ ทั้งในและนอกบริษัท อีกอย่างเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน พวกเธอสองคนดันพบเห็นคาริสานั่งกินข้าวกับศรุตในร้านอาหารบนห้างสรรพสินค้าดังเข้าโดยบังเอิญ จากเหตุการณ์นั้นสองสาวจึงตัดสินไปว่า การเลื่อนตำแหน่งหนนี้ของเพื่อนคนสวยต้องมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอนทว่าถึงจะคิดแบบนั้น หนิงกับกุ้งก็ไม่คิดเปิดโปงคาริสากับศรุตแต่ประการใด ทั้งยังลุ้นตัวโก่งให้พวกเขาลงเอยกันอีกต่างหาก“ริสา หล่อนทำบุญด้วยอะไร” จู่ ๆ หนิงก็โพล่งออกมา ในระหว่างที่ช่วยคาริสาเก็บข้าวของบนโต๊ะลงกล่อง“ดีจังเลยเนอะ ต่อไปแกจะได้เห็นหน้าเทพบุตรของพวกเราทุกวัน” กุ้งเงยหน้าขึ้น แล้วหันไปมองคาริสาด้วยแววตาซ่อนนัยบางอย่าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเป๋อเหลอ ก็อดให้คำแนะนำเพิ่มเติมไม่ได้ “ริสา แ
“การหาเลขาสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะรับสมัครสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้ นอกจากต้องใช้ภาษาจีนและภาษาอังกฤษได้ในระดับดี คนคนนั้นต้องซื่อสัตย์ สามารถเก็บความลับของบริษัทได้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ คุณพรรณเขาถึงเลือกเรามาให้พี่ยังไงล่ะ”“คุณพรรณเสนอชื่อริสาเองจริง ๆ เหรอคะ” คาริสาถามย้ำอีกหน แต่น้ำเสียงอ่อนลงมาก เพราะที่ผ่านมาศรุตไม่เคยโกหกเธอเลยสักครั้ง“ริสาก็น่าจะรู้จักพี่ดี พี่คงไม่เสี่ยงให้งานเสียหาย เพียงเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แน่นอนว่าถ้าเราไม่ผ่านทดลองงาน พี่ก็คงต้องให้ฝ่ายบุคคลเฟ้นหาคนที่เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่นี้แทน” แม้มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ แต่แววตาของศรุตกลับจริงจังเป็นที่สุด ทำให้คาริสารู้สึกว่าทั้งหมดคือความจริง“แต่ริสาไม่ได้จบด้านเลขานุการโดยเฉพาะนะคะ” ริมฝีปากสีชมพูยังคงส่งคำท้วงติงออกมาอีกหน“ถ้าคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับสองอย่างเราจบสายตรงมาตั้งแต่แรก พี่กับคุณพ่อคงไม่ปล่อยเราไปทำงานในแผนกล่ามให้เสียเวลาหรอก ริสา...พี่เชื่อว่าเรารับมือได้” ศรุตให้ความเชื่อมั่นกับเธอด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น“ก็ได้ค่ะ ริสาจะลองดู” หลังจากนิ่งคิดถึงเหตุผลทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่ง คาริสาก็เลือก
“ริสา...ริสา ได้ยินพี่หรือเปล่า”สายตาของคาริสาเพ่งไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายนิ้วเรียวยังคงกดลงบนแป้นพิมพ์ไม่หยุด ทำให้คนที่ยืนเรียกเธออยู่นานสองนานทางด้านหลัง ตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเจ้าตัวเบา ๆ เพื่อเรียกสติคนถูกทำลายสมาธิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันกายไปทางตัวต้นเหตุ พอเห็นว่าเป็น ‘นุชนาถ’ ผู้จัดการแผนกล่าม คาริสาก็เอานิ้วแตะบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อหยุดเสียงการประชุมที่อัดเอาไว้แม้ในใจจะขุ่นเคืองที่ถูกขัดจังหวะการทำงาน แต่ดวงหน้าอ่อนหวานกลับไม่ปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจ“ขอโทษนะคะพี่นุช ริสากำลังเขียนรายงานการประชุมของเมื่อเช้าอยู่ พอดีคุณศรุตต้องการด่วนค่ะ” คาริสาอธิบาย พลางส่งยิ้มอย่างน่ารักที่ใครเห็นก็โกรธเธอไม่ลงออกไป“ไม่เป็นไรจ้ะ” นุชนาถใจอ่อนยวบ“ว่าแต่พี่นุชมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้มาหาริสาที่โต๊ะด้วยตัวเองแบบนี้” คาริสาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้วนุชนาถควรเรียกเธอไปพบที่ห้องทำงานส่วนตัวด้านใน“พี่เพิ่งกลับจากห้องท่านประธาน แล้วมีเรื่องที่จะแจ้งเราพอดี อีกอย่าง ถ้าริสาไม่ลืม ตรงนี้เป็นทางผ่านไปห้องทำงานของพี่นะ”“อ๋อ! ใช่...ทางผ่านจริง ๆ ด้วย” คาริสาเอ่
บทนำ“...ฉันชอบเธอ”“อะไรนะ”“ริสา ฉันรู้ว่าเธอได้ยิน”“กฤษณ์ แน่ใจนะว่านายไม่ได้เป็นไข้” คาริสาหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับยื่นมือออกไป ทำท่าจะแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มเพื่อวัดไข้“ไม่เอาน่า ฉันกำลังจริงจังนะ” กฤษณ์เบี่ยงศีรษะหลบหลังมือของคนตัวเล็ก ใบหน้าคมดูเคร่งเครียด ไม่มีแววล้อเล่นสักนิด ท่าทางแบบนี้ทำให้เด็กสาวที่นึกว่าเพื่อนแกล้งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะผ่านไปเกือบสองนาที คาริสาถึงได้เอ่ยปากทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน “แต่เราเพิ่งจบ ม.ปลาย เองนะ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ให้มาคิดเรื่องมีแฟนตอนนี้...ฉันว่าเร็วไปสิบปี”“ได้...สิบปี”“...” คาริสารู้สึกเหมือนตนเองตามอะไรไม่ค่อยทัน“ถ้าสิบปีฉันยังไม่เปลี่ยนใจ แล้วเธอยังไม่มีใคร เรามาแต่งงานกัน” พอมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เหมือนจะมีเครื่องหมายคำถามแปะเอาไว้กลางหน้าผาก กฤษณ์จึงขยายความให้ด้วยเสียงดังฟังชัดแต่นั่นกลับทำให้ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นอีกคาริสาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นบ้า หรืออ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไปกันแน่ แต่นัยน์ตาสีนิลคมเข้มที่ฉายแววจริงจังกลับทำให้เธอไม่กล้าหัวเราะ“ได้...ถ้าถึงวันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้า แล้วฉันยังไม่มีใคร