แชร์

ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

ผู้เขียน: Mkutkomen
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-21 08:35:22

          “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ

          “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก

          “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน

          “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็กนักเรียนตอนนั้นล่ะครับ ผมไม่คิดว่ามันจะปิดได้” จ่าหนุ่มแย้งความคิดของแสงตะวัน

          “แต่จ่าเอง ก็รายงานไม่ใชเหรอ ว่าสอบถามแล้ว คนที่เคยร่วมเวลาเรียนกันตอนนั้น ได้ยินเพียงแต่ว่า เขาว่ามา ไม่ได้หรอกนะ แค่เขาว่ามา ส่วนทีมฟุตบอล บางคนก็ไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ รู้แต่ว่านายธรรฆ่าตัวตาย รวมทั้งภารโรง” จ่าหนุ่มจนคำพูด จริงอย่างที่แสงตะวันว่า แล้วมันใครกัน ไม่มีใครปริปากออกมา ได้แต่ถอนหายใจ พอดีกับมีสัญญาณไลน์ของแสงตะวันดังขึ้น เขาไม่สนใจแต่มันเด้งถี่ขึ้น เขารำคาญจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดข้อความอ่าน

          “ถึงไหนแล้ว เด็กๆ เหลืออีกแค่คนเดียว ทำให้เห็นหน่อยสิ ว่าตำรวจไทยมันเจ๋ง มันมีดี กูให้เวลา ๓ วัน” ข้อความที่ถ่ายมาจากโทรศัพท์เป็นการพิมพ์ข้อความใส่กระดาษ และมีกระจุกผมแปะอยู่บนกระดาษด้วยกระจุกหนึ่ง

          “มันส่งมาอีกแล้ว สารวัตร” ข้อความจากผู้กองบินส่งมา

          “รองเรียกตัวด่วน สะดวกโทรไหมครับ” เขากดโทรออกทันที

          “เมื่อไหร่” เขาถามทันทีเมื่อปลายสายกดรับ

          “เมื่อครู่นี่เองครับ มันแนบมากับจดหมาย ของสำนักงาน”

          “มีคนเปิดแล้วสิ” “ผมเองครับ เพราะมันจ่าหน้าถึงผม” แสงตะวันขมวดคิ้วทันที

          “เดี๋ยวนะ ผู้กอง ตอนแต่งตั้งผู้กองขึ้นแทนผม ได้ประกาศไหม” ลูกทีมทั้งสาม ตั้งตารอคำสั่งและเงี่ยหูฟัง แสงตะวันส่งสัญญาณให้เตรียมตัว

          “ไม่นะครับ มีแต่รองที่เรียกเข้าไป แล้วมอบหมายงานให้ หนังสือแต่งตั้งก็ยังไม่ได้ประกาศ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ มันตึงเครียดมากครับ สำนักข่าวก็เร่งจะเอาข่าว ผู้ใหญ่เลยยังไม่ประกาศครับ” ผู้กองบินเอ่ย

          “แล้วมันรู้ได้ยังไง ว่าผู้กองคือคนรับผิดชอบในตอนนี้” สายตาของแสงตะวันฉายแววบางอย่างออกมา

          “สารวัตรเข้ามาได้ไหมครับ ท่านรองรออยู่” ผู้กองบินพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนใจ

          “เจอกันผู้กอง” เขาวางสาย แล้วหันไปพยักหน้าให้กับทีม เขาลุกจากโซฟาแล้วเข้าไปในห้องนอน เพื่อบอกแสงอาทิตย์ ที่เขากลับเข้าไปนอนได้ไม่นาน แสงอาทิตย์ไม่รู้สึกตัวตื่น เพราะเขาเหนื่อยมากแล้ว แสงตะวันจึงพาทีมออกจากห้องไป

          ณ กลางถนนสายเปลี่ยว มีแสงเดือนส่องให้เห็นทุกสรรพสิ่งรอบกายลางเลือน ดวงจันทร์ดวงนั้นลอยเด่นอยู่เหนือทิวไม้ แสงนวลเย็นตานั้นดูจะปลอบประโลม สิ่งมีชีวิตบนพื้นโลก หลังจากที่พระอาทิตย์สาดแสงอันร้อนแรงในตอนกลางวัน สองข้างทางคือต้นไม้สูง จนมองไม่เห็นว่าด้านข้างนั้นภูมิทัศน์นั้นคือป่าหรือเขา แต่ถนนเส้นนี้ทอดยาว มองเห็นเป็นเส้นตรง เงาของทิวไม้ ที่โง้งเกือบจะคลุมถนน ต้องแสงจันทร์เหมือนมีคนตัวสูงใหญ่ยืนอยู่ริมสองข้างทาง แล้วค้อมตัวเข้าหากัน แสงอาทิตย์มองซ้ายขวา พยายามเรียกสติ นี่มันคงเป็นความฝันสินะ ฝันอะไร เขาเริ่มออกเดิน ทุกย่างก้าว ที่เท้าของเขาสัมผัสพื้นถนนที่เย็นเยียบนั้น มันคือความจริง มันแข็ง มันเย็น ความหนาวเย็นของอากาศ ที่ปะทะร่างของเขานั้น มันคือความเย็นของอากาศ ไม่ใช่ฝัน

          “ที่ไหน” เขาเอ่ยถามตัวเอง พลางกวาดสายตาไปรอบๆ

          “กุบกับๆ” เสียงเหมือนม้าดังมาจากด้านหลัง แสงอาทิตย์หันไปมองตามเสียง เสียงกีบม้าวิ่งด้วยความเร็วเหมือนพายุ เสียงจากแว่วเป็นใกล้เข้ามา แสงอาทิตย์ยืนนิ่งเพ่งมองพิจารณาอยู่ ว่ามันใช่เสียงม้าจริงไหม ทันทีที่ร่าง ของสิ่งที่เขาเรียกว่าม้าปรากฏกายให้เห็น เขาถึงกับตะลังงัน มันไม่ใช่ม้า แต่มันคือควายที่ตัวสูงใหญ่กว่าควายปกติ ตัวสีดำทะมึนเหมือนเมฆในยามฟ้าปิด เขาที่โง้งยาววาววับ สะท้อนแสงจันทร์ นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำเหมือนถ่านไฟที่กระพือลม แสงอาทิตย์ได้สติ เขารีบวิ่งเข้าไปหลบที่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ตอนนี้เองที่เขารับรู้ได้ว่า หัวใจของเขาเต้นแรง ความกลัวมันผุดขึ้นมา จากที่งงงวยอยู่ในตอนแรก ควายตัวนั้นวิ่งกระโจนเข้ามา แล้วหยุดกึกตรงที่เขายืนอยู่บนถนนเมื่อครู่ เสียงหายใจแรงเหมือนมันกำลังโกรธ สายตาแดงฉานนั้น กำลังกวาดตามองหาเป้าหมาย กลิ่นสาบสางนั้นกระทบรบกวนประสาทสัมผัส เขาเอามือขึ้นอุดจมูก สายตาจับจ้องอยู่ที่ควายตัวใหญ่ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ควายยักษ์มันหันมายังโคนต้นไม้ ที่เขาหลับอยู่เหมือนมันรู้พิกัดแล้ว มันยกขาหน้าขึ้นแล้ววาดเท้ากระโจนเข้าหาทันที แสงอาทิตย์ตกใจผงะออก จนเขาล้มลงกับพื้น มือของเขาสัมผัสกับของเหลวบางอย่าง เขารีบยกมือขึ้นมาดู มันมีสีดำเช่นน้ำมันดิบ แต่กลิ่นนั้นเหม็นเน่ารุนแรง เขาผุดลุกขึ้น พร้อมกับเสียงโครม โคนไม้ใหญ่สั่นไหว จนใบไม้ร่วงหล่นลงมาพรู แสงอาทิตย์ตื่นตะลึง เขารีบก้าวเท้าถอยออกมา มองซ้ายขวา เมื่อตัดสินใจได้ควายตัวนั้นก็ถอยออกห่างจากโคนต้นไม้ มันถอยเพื่อที่จะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง แสงอาทิตย์รีบวิ่งลัดเลาะไปตามโคนต้นไม้ เสียงย่ำฝีเท้าไล่กวดตามมา เสียงโคนต้นไม้ดังสนั่นหวั่นไหว

          “มันคืออะไรวะ” เขาสบถออกมา

          “แซกกก” เสียงแหลมของบางอย่าง ดังอยู่เหนือหัว เขาวิ่งไปแหงนมองไป นกสีดำที่มีขนาดเท่าคน กำลังกางปีก รูปร่างไม่เหมือนนกเสียทีเดียว ขนรุ่งริ่งเหมือนผ้าเก่าคร่ำคร่ามาคลุมตัว แสงอาทิตย์เพ่งสายตามอง มันไม่ใช่นก แต่มันคือบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนคน ใบหน้านั้นดำสนิทเหมือนหลุมดำ ปีกที่กางออกนั้นคือผ้าสีดำหม่น แสงจันทร์สาดแสงเขาเห็นมันชัดว่ามันไม่ใช่นก แต่มันคือคน คนที่กำลังลอยตัวขึ้นแล้วกำลังจะกระโจนลงมาหาเขา

          “เฮ้ย” เขาตะโกนออกมา

          “เฮือก” แสงอาทิตย์สะดุ้งตื่นขึ้น เหงื่อกาฬไหลท่วมตัว ฝันอะไรประหลาดและน่ากลัวเหลือเกิน เขากระพริบตา ขยับตัวเพื่อจะลุกไปดื่มน้ำ แต่เขาขยับตัวไม่ได้ ความกลัวและความกังวลเข้าครอบงำทั้งจิต เขาขยับได้แต่มันเหมือนเขาถูกตรึง ด้วยเชือกหรืออะไรบางอย่าง ทั้งแขนขาไว้กับเตียง

          “ตุบ ครืด” เสียงดังมาจากปลายเตียง แสงอาทิตย์กรอกได้แต่เพียงตา เขากรอกตาลงต่ำกว่าระดับเตียง สิ่งที่เห็นในเงามืด คือก้อนของบางอย่าง ที่ใหญ่เท่าร่างของมนุษย์ มันกำลังขยับเข้ามาช้าๆด้วยมือ ในลักษณะของการคลาน กลิ่นสาบสางเหม็นตลบเข้าจมูก พอมันคลานเข้ามาใกล้ แสงอาทิตย์ถึงรู้ว่ามันคือมนุษย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ เพราะร่างนั้นเน่าเฟะ เลือด น้ำหนองไหลเป็นทาง ลิ้นที่ยาวจนถึงพื้น กำลังตวัดเลียของโสโครกเหล่านั้น แสงอาทิตย์ตัวสั่น ตั้งแต่เห็นที่คนอื่นไม่เห็น เขาไม่เคยเห็นอะไรที่มันน่ากลัวเท่านี้มาก่อน

          “ฮิๆๆ” เสียงแหลมเล็กนั้น สะท้อนเข้ามาในหู มือที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง มันใหญ่และเปียกจับที่ขาของเขา มันคลานขึ้นมาตามตัว ทีละนิดๆ หัวใจของแสงอาทิตย์เต้นแรง เหมือนมันจะหลุดออกมาจากขั้ว เหงื่อกาฬที่ไหลออกมาเปียกที่นอน เหมือนเขาถูกรดด้วยน้ำ เขาพยายามที่จะขยับตัว ความรู้สึกที่ถูกคุกคามครั้งนี้ มันมากเกินไป เขาภาวนาถึงพ่อกับแม่แต่มันก็ยังไม่ไป เขาระลึกถึงพระอาจารย์ มันก็ยังคลานขึ้นมา จนตอนนี้ร่างของมันคร่อมตัวของเขาไว้ หน้าที่มองไม่เป็นหน้านั้นก้มต่ำลง จนประชิดจมูก เขาได้แต่หลับตา กลิ่นของลมหายใจที่เหม็นเหมือนศพ เขาสูดมันเข้าไปเต็มปอด

          “มึงเองเหรอ ที่ตามดูกู เสือกดีนัก เดี๋ยวมึงก็เป็นรายต่อไป” เสียงนั้นเหมือนกระซิบ แต่เป็นเสียงกระซิบแห่งความตาย แสงอาทิตย์สะดุ้งสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณ

          “เฮือก” เขาผุดลุกขึ้นจากเตียง กลิ้งล้มลงร่างกระแทกพื้นอย่างแรง ความเจ็บปวดนั้น ทำให้รู้ว่าเขาตื่นจากฝันซ้อนฝัน ที่น่ากลวนั่นแล้ว เขารีบคลานไปหัวเตียงอย่างลนลาน เพื่อหยิบแว่นตา พอสวมเข้ากับหน้าก็รีบเอาหลังเบียดผนังห้องทันที น้ำตาของเขาไหลออกมา

          “ตะวัน ตะวัน อยู่ไหน” เขาครางออกมา เขาอยากเจอใครสักคนและคนนั้นคือแสงตะวัน

          “ผมว่าพวกคุณ ทำงานกันไม่ได้เรื่อง ไหนบอกไฟแรง ให้โอกาส แต่ก็ห่วย ไม่ได้เรื่อง” เสียงตวาดของท่านรองดังสนั่นคับห้อง จนดังออกมา เจ้าพนักงานที่กำลังเดินไปมา ได้ยินเกือบทั้งหมด

          “สรุป ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมสักอย่าง แล้วนี่จะมายืนเป็นใบ้อยู่เหรอวะ” เขาเหมือนคนลุด้วยโทสะ

          “ขอโทษด้วยครับ ท่านรอง พวกเราพยายามแล้วครับ แต่” “ข้ออ้าง พยายามอะไรวะ วันๆไม่เห็นทำอะไร รู้ไหมว่าเบื้องบนเขาไล่บี้ลงมาแล้ว ต้องให้ตายอีกกี่คน หา ถึงจะหาตัวคนร้ายได้ หรือว่าความสามารถของพวกคุณมันไม่มี อยากให้ประชาชนเขาประณามหรือไง ว่าตำรวจไทยมันไม่มีน้ำยา”

          “ท่านรอง คงต้องเข้ามาช่วยแล้วล่ะครับ ความสามารถของตำรวจที่จบไทยอย่างพวกผม มันคงไม่ถึงกึ๋นของคนร้าย” แสงตะวันโพล่งขึ้น เขารู้สึกเกินทนแล้ว จะอะไรก็เกิดเถอะ เขาพร้อมจะรับมัน แต่ไอ้เวรนี่มันดีแต่ด่า ทั้งที่ตัวเองนั่งอยู่แต่ในสำนักงาน ลองมาลงพื้นที่เหมือนพวกเขาดูไหม ลองตามสืบคดี ที่คนร้ายไม่ทิ้งอะไรไว้สักอย่าง เหลือไว้แค่เพียงรอยรองเท้า ต่อให้วิเศษณ์มาจากไหน เขาก็พร้อมจะเรียนรู้จากความเก่งกาจนั้นเหมือนกัน แสงตะวันจ้องหน้าของท่านรองเขม็ง เขาหันขวับ สายตาวาวโรจน์ขึ้น มันไม่ใช่ความโกรธ แต่มันมีแสงของความอำมหิตบางอย่าง

          “ฮึ ปากดีนะ สารวัตรแสงตะวัน” เขาแค่นเสียงออกมาจากลำคอ อารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง เมื่อครู่มันเหมือนหยุดนิ่ง ค้างเติ่งสูงอยู่เช่นนั้นแต่มันมีไอบางอย่างแผ่เข้ามาแทนความร้อน มันคือไอเย็นของคนที่ถูกลูบคม

          “ผมเป็นผู้บังคับบัญชา นี่คือคำสั่ง” “ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่ง” แสงตะวันสวนทันที ผู้กองบินลนลานพยายามจะเอื้อมมือมาสะกิด

          “แต่ล้มเหลว” “ก็ถูกสั่งปลดแล้วนี่ครับ ไม่ทราบว่า เรียกมาทำไมอีก” หน้าของท่านรองแดง เหมือนถูกฉีดด้วยเลือด แววตานั้นถลนออกมา

          “อย่ามาปีนเกลียว ผมสั่งย้ายไปพื้นที่กันดารก็ได้นะ” แสงตะวันจ้องอยู่ สายตาของเขานิ่งเหมือนน้ำในบึง ซึ่งไม่รู้ว่าเบื้องล่างนั้นกำลังโหมพัดด้วยความโกรธ ไม่มีความกลัวอยู่ในสายตานั้น

          “บอกสิ่งที่รองต้องการมาเถอะครับ ดีกว่าเรียกมาด่า โดยไม่มีแม้แต่คำชี้แนะ ที่เป็นประโยชน์อะไรเลย นอกจากพวกผมจะไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์ นอกจากเสียกำลังใจแล้ว ยังเสียเวลาตามคดี ไปตั้งหลายนาทีนะครับ”

          “ไอ้เวรเอ้ย มึงคิดว่ามึงเป็นใคร” เขากระชากคอเสื้อของแสงตะวันทันที เขาไม่ได้ขืนตัว แต่ปล่อยตัวให้ปลิวไปตามแรงกระชาก แสงตะวันขมวดคิ้ว ท่านรองจ้องอยู่ด้วยความโกรธเกลียด แต่ก็ดันตัวกลับมาจนเขาเซไปด้านหลัง

          “ได้ กูจะทำให้พวกมึงดู ว่าคนอย่างกู ที่ได้มานั่งตำแหน่งนี้ ไม่ได้มาเพราะมีโชคเหมือนมึง ฉายาห่าอะไร ไม่เห็นทำได้เหมือนฉายา” เขาหันหลังกลับ แล้วทิ้งร่างลงเก้าอี้อย่างแรง หยิบแฟ้มเอกสารออกมาเปิดด้วยความโมโห

          “แก๊งค์นี้ยังเหลืออยู่อีกคน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเป้าหมายของคนร้าย แต่ชื่อสมโชติ ไม่พบในฐานข้อมูล ผู้กองบิน จ่าธง จ่าหนุ่ม ผู้กองกริชไปตามมาให้ได้ ว่าเขาเปลี่ยนชื่อ หรือย้ายถิ่นฐานไปไหนหรือไม่ ตั้งแต่ย้ายออกจากโรงเรียนมัธยม หาจากพ่อของเขา ครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนร่วมรุ่น จ่าอิน ลงพื้นที่ไปอีกที รวมถึงโรงเรียน ขอกล้องวงจรในรัศมี ห้ากิโลเมตรจากที่เกิดเหตุ ส่วนมึง ขอข้อมูลโทรศัพท์ของผู้ตายทั้งหมด ปากคำจากสอบสวน รวบรวมมาให้กู คนไม่มีความสามารถอย่างมึง ทำเอกสารน่าจะเหมาะสมที่สุด” คำสั่งแจกแจงงานออกมา แสงตะวันรู้สึกว่าความอดทนของเขามันเกินขีดจำกัด ความโกรธนั้นครอบไปทั้งจิต

          “คนร้ายมันขู่ ให้เวลาสามวัน” หลังจากออกมาจากห้องเย็นที่ร้อนระอุ ทีมก็มายืนประชุมกันอยู่ในห้องเล็ก

          “ตรวจแล้วใช่ไหม กระดาษ” แสงตะวันพยายามข่มเสียง ไม่ให้มันเกรี้ยวกราด ลูกทีมทุกคนเข้าใจเขาและเห็นใจเขามาก ชื่นชมที่เขากล้าที่จะชน ไม่มีใครเห็นด้วยกับท่านรองสักคน

          “ตรวจแล้วครับ ไม่พบอะไรเช่นเคย อย่าให้กูได้เลื่อนเป็นผู้การนะมึง” จ่าหนุ่มกัดฟันเอ่ยออกมาอย่างคับแค้น

          “ได้แน่จ่า แต่ต้องตายในหน้าที่เอานะ ยศถึงจะไปถึงขั้นนั้น” จ่าอินแซว แล้วเสียงหายใจของทุกคน ก็ถอนออกมาพร้อมกัน

          “เอาเถอะ เร่งมือกัน มีอะไรก็เหยียบมันไว้ในใจก่อน รีบไปเถอะผู้กอง เรามีเวลาไม่มาก” แสงตะวันบอก พอดีกับมีสายเรียกเข้า เห็นว่าเป็นแสงอาทิตย์ เขาจึงตัดสายไปเพราะมันเพิ่งจะเช้าตรู่ คงเพราะเขาตื่นมาแล้วไม่เห็นกระมัง เขาจึงโทรมาหา ซึ่งในขณะนั้น แสงอาทิตย์กำลังเผชิญการคุกคามอย่างหนัก เสียงคนวิ่งอยู่บนผนังห้อง กระจกหน้าต่างนอกห้อง วิ่งเสียงดัง กระทืบเท้า เสียงตึงตังเหมือนคนขว้างปาข้าวของมาใส่ เขาตกใจจนหวาดระแวง แสงอาทิตย์นั่งขดตัวอยู่ในห้องน้ำ เขากลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน ในมือนั้นกำหินของพระอาจารย์ไว้แน่น เขาพยายามรวบรวมสติที่มีน้อยนิด สื่อไปถึงพระอาจารย์ แต่เวลาคนเรากลัวและวิตกจริต สติมันมักจะกระเจิดกระเจิงไปเสียสิ้น แสงอาทิตย์สลบไปในห้องน้ำ เพราะเขากลัวจนถึงขีดสุด

          “ทำไมมันไม่มีข้อมูลอะไร เพิ่มเติมมาเลยวะ ผู้กองบินนี่สืบยังไง” แสงตะวันบ่นออกมา เมื่อรวบรวมเอกสารทั้งหมด ทุกคดี ไม่มีอะไรเพิ่มเติม คดีล่าสุดที่โรงหนังร้าง ก็เหมือนจะมีเท่าที่เขารู้ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมมา แนวทางปฏิบัติ ในการสืบนั้นสะเปะสะปะ เขาหัวเสียเพราะเวลามีไม่มาก เขามีลางสังหรณ์ว่า คนร้ายมันต้องเอาจริง

          “สารวัตรครับ นายสมโชติ มีประวัติการเปลี่ยนชื่อ ที่เขตพระโขนง เมื่อตอนเขาอายุ ๑๗ ปี จริงๆครับ ที่เราหาไม่เจอ เพราะมีการปกปิดข้อมูล ผมมาที่พื้นที่ ที่เขาอาศัยอยู่เมื่อตอนเรียนมัธยมครับ ต้องไปค้นในห้องเอกสารถึงเจอ” แสงตะวันรับสายของจ่าอินถึงกับหูผึ่งทันที

          “ดีมากจ่า แล้วชื่อใหม่ของเขาล่ะ” เขาถามด้วยความตื่นเต้น

          “กรกฏครับ กรกฏ คงสินธรรม โชคดีที่เขายังคงใช้นามสกุลเดิม” “เอามาให้หมดจ่า” เขาสั่งทันที

          “แล้วรู้พิกัดของเขาไหม” แสงตะวันเคาะแป้นตามชื่อที่ได้มา

          “ยังครับ ผมเพิ่งได้ชื่อมา” “เดี๋ยวผมหาเอง” เขาวางสายไปแล้ว สายตาจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ รายชื่อที่ปรากฏขึ้นบนฐานข้อมูล มีเพียงชื่อเดียว แสงตะวันมีแววตาที่ฉายแววสมใจอยากขึ้นมา ตามตัวยากนักนะ เขาคิด

          “นาย กรกฏ คงสินธรรม นักวิชาการที่ดินปฏิบัติการ สำนักงานที่ดินเขต x ประวัติการทำงาน ๑๕ ปี ปัจจุบันสมรสกับ น.ส. ลัดดาวัลย์ โคกสีนอก หือ เพิ่งแต่งงานได้ สองปี” แสงตะวันอ่านตามตัวหนังสือ ที่ปรากฏตามข้อมูล เขาจดบางอย่างลงกระดาษ แล้วกดโทรออกจากโทรศัพท์ของสำนักงานทันที

          “สวัสดีค่ะ สำนักงานที่ดิน x” เสียงพนักงานพูดรับสาย แสงตะวันก็รีบเอ่ยทันทีที่มีคนรับสาย

          “สวัสดีครับ ขอเรียนสายคุณ กรกฏ คงสินธรรมครับ” เขากรอกเสียงไปตามสาย

          “ไม่ทราบจากไหนคะ” แสงตะวันขมวดคิ้ว ถ้าหากจะบอกไปว่าจากสำนักงานสอบสวนกลาง เขาจะยอมคุยด้วยไหมนะ แต่มันไม่มีเวลาแล้ว

          “จากสำนักงานสอบสวนกลางครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์” เขาแนะนำตัวเอง และเหมือนว่าปลายสาย จะเรียกบอกคนที่เขาต้องการจะสื่อสาร

          “พี่ปลา มีสายค่ะพี่” เหมือนเธอไม่ได้เอามือปิดหูฟังไว้เลย

          “จากไหนออย” “เขาบอกจากสำนักงานสอบสวนกลาง”

          “โอ้ย วางๆไปเลย มิจฉาชีพแน่นอน เสียเวลา” เสียงที่ลอดเข้ามาทำให้แสงตะวันรู้สึกเลือดขึ้นหน้า มิจฉาชีพอย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว นี่มันเรื่องด่วนนะโว้ย เขานึกสบถอยู่ในใจ

          “ตู๊ดๆๆๆ” เขาถูกตัดสายทันที

          “บ้าอะไรวะเนี่ย” เขากดเข้าไปอีกครั้ง

          “สวัสดีครับ ผมไม่ใช่มิจฉาชีพ กรุณาโอนสายให้เขาด้วยครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วน” เขาเปล่งเสียงออกมาทันที เมื่อมีคนรับสาย

          “ตู๊ดๆๆ” “โว้ยยย ห่าเอ้ย จะถูกฆ่าตายอยู่แล้ว นี่มันไม่ติดตามข่าวสารอะไรบ้างเลยเหรอวะ” เขาบริภาษออกมาอย่างหงุดหงิด เขาลุกขึ้นแล้วฉวยเอาแจ็คเกตตัวโปรด

          “สารวัตรจะออกไปไหนครับ ท่านรองสั่งให้สารวัตร ทำเอกสารไม่ใช่เหรอครับ” จ่าที่เฝ้าหน้าห้องเอ่ยถาม

          “ออกพื้นที่สิ จ่าช่วยจักแฟ้มให้ผมหน่อยละกัน ผมรีบ” เขาบอกอย่างไม่ใส่ใจ

          “ไม่ได้นะครับ สารวัตร ผมจะซวยเอา” แสงตะวันหยุดกึก

          “ไปเถอะ สารวัตร” เสียงนั้น ดังมาจากหน้าประตูห้องของท่านรอง เขามองอยู่ก่อนแล้ว

          “เอ่อ” “รู้พิกัดเหยื่อ ที่คาดว่าจะเป็นรายต่อไปแล้วไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ เพราะรายนี้ตามตัวยากที่สุด” ท่านรองยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่แสงตะวัน ได้เห็นรอยยิ้มที่เจือความดีใจอย่างปิดไม่มิด เขารีบผละออกมาทันที

          “ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิรยลักษณ์ ที่โทรเข้ามา คนไหนคือ นายกรกฏ คงสินธรรมครับ” เขาเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ของสำนักงานที่ดิน เธอหน้าตาตื่นทันทีเพราะเป็นคนรับโทรศัพท์

          “เอ่อ มีเรื่องอะไรเหรอคะ” เธอทำตามหน้าที่ แต่เสียงนั้นสั่นหน้าเริ่มซีด

          “มีแน่ ถ้าผมเจอนายกรกฏช้ากว่านี้” เขาจ้องเขม็ง เพราะเริ่มรู้สึกรำคาญ

          “ทางนี้ค่ะ” เธอลุกพาเขาเดินอ้อมเคาท์เตอร์ไป ประชาชนที่มาติดต่อเรื่องที่ดิน ไม่ทันสังเกตเพราะเขาไม่ได้ใส่ชุดตำรวจมา เธอพาเขาไปด้านหลังที่มีห้องรับรองอยู่ เขานั่งรออยู่สักพัก ก็มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามา ท่าทางของเขาไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

          “ผมเอง กรกฏ มีเรื่องอะไรเหรอครับ ถึงได้บุกมาถึงที่นี่ ผมไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฎหมาย” เขารีบออกตัวด้วยความร้อนใจ ร้อนตัว แต่แค่รับสินบนเล็กน้อย ตำรวจจากสำนักงานสืบสวนกลาง ต้องมาเองเลยเหรอ เขาก็เป็นข้าราชการ ความรู้เรื่องกฎหมายก็มี แต่ตำรวจนายนี้กำลังทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง

          “เชิญนั่งเถอะครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ ใช่คุณไม่ได้ทำอะไรผิด และผมมาที่นี่ ก็ไม่ได้มาเพราะสงสัยอะไรคุณ แต่ไม่ทราบว่าคุณกรกฏ ได้ติดตามข่าวช่วงนี้บ้างไหมครับ” เขายืนขึ้น ผายมือเชิญให้เขานั่ง พอเขานั่งลงแสงตะวันถึงนั่งตาม สายตานั้นจ้องมองท่าทางของเขาไม่วางตา

          “ข่าวอะไรครับ ช่วงนี้งานเยอะ ผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่” เขาตอบแบบเสียไปที

          “ฆาตรกรรมต่อเนื่อง” “อ้อ ครับ แล้วไง เกี่ยวอะไรกับผมไม่ทราบ” เขากระแทกเสียง แสงตะวันหัวเราะออกทางจมูก ไอ้หมอนี่ ความตายจะมาเยือนอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอวะ

          “แน่ใจเหรอครับ ว่าไม่เกี่ยว” เขาเลิกคิ้วขึ้น

          “หมายความว่ายังไง มันเกี่ยวกับผมตรงไหนไม่ทราบ คุณตำรวจ พูดให้มันดีๆ ผมก็รับราชการเหมือนคุณ จะมาขู่กันแบบนี้ ผมว่ามันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นะ” เขาเกรี้ยวกราดออกมา

          “ผมไม่ได้ขู่ ท่าทางของคุณ คงจะไม่ได้สนใจข่าวจริงๆ แล้วไม่เล่นโซเชียลบ้างเลยเหรอครับ ข่าวนี้ ผมว่ามันน่าจะแพร่ออกไป ทุกแพลตฟอร์ม ไม่เคยผ่านตาบ้างเลยเหรอครับ” เขาถามจี้ กรกฏมีท่าทางกระสับกระส่าย

          “เคยเห็นผ่านตาบ้าง แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามัน จะเกี่ยวกับผมตรงไหน นี่ใช่ไหม ข่าวที่คุณตำรวจว่า” เขาล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา เลื่อนนิ้วไปสักพักก็ยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้แสงตะวันดู เขารับมาแล้วมองผ่านๆ แสงตะวันเองที่หน้าเปลี่ยนสี ใช่สิ ชื่อของผู้ตายได้รับการปกปิดเอาไว้ ถึงว่า ไอ้หมอนี่มันถึงพูดเต็มปากว่าไม่เกี่ยวกับมัน

          “ไม่แปลกหรอกครับ ที่คุณจะคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับคุณ เอาเป็นว่า ช่วงนี้ เล่นโซเชียลแอพไหนบ้างครับ” แสงตะวันถามออกมา แววตาของกรกฏเปลี่ยนไปเป็นไม่พอใจทันที

          “มันเรื่องส่วนตัวของผมไหมครับ แล้วมีธุระอะไรอีกไหม ถ้าจะมาถามแค่ว่าผมเห็นข่าวไหม เห็นตามที่ให้ดู ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ เพราะกินเงินเดือนหลวง อู้แบบนี้ ใช้ไม่ได้” เขาเหยียดสายตา ด่ากระทบแสงตะวัน เพราะเขาก็เป็นข้าราชการเหมือนกัน กรกฏลุกขึ้นทันที

          “คุณรู้จักคนที่ชื่อ ทวี ร่วมสกุล จักรเพชร สรนีย์ ศุภกร รักผอง อ้อ ไม่สิ ประยงค์ รักผอง แล้วก็ ประเวส อ้อ ไม่อีก วีระชน คงสมริน ไหมล่ะครับ” สิ่งที่แสงตะวันเอ่ยออกมา ทำให้เขาหยุดกึกลง เม้มปากแน่น ใจจากที่เต้นแรงเพราะรู้สึกไม่พอใจ กลับเต้นผิดจังหวะไป

          “ทำไมครับ” เขาหันกลับมา เสียงสั่น แววตาตระหนก แสงตะวันยิ้มที่มุมปาก

          “คนเหล่านั้น คือคนที่เสียชีวิต จากเหตุฆาตรกรรมต่อเนื่อง ข่าวที่ผมถามนั่นล่ะครับ และตามที่เราสืบเจอ ทั้งสี่คนตอนเรียนมัธยมปลาย อยู่แก๊งค์เดียวกัน” เขาเอ่ยช้าๆ แต่น้ำเสียงนั้นหนักแน่น เน้นทุกคำ เหงื่อกาฬผุดขึ้นตามกรอบหน้าของกรกฏ ทั้งที่แอร์ฉ่ำเย็น เขายังคงยืนอยู่ แล้วเขาก็เหมือนทรุดลงนั่งที่โซฟาอย่างหมดแรง

          “มะ หมายความว่า คนที่ตาย คือเพื่อนผมสมัยเรียนเหรอครับ” เขาเหมือนถามกับพระเจ้า เพราะเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

          “ครับ คุณเอง ก็น่าจะอยู่ในแก๊งค์นี้ด้วยไม่ใช่เหรอครับ” เขาน้ำตาไหลออกมา ท่าทางสั่นเหมือนคนสติหลุด

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status