“กำลังหาคนแต่งงานอยู่ใช่ไหม” “เอ็งไปรู้มาจากไหน” “ได้ยินพนักงานนินทากัน” “เฮ้อ...” ม่วงถอนหายใจพลางหยิบที่ทับกระดาษมาวางบนกองเอกสารที่คัดมา เขามั่นใจว่าตัวเองพูดด้วยเสียงปกติ ทั้งในห้องห้องนั้นใช่ว่ากำแพงจะบาง คราวหน้าคราวหลังหากจะคุยเรื่องสำคัญคงต้องผ่อนเสียงลงสักหน่อยแล้ว “ใช่ ฉันบอกคุณธรรศว่าจะแต่งงานก่อนไปเจอลูกค้ารายล่าสุดน่ะ” ข่าวลือที่พนักงานซุบซิบกัน หากลูกค้าตั้งคำถามมันก็มีหลากหลายวิธีในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สิ่งที่เขาควรจะคำนึงถึงจริง ๆ ก็คือการทำให้งานแต่งงานครั้งนี้เป็นไปอย่างแนบเนียนที่สุดผ่านระยะเวลาและการกระทำ ซึ่งเขามีเวลาสามเดือนก่อนจะได้เวลานัด เลขาหนูคิดไปก็เดินมานั่งลงยังเก้าอี้ เอื้อมมือหยิบชิ้นขนมปังกรอบราดแยมผลไม้ขึ้นมาใส่ปาก เขามีเหตุผลอื่นที่ต้องการพึ่งใบสมรสนอกเสียจากการทำงานกับเจ้านายภูวธรรศ แต่จะเลือกใครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ อย่างน้อยต้องเป็นคนที่น่าไว้วางใจและไม่ปากพล่อย- “เป็นผมได้ไหม” ลูกน้องหน้านิ่งซึ่งยืนไพล่หลังกล่าวขึ้นอย่างปุบปับท่ามกลางความเงียบในห้องก่อนจะตามด้วยเสียงกลืนในลำคอเล็กที่หดเกร็งเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ “เอ็งหมายถึงอะไร?” “แต่งงาน”
view more‘สังคมมนุษย์สัตว์’ คือนิยามของโลกนี้ ทุกผู้ทุกคนมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยมีพื้นฐานคล้ายคลึงกับมนุษย์ พัฒนาสังคมระหว่างสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อมาจนเข้าสู่ยุคสมัยสุขสงบซึ่งสิ่งประดิษฐ์เดินหน้าไกลขึ้นจากประวัติศาสตร์ ผู้คนเริ่มตั้งหมู่บ้านเวลาผ่านไปกลายเป็นพระนครอันใหญ่โต ก่อเกิดเศรษฐกิจการเมืองโดยมีคนตัวเล็กตัวน้อยเป็นฟันเฟืองช่วยกันขับเคลื่อนและนั่นคือสังคมมนุษย์สัตว์
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
‘ถูกปฏิบัติราวกับเป็นพระเจ้าในสังคม ถูกเทิดทูนมาตลอดชีวิตในเส้นทางการเป็นผู้นำ และได้รับคำสรรเสริญแม้เพียงกระดิกนิ้ว’
แม้มันอาจเป็นประโยคอันเหนือความจริงไปบ้างทว่านั่นคือความเป็นจริงที่ตัวของ เฉลิม ได้รับมาในหลายโอกาสของชีวิตในฐานะซึ่งเกิดมามีเพศรองเป็นพิโดร ตรงข้ามกับคนที่เขาปลาบปลื้ม ซึ่งชีวิตที่ผ่านมาต้องตะเกียกตะกายเพื่อเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
สุคนธ์ พิโดร รดา สามเพศรองในโลกที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นเพื่อให้เหล่าสิ่งมีชีวิตดำรงเผ่าพันธุ์ไปได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น
‘สุคนธ์’ มนุษย์ฐานพีระมิดนับเป็นเพศซึ่งมีอำนาจต่อรองน้อยที่สุดในบรรดาเพศทั้งหมด ด้วยรูปลักษณ์ที่ในสายตาใครก็ถูกมองว่าอ่อนแอ ตั้งแต่เกิดส่วนใหญ่จึงล้วนถูกประคบประหงมดูแลประหนึ่งไข่ในหิน ส่งกลิ่นหอมกำจายเมื่อเข้า ‘ฤดูพิสมัย’ ชักจูงพิโดรที่อยู่ใกล้ให้เข้ามามีสัมพันธ์ทางกายเพื่อก่อเกิดทายาท
‘พิโดร’ มนุษย์ยอดพีระมิด มีรูปร่างสูงใหญ่เป็นที่น่าเกรงขาม มิหนำซ้ำส่วนใหญ่มียศถาบรรดาศักดิ์และอำนาจต่อรองสูงที่สุดในบรรดาเพศทั้งหมด สามารถขับกลิ่นข่มเพศอื่นได้โดยเฉพาะสุคนธ์ ในทางตรงกันข้ามกลับถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมของสุคนธ์ได้ง่ายในบางรายอาจคลุ้มคลั่งไม่อาจควบคุมสติสัมปชัญญะได้เลยเชียว
‘รดา’ เพศที่มีจำนวนมากที่สุดในสังคม เป็นคนธรรมดาดาษดื่นไม่สามารถรับรู้กลิ่นพิสมัยของสุคนธ์ได้กระนั้นในบางครั้งก็สามารถได้กลิ่นข่มจากพิโดรได้เช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นด้วยร่างกายอันสูงใหญ่ซึ่งสืบสายมาจากต้นตระกูลของหมีผสมกับเพศรองอันเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่มันจึงทำให้เขาไม่ต้องทุ่มเทความพยายามก็ได้มาในสิ่งที่ต้องการ แม้จะเติบโตมาในครอบครัวซึ่งมีฐานะปานกลาง แต่ใครมองก็รู้ว่าสุดท้ายอีกไม่นานเงินทองที่มีในตู้จะพอกพูนขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อได้พิโดรมากุมบังเหียน
ช่างน่าตลกที่ในสังคมนี้หากมีอยู่สองตัวเลือก ผู้คนย่อมเทคะแนนไปให้พิโดรผู้อ่อนประสบการณ์มากกว่าสุคนธ์หรือรดาผู้มากด้วยความสามารถ และเขาได้รับมันตอนถูกเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าห้องหรือประธานนักเรียนโดยไม่เต็มใจ
ท่ามกลางเสียงปรบมือที่มีให้หลังจากเขากล่าวคำไม่กี่คำเพราะความเบื่อหน่ายจากอากาศร้อนในคิมหันต์ฤดู เขาเห็นผู้ลงสมัครด้านหลังส่งยิ้มมาให้ แต่เขารู้ดีว่าในแววตานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียใจแค่ไหน
เรื่องราวในวัยเลขหนึ่งนี้อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กวัยละอ่อน ทว่ามันกลับสะท้อนความจริงที่เด็กเหล่านั้นรวมถึงตัวเขาจะต้องเผชิญออกมาได้อย่างน่ารักน่าชังเสียจนหลายคนชินชาและยอมรับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด
นอกเหนือไปจากการถูกเลือกปฏิบัติอันไร้ความยุติธรรม มีหลายครั้งที่เขาต้องพยายามเป็นคนอื่นต้องพยายามสวมบทบาทเป็นจุดสูงสุดที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะต้องมีความกล้าหาญ แน่วแน่ และทำทุกอย่างออกมาให้ดี ทว่ามันกลับต้องใช้พลังงานมากกว่าที่ธรรมชาติของตัวเขาจะทำออกมาได้
ความเงื่องหงอยเฉื่อยชา ความรับผิดชอบที่มีเทียบเท่ามาตรฐานของคนธรรมดา ไม่ตอบรับซึ่งค่านิยมอันสุดโต่งนั้น เขาเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หายใจไปวัน ๆ โดยที่มีเงินเพียงพอต่อการดำรงชีวิตของตัวเองมันก็เท่านั้น ไม่ได้ต้องการเกิดมาเพื่อตอบรับค่านิยมบ้า ๆ ของสังคมแบบนี้เสียหน่อย ซึ่งเป้าหมายนี้เป็นมารดาของเขาที่ปลูกฝังมันมา
แม่เองคงโดนคนในสังคมพ่นค่านิยมอันไร้แก่นสารใส่หัวจนก่อเกิดเป็นคำสอนนี้ขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เขาที่โตมากับมารดาได้รับอิสระมากกว่าพิโดรคนอื่น ๆ เขาไม่ถูกบังคับให้รับช่วงต่อบริษัทที่พ่อแม่สร้างขึ้นมา ไม่ถูกกดดันให้ต้องเรียนได้อันดับหนึ่ง หรือไม่ต้องไปแข่งกับใครคนอื่น เพราะสิ่งที่มารดากำชับเขามีเพียงสิ่งเดียวคือ ‘จงทำทุกอย่างให้เต็มที่ ให้ตัวเองในอนาคตไม่กลับมาเสียดายทีหลัง’
ด้วยเส้นทางชีวิตและคำสอนนั้นมันจึงทำให้เขาออกมาจากบ้านเพื่อตามหาเป้าหมายในชีวิตจนจับพลัดจับผลูได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเครือ‘เหมบำรุง’ซึ่งกุมธุรกิจและเงินทองเป็นอันดับต้น ๆ ในภาคเหนือของประเทศ เพราะอุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกันและการทำงานที่สะท้อนมาซึ่งวิสัยอันสอดคล้องกับที่เป็นอยู่นั้นมันจึงทำให้เขาตัดสินใจส่งจดหมายยื่นใบสมัครจนผ่านเข้ามาในรอบสัมภาษณ์
อาคารขนาดใหญ่สร้างขึ้นด้วยอิฐปูนสีหม่นแปะป้ายเขียน ‘โชติพัฒก่อสร้าง’ ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้าของอาคาร ให้ร่มเงากับบริเวณทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินอย่างเรียบง่าย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วขับขานท่ามกลางสายลมเย็นยามเช้า สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายทว่าแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมเป็นระเบียบ
เข้ามาในอาคารชั้นสองซึ่งเป็นที่นั่งพักของเหล่าผู้สมัคร เสียงนาฬิกาแขวนบนผนังที่ดังเป็นจังหวะตามเข็มวินาที ผู้สมัครหลายคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เรียงรายทั่วทางเดิน บางคนพลิกอ่านเอกสารในมือ บางคนจับปากกาเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เสียงถอนหายใจเป็นครั้งคราวสะท้อนถึงแรงกดดันและความคาดหวัง ในขณะที่เขาซึ่งมาก่อนเวลานัด ๑๐ นาทีแล้วเป็นคนเดียวที่นั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่กระทำสิ่งใดนอกไปจากการทำสมาธิ
ไม่นานก็มีเสียงของรองเท้าหนังเดินมา ทว่ามันกลับแผ่วเบามากกว่าผู้สมัครส่วนใหญ่ พร้อมกับสีหน้าแววตาของผู้สมัครคนอื่นที่ดูจะแปลกไปจนเขาเองก็สงสัย
“ผู้สมัครทุกท่านโปรดมาแจ้งชื่อที่โต๊ะลงทะเบียน และรับป้ายหมายเลขด้วยครับ”
เสียงที่เหมือนทุ้มต่ำทว่ากลับหวานล้ำน่าฟังราวเสียงสวรรค์ ท่าทางอันสง่างามภายใต้ร่างกายอันบอบบางของสายพันธุ์หนูตัวเล็กค่อย ๆ เดินอย่างใจเย็นเข้าไปในห้องสัมภาษณ์
ท่ามกลางความวุ่นวายระหว่างกำลังต่อแถวรับป้ายหมายเลขกับเจ้าพนักงานก็มีเสียงซุบซิบนินทาแว่วมาเป็นระยะถึงสรีระรูปร่างของคนที่น่าจะเป็นผู้สัมภาษณ์
‘ตัวเล็กขนาดนั้น เป็นสุคนธ์เหรอ?’
‘ไม่ใช่หรอก ไม่ได้สวมปลอกคอหรือมีรอยกัดนี่’
‘ไม่น่าเชื่อว่าคนสัมภาษณ์จะเป็นหนูตัวแค่นั้น’
‘ใช้เส้นสายขึ้นมาหรือเปล่า’
‘อาจจะเป็นผู้ช่วยก็ได้นะ’
‘ฉันว่าหน้าตาเขาก็ใช้ได้นะ เส้นสายที่ว่าอาจจะ...’
คำพูดเหล่านั้นมันแสลงหูจนเขาหน่ายจะฟัง ดีที่เขาได้รับป้ายหมายเลขมาพอดี และอันดับที่ ๔ ก็นับเป็นตัวเลขที่ดีในการสัมภาษณ์เนื่องจากเขาไม่อยากรอนาน กลับกันก็พอมีเวลาให้ได้หายใจหายคออยู่บ้าง
เขาเองในระหว่างรอสัมภาษณ์ก็มานั่งคิดว่าเพราะเหตุใด ทำไมผู้สมัครคนอื่นจึงได้ซุบซิบนินทาหัวเราะกันอย่างสนุกปาก มันคงเพราะที่นี่คือบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำ ไม่ใช่แค่ในภาคเหนือแต่เป็นระดับประเทศ คนที่สามารถเข้ามาทำงานได้ล้วนเป็นพิโดรร่างสูงใหญ่กันทั้งนั้น จากข่าวลือที่ได้ยิน มีพนักงานน้อยคนนักที่เป็นรดา และแน่นอนว่ามีสุคนธ์เท่ากับศูนย์ ทว่านั่นก็แค่ข่าวลือปากต่อปากไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้สักเท่าไร
ในความคิดเขานั้นยอมรับว่าตกใจในครั้งแรกที่ได้เห็นเช่นกัน กระนั้นเขาก็ไม่ได้มีอคติใด ๆ ซ้ำยังรู้สึกสนอกสนใจเข้าไปใหญ่ ว่าเพราะเหตุใดคนที่มีหูเล็ก ๆ กับหางเรียวกระจ้อยร่อยแบบนั้นจึงสามารถเดินเหินโดยติดป้ายตำแหน่งเลขานุการอยู่บนอกซ้ายได้ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากตำแหน่งที่ใช่ว่าใครจะเป็นได้ ทั้งใบหน้ากลม ๆ ดวงตาใส ๆ ก็น่ารัก-
“เชิญผู้สมัครหมายเลข ๕ คุณเฉลิมชัย พิสุทธิ์สุขค่ะ”
“ครับ”
เขาไม่คิดว่าการออกนอกเรื่องจะทำให้เวลาเดินผ่านไปเร็วขนาดนี้ ว่าแล้วก็ลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปยังห้องสัมภาษณ์แล้วจึงเห็นว่ามีคนตัวเล็กนั่งจับปากกาก้มหน้าจดข้อมูลลงกระดาษอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาพร้อมส่งยิ้มมารยาทให้พอเป็นพิธี
“เชิญนั่งครับ”
“ขอบคุณครับ”
“รบกวนแนะนำตัว พร้อมเล่าประวัติการทำงานคร่าว ๆ ด้วยครับ”
“ครับ ผมชื่อ…”
ในระหว่างที่ตอบคำถามไปเขาไม่อาจละสายตาไปจากกรรมการสัมภาษณ์ตัวเล็กได้เลย เขานึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่งว่าในยามที่นั่งอยู่ด้านนอกและเจ้าตัวเดินผ่าน ส่วนสูงของอีกฝ่ายนั้นยังสูงไม่พ้นศีรษะเขาเลย หากเปรียบเปรยสัดส่วนร่างกายแล้วอีกฝ่ายคงไม่ต่างอะไรจากเด็กประถมปลายหรือม.ต้นเสียด้วยซ้ำ กระนั้นแววตาสีหน้าท่าทางทั้งหมดทั้งมวลกลับสามารถมอบบรรยากาศอันสุขุมเยือกเย็นออกมาไม่แพ้คนตัวสูงใหญ่เลย
“ทำไมถึงเลือกที่นี่เหรอครับ?”
“ผมอยากมาทำงานที่นี่เพราะเห็นว่ามีอุดมการณ์สอดคล้องกัน...”
ยิ่งได้มองยามอีกฝ่ายจดขยุกขยิกยิ่งสนใจ เขาอยากรู้ไปเสียหมดว่าอีกฝ่ายแท้จริงแล้วมีเพศรองเป็นอะไรหรือผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ไหนจะสามารถเมินเฉยต่อคำนินทาและคงไว้ซึ่งความสง่า
“ถ้าคุณเข้ามาทำงานที่นี่ คุณจะมีผมเป็นหัวหน้า ผมเลยอยากทราบน่ะครับ ว่าคุณคิดอย่างไรกับผม?”
เจ้าตัวคงเคยชินกับปฏิกิริยาของผู้สมัครคนอื่นจนเกิดกลายเป็นคำถามตัดสินขึ้นมา เขานึกภาพออกเลยว่าพวกที่เคยพูดจาอวดเก่งอยู่เมื่อกี้คงจะมีหน้าชากันบ้าง
“ผมไม่คิดอะไรครับ”
“ช่วยขยายความเพิ่มเติมด้วยครับ”
“ที่ผมหมายถึงคือ...”
นี่เป็นงานทั่วไป เขาไม่สนใจหรอกว่าจะมีหัวหน้าเป็นรดา สุคนธ์ หรือพิโดรร่างเล็กจิ๋ว เพราะมันต้องมีเหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังที่ทำให้คนที่ตกเป็นที่ตั้งคำถามจากผู้คนภายนอกแบบนี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นถึงเลขานุการและกรรมการสัมภาษณ์ ซึ่งเขาเองก็อยากรู้เส้นทางนั้นเช่นกัน เผื่อว่ามันจะทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาได้บ้าง ดังนั้นเขาจึงหวังว่าคำตอบที่เขาพูดออกไป จะสามารถสื่อสิ่งที่เขาคิดออกไปได้อย่างหมดจด
“หมดคำถามแล้วครับ จะมีการส่งจดหมายประกาศผลการคัดเลือกไปภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้ ขอบคุณที่สนใจบริษัทของเราครับ”
“ขอบคุณเช่นกันครับ”
ผ่านมาจากวันนั้นสิ้นเดือนก็มีจดหมายตอบรับว่าเขาผ่านการคัดเลือกและสามารถเข้าไปทำงานได้ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป ในตำแหน่งของพนักงานทั่วไปแผนกบริหารทรัพยากรองค์กร ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งเล็กสุดของบริษัท ทว่าเขาดีใจมากที่จะได้เข้าไปทำงานร่วมกับคนคนนั้นที่สัมภาษณ์เขา
ทว่าเมื่อเข้ามาทำงานผ่านไปหนึ่งเดือนก็แล้ว สามเดือนก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววของเลขาตัวเล็กคนนั้นเลย จนเมื่อถามไปถามมาเขาก็ได้รับคำตอบมาจากหัวหน้างานว่า คนที่เขาสนใจนั้นเป็นถึงเลขานุการส่วนบุคคลของคุณภูวธรรศซึ่งนั่งแท่นประธานบริษัทสูงสุด และเจ้าตัวนั้นต่อให้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับงานเบื้องล่างสักเท่าไรนัก หากไม่มีกิจกรรมประจำปีอย่างการประเมิน หรือกิจกรรมสังสรรค์ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
แต่เขาก็ใช่ว่าจะหมดโอกาสเสียทีเดียว เพราะในทุกปีจะมีการคัดคนอีกระลอกเพื่อขึ้นไปทำงานในฐานะผู้ช่วยเลขานุการ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจทำงานเต็มที่เพื่อที่จะได้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่ได้เห็นอีกฝ่ายมากขึ้น
ทว่ายิ่งเขาใช้เวลาไปเพื่อเป้าหมายนี้มากเท่าไร จากความรู้สึกนับถือ ก็เริ่มกลายเป็นความปลาบปลื้ม กลายเป็นความสนใจที่ชักจะถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ จนเมื่อได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มผู้ช่วยทั่วไป มีหลายครั้งที่ได้รับเอกสารคำสั่งและอีกฝ่ายตวัดสายตามามอง คล้ายว่าจะเป็นจังหวะที่ใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยามอีกฝ่ายเดินผ่าน ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างตั้งใจทำงานของตัวเองเขากลับเอาแต่มองจนแผ่นหลังนั้นลับสายตาไป
ใช่ว่าความรู้สึกที่มีให้คนคนนั้นจะมากขึ้นทุกวันเพราะอย่างไรเขาต้องเอาสมาธิส่วนใหญ่ไปใส่กับการทำงานเพื่อเลื่อนขั้น ทว่าในทุกครั้งที่ได้หวนคิดถึงใบหน้ากลมกลึงนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงปรารถนาที่เพิ่มขึ้น จนในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองคิดเห็นอย่างไรกับหัวหน้าหนูตัวจิ๋วคนนี้
หลังจากได้เลื่อนขั้นขึ้นมาทำงานใกล้ชิดเบื้องบนจนกลายเป็นผู้ติดตามคอยขับรถไปรับไปส่งคุณเลขานุการตัวเล็ก ในยามกลางคืนที่ความมืดปกคลุมไปทั่วฟ้าพร้อมกับลมหนาวที่พัดผ่านร่างมาเป็นระยะ เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนเกือบสิบคนเดินลงไปตามทางเลียบแม่น้ำข้างสลัมก่อนจะพบเข้ากับกระท่อมเก่าหลังหนึ่งถูกสร้างขึ้นจากไม้ที่ดูเปราะบาง เสียงหรีดหริ่งเรไรขับขานเป็นบทเพลงแห่งความเงียบเหงา ในขณะที่เขาเดินตามหลังเลขานุการตัวเล็กไปอย่างไม่มีข้อสงสัยจนมาหยุดที่หน้ากระท่อมปลายทาง
‘แน่ใจนะว่าใช่ที่นี่’
‘ครับนาย เมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วเห็นว่าเดินเข้าไปด้านในแล้วยังไม่ได้ออกมาครับ’
‘ถ้าฉันพังเข้าไป น้องเปลวเขากลัวฉันไหมวะไอ้ม่วง’
‘เป็นผม ผมกลัวตั้งแต่มีใครไม่รู้มาเคาะประตูบ้านแล้วครับนาย’
บทสนทนาอันเป็นกันเองระหว่างเจ้านายลูกน้องทำให้เขารู้ว่าทั้งสองมีความสนิทสนมกันมากพอควร
งานที่ได้รับมอบหมายวันนี้คือการติดตามคอยเป็นมือเท้าให้ประธาน ซึ่งช่วงนี้มันแทบจะกลายเป็นงานหลักไปแล้ว
สถานการณ์ต่อจากนั้นมีความฉุกละหุกขึ้นนิดหน่อย แต่เมื่อรับหน้าที่พาลูกแฝดชายหญิงของคุณเปลวไปส่งยังโรงแรมสำเร็จ เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องทำเป็นพิเศษนอกจากการนั่งเฝ้าหน้าห้องกับหัวหน้าหนูจี๊ดที่มาด้วยกัน
ได้ยินว่าเป็นคนที่คุณภูวธรรศตามหามานาน คงจะเป็นบุคคลสำคัญมากจนถึงขั้นให้เลขานุการส่วนตัวเป็นคนเฝ้าด้วยตัวเองแทนที่จะสั่งลูกน้องคนอื่นมาทำหน้าที่แทน
เฉลิมหมีใหญ่เหลือบมองหัวหน้าร่างเล็กที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ของโรงแรมด้วยความใคร่รู้ จากการทำงานด้วยกันมามีอีกเรื่องน่าทึ่งที่เขาทราบมาจากรุ่นพี่ที่ทำงานมานาน เห็นว่าเจ้าตัวเคยมีประวัติเป็นสุคนธ์มาก่อนจะได้รับผลตรวจอีกครั้งว่าเป็นรดา ทว่าอย่างไรมันก็น่าแปลกใจอยู่ดี
ไหนจะรูปร่างภายนอกอันบอบบางตัวเล็ก ยิ่งมานั่งข้างกันยิ่งเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างในสรีระ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ฝ่ามือ เรียวนิ้ว หรือแม้แต่รอยสักยันต์ที่โผล่พ้นคอปกเสื้อขึ้นมา ทุกอย่างล้วนเล็กจิ๋วไปเสียหมดจนเหมือนตุ๊กตาเดินได้ที่สมควรได้รับการดูแลมากกว่าการต้องมาทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ ช่างน่าแปลกใจเหลือเกินที่คนตัวเล็กแบบนี้จะทำงานที่ต้องการความอดทนและความละเอียดสูงได้นานหลายชั่วโมงติดต่อกัน ในขณะที่เขาได้ยินลูกน้องบางคนทำงานไปได้ไม่เท่าไรก็บ่นอิดออด พี่หนูช่างน่านับถือเสียจริง
“ถ้าเอ็งง่วงก็ไปเปิดห้องนอนก็ได้นะ ฉันเฝ้าคนเดียวได้”
“ไม่เป็นไร”
หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือมีผู้ปองร้าย เขาจะได้ช่วยเหลือทัน เพราะร่างกายเท่าฝ่ามือแบบนี้คงไม่อาจต่อสู้ได้ถนัดถนี่นัก ดังนั้นเขาจะอยู่ด้วยจนงานเสร็จ นอกจากนี้เขาเชื่อว่าคุณธรรศน่าจะให้เวลาพักผ่อนแก่พวกเขาทดแทนแน่นอน
“เอ็งนี่ก็แปลกคน บอกให้พักไม่พัก”
หัวหน้าหนูบ่นอิดออด วางหนังสือพิมพ์มาเท้าคางมองเจ้าหมีตัวใหญ่ที่เอาแต่ทำหน้าตายไร้อารมณ์จนม่วงเดาใจไม่ออก
โดยเฉลิมที่ถูกสายตากลมจ้องมองด้วยความสงสัยจึงผินใบหน้าเล็กน้อยลงไปสบสายตาอย่างเรียบนิ่งโดยไม่พูดอะไร เนื่องจากในตอนนี้เขาตื่นเต้นจนหัวใจจะวาย!
เขารู้แล้วว่าตัวเองชอบหัวหน้าคนนี้ ชอบพอรักใคร่มาตลอดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้ารวมไปถึงการได้ยินเรื่องราวที่คนนำมาเล่าสู่กันฟัง และที่นั่งนิ่งอยู่แบบนี้นั้นไม่ใช่เพราะอะไรแต่เพราะเขาเกร็งอยู่ต่างหากเล่า! นอกจากจะมีร่างกายอ้อนแอ้นน่ารักแล้ว ยังทำตัวน่ารักอีก นี่กะจะไม่เผื่อแผ่แบ่งปันคำว่าน่ารักให้คนอื่นบนโลกสักหน่อยหรือไรกัน
“เห็นว่าตรงหัวมุมโรงแรมมีซุ้มขายขนมเครื่องดื่มด้วย เอ็งจะเอาอะไรไหม? เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“อือ”
“ตอบแต่อือ ๆ แล้วฉันจะตรัสรู้เหรอไอ้เฉลิม”
“กาแฟนม”
“อื้อ! แค่นี้เอง”
โอ้...คุณพระคุณเจ้า ขนาดดุยังน่ารัก ยิ่งตอนชมยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ นี่เจ้าตัวจะรู้ไหมว่ามีคนชอบพอตัวเองอยู่ ซึ่งไม่ใช่มีแค่เขา แต่รวมไปถึงลูกน้องคนอื่นที่ต้องการชิงตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัวซึ่งได้ยินว่าจะเริ่มคัดเร็ว ๆ นี้ หลายคนจึงพยายามตั้งใจทำงานในส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่
“สั่งเหมือนเดิมทุกครั้งไม่เบื่อบ้างเหรอ?”
“ไม่”
“แล้วก็นี่ ขนมปังสอดไส้ ฉันกินไม่หมดกล่องหรอกดังนั้นช่วยฉันกินด้วยก็ดี”
“อือ”
ครับ น่ารักจนพูดไม่ออกเลยครับ เพราะใจดีแบบนี้อย่างไรเล่าลูกน้องถึงได้หลงกันจนโงหัวไม่ขึ้น ดังนั้นแล้วเขาจะต้องคว้าตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัวของคุณเลขานุการมาให้จงได้
เขี้ยว × บุษบาแสงไฟสีส้มจากเสาไฟริมถนนที่ติดเพียงต้นเดียวส่องให้เห็นเงาคนสองคนที่กำลังเดินคล้ายเซถลาอยู่ใต้ท้องฟ้ายามหัวค่ำ คนหนึ่งเดินข้างหน้าอย่างมั่นคง ส่วนอีกคนที่ถูกพยุงเอาไว้เอนตัวไปมาเหมือนตุ๊กตาที่เสียการทรงตัวส่งกลิ่นเหม็นสุราคละคลุ้งยอดที่พยุงร่างไอ้เขี้ยวซึ่งซัดน้ำเมาเข้าไปจนหมดขวด พยายามประคองน้ำหนักควายเผือกของไอ้เหยี่ยวตัวยักษ์เอาไว้แทบจะขาดใจ แม้จะพยายามดันให้เดินตรง ๆ แต่ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อผู้ถูกพยุงเริ่มเซไปทางซ้ายทีขวาที เสียงรองเท้ากระทบพื้นดินแห้งเป็นจังหวะ ช่างเป็นเหตุการณ์อันน่าอเนจอนาถใจเสียจริงที่เขาต้องมารับผิดชอบมันเพราะบ้านอยู่ละแวกเดียวกันเนี่ย!“ไอ้เขี้ยว มึงทำตัวเบา ๆ ได้ไหมวะ! ไอ้สัตว์เอ๊ย ง่วงก็ง่วง กูยังต้องมาแบกมึงอีกเนี่ย”“อือ...เออ ไม่เห็นจะสวย...ตรงไหน...”“สวยที่หน้ามึงสิ เฮ้อ...แล้วเมื่อไรจะถึงร้านดอกไม้สักทีวะ”ยอดที่มีสติจากสุราร้องโอดโอยลากพาไอ้ขี้เรื้อนเดินไปตามทางด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากงานเลี้ยงจากพิธีแต่งงาน
นับตั้งแต่ลูกคนโตเริ่มศึกษาหลักสูตรเฉพาะ และลูกคนรองทั้งสามเข้าชั้นประถม ระยะเวลา ๖ ปีจึงผ่านไปไวเหมือนโกหก เพียงแค่พวกเขาตื่นมาเพื่อไปส่งลูกเข้าเรียนและทำงาน รู้ตัวอีกทีเด็ก ๆ ก็โตพอจะเข้าชั้นม.ต้นกันแล้วงานประชุมผู้ปกครองระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เริ่มต้นด้วยสามี หุ้นส่วนภัตตาคารส่งสายตาเว้าวอนมองตัวเขาเดินลงจากรถ เนื่องจากเจ้าตัวต้องไปเข้าร่วมการเปิดตัวสาขาใหม่ของหอรสพลอย พ่อหมีจึงไม่สามารถมาเข้าร่วมได้ในตอนเช้า ได้เพียงสัญญาว่าจะรีบบึ่งรถกลับมาทันทีเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นม่วงเดินลงจากรถ โบกมือลาสามีหมีเด็กที่ยังอาลัยอาวรณ์ไม่เลิก จนเขาต้องตัดสินใจเดินหันหลัง ล้อจึงจะเริ่มหมุน แม่หนูในชุดเสื้อผ้ามิดชิดเพิ่มความอบอุ่นในฤดูหนาว ค่อย ๆ เดินตามทางถนนอันคุ้นเคยเพียงคนเดียว นับเป็นโชคดีของตัวเขาและคนอื่น ๆ ที่มีเพศรองสุคนธ์ ซึ่งได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกิดการรณรงค์มากมายขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากกลุ่มคนของเขาด้วยก็ดี หรือผู้ที่ต้องการสนับสนุนด้วยก็ดี ทำให้มีผู้สวมปลอกคอสามารถออกมาทำงาน มาใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากเพศอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงลูกชาย
ในเช้าของวันอันเป็นมงคลกลางเดือนมิถุนายน ในยามที่แสงของพระอาทิตย์ลอยขึ้นพ้นขอบฟ้าสาดแสงสีทองลงบนผิวน้ำคลองที่ไหวระริกไปตามแรงลม กลิ่นหอมของดอกไม้สดอบอวลในอากาศจากสายลมที่พาดพามาตามกระแสแม่น้ำอันกว้างขวาง โดยที่ความสงบเงียบค่อย ๆ ถูกแต่งแต้มด้วยเสียงพายเรือและเสียงกระดิ่งลมซึ่งถูกแขวนไว้ยังท่าน้ำโต๊ะไม้ตัวยาวถูกปูด้วยผ้าขาวสะอาดวางเรียงอยู่ใต้ร่มเงาของต้นลั่นทมซึ่งกำลังผลิดอก พร้อมด้วยโถข้าวสวยร้อน ๆ และอาหารที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวและคณนาญาติคนสนิทด้วยกันเตรียมตั้งแต่เช้ามืด ทั้งแกงส้ม น้ำพริก และขนมต้มหวานล้วนถูกจัดใส่ถ้วยน้อยอย่างประณีตบรรจง เสียงพูดคุยเบา ๆ ของแขกที่มาร่วมงานขับกล่อมให้บรรยากาศดูเป็นกันเองอย่างที่ตัวเอกของงานทั้งสองในชุดคู่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ไม่ไกลจากท่าน้ำนั้น เสียงพายกระทบผิวน้ำดังเป็นจังหวะโดยมีพระสงฆ์และบุรุษลูกวัดโดยสารมา เมื่อเรือหยุดเทียบท่าแม่หนูจึงกวักมือเรียกลูก ๆ วัยเจ็ดขวบให้เข้ามานั่งข้าง ๆ แล้วให้เด็กน้อยช่วยพ่อแม่อธิษฐานใส่บาตรไปพร้อมกันแล้วถึงประนมมือไหว้รับศีลรับพรหลังจากพระสงฆ์ขึ้นจากเรือ พิธีทำบุญเริ่มต้นขึ้นอย่าง
“เด็ก ๆ อย่าลืมโทรศัพท์บอกตอนจะกลับล่ะ”“จ้ะ!”พ่อหมีกล่าวบอกเหล่าเด็ก ๆ ในขณะที่เดินกลับมาขึ้นรถ เนื่องจากภายหลังที่หนูกวินมาเที่ยวบ้านเราไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อปิดเทอมรอบก่อน คราวนี้เด็ก ๆ ทั้งสี่จึงตกลงขอไปเล่นที่บ้านเพื่อนหมาป่าบ้าง ซึ่งคงไม่น่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นเพราะบ้านนั้นมียามรักษาความปลอดภัย แถมคุณเกื้อก็อยู่เฝ้าบ้านตลอด ดังนั้นทั้งเขาและพี่จึงสบายใจได้และวนรถมาทานมื้อเที่ยงนอกสถานที่กันสองต่อสองหลังไม่ได้ทำมานาน ก่อนจะวนกลับเข้าบ้านมาทำธุระพี่หนูขอตัวขึ้นไปอ่านจดหมาย ลงตารางนัดลูกค้าให้เจ้านายตามปกติส่วนเขาก็มาเตรียมมื้อเย็นแล้วก็ขนมของฝาก เนื่องจากในตอนเย็นคุณเกื้อจะเป็นคนอาสาพาเด็ก ๆ มาส่งที่บ้าน ซึ่งเป็นปกติของสองครอบครัว เนื่องจากบางครั้งที่คุณเกื้อไม่ว่างก็มักจะไหว้วานพี่ม่วงไปรับกวินมานั่งรอที่บ้านนี้อยู่บ่อย ๆ เด็ก ๆ จึงสนิทกันไปโดยปริยาย แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยอยากให้มีพิโดรเข้ามาเกาะแกะลูกชายสุคนธ์หัวแก้วหัวแหวนของตนเท่าไรนักก็ตามภายในครัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเครื่องเทศและสมุนไพร พ่อบ้านหมีใหญ่กำลังขะมักเขม้นกับหม้อต
“ก็! แม่ฉันอยากเข้าโรงเรียน...อึก...ฮือ!! พ่อจ๋า”ลิตเด็กชายตัวจิ๋วบนตักมารดาในรถร้องไห้งอแงที่ตนไม่สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาเดียวกันกับแฝดน้องได้เพราะมีเพศรองที่สังคมจำกัดเอาไว้ พอบอกแม่ไม่ได้ก็หันมาร้องไห้อ้อนวอนคนเป็นพ่อให้จัดการอะไรสักอย่าง แต่เด็กน้อยอ่อนต่อโลกยังไม่รู้ว่าอำนาจทั้งหมดในบ้านล้วนตกเป็นของแม่หนูแต่เพียงผู้เดียว“เราต้องเรียนที่บ้านเข้าใจไหม วันดีคืนดีมีฤดูขึ้นมาตอนอยู่ข้างนอกเดี๋ยวจะอันตราย”“แม่เขาพูดถูก พ่อแม่เองก็จ้างครูมาสอนเราเหมือนน้อง ๆ แล้ว”“ฮึก...หึ!”พอไม่มีใครเข้าข้างเจ้าจิ๋วหนูจี๊ดก็กอดอกฮึดฮัดไม่พอใจซุกเข้ากอดมารดาที่ตนดื้อใส่อย่างหัวเสียจนตัวขดเป็นก้อนกลม ที่เขาอยากไปโรงเรียนมันไม่ใช่เพราะอยากเรียนเนื้อหาเดียวกับคนอื่นที่ไม่ใช่สุคนธ์ แต่เพราะเขาอยากมีเพื่อน มีเรื่องกลับมาพูดคุยกับพี่น้องบ้างเท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่เจ้าสามคนนั้นเปิดเทอมมาได้แค่ไม่กี่สัปดาห์ก็พากันเอาเรื่องเล่ามาบอกจนเขาเริ่มจะกลายเป็นคนนอกขึ้นมาทีละนิด!ม่วงมองลูกน้อยบนตักก็ละเหี่ยใจ แม้ใจจริงม่วงต้องการให้เด็ก ๆ ได้รับทุกสิ่งอ
เสียงเครื่องยนต์ดับลงพร้อมกับแสงไฟหน้ารถที่มืดสนิท ก่อนที่สองสามีภรรยาจะเดินลงมาจากรถโดยที่คนตัวเล็กเดินมุ่งหน้าตรงไปไขประตูบ้านในขณะที่ปล่อยเจ้าหมีเด็กตรวจสอบสภาพรถในวันศุกร์สุดสัปดาห์ม่วงเดินก้าวมาในตัวบ้าน กลิ่นหอมในแจกันที่เฉลิมเป็นคนตัดจากสวนมาประดับโต๊ะอาหารยังคงต้อนรับการกลับมาได้เป็นอย่างดีแม้จะผ่านมาตั้งวันแล้วก็ตาม ภรรยาหนูจี๊ดถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปวางกระเป๋ายังหน้าบันไดก่อนจะหันหลังมาเห็นสามียืนเป็นหุ่นอยู่ตรงหน้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ สองแขนกว้างกางออกก่อนจะเข้าสวมกอดซุกไซ้คลอเคลียตัวเขาราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นตัวเล็กมากมายนักนับตั้งแต่พวกเขามีครั้งแรกด้วยกันไปในตอนที่เขากลับมามีฤดูนี่ก็ครบรอบหนึ่งเดือนพอดี ทว่าต่อให้จะเป็นเช่นนั้น ข้างในลึก ๆ ตัวเขายังคงหวั่นใจว่าการดำเนินความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้นี่จะไปยืดกันจริงอย่างนั้นหรือ เนื่องจากพวกเขามีอายุต่างกัน และเฉลิมเองพึ่งจะยี่สิบต้น ๆ ซึ่งการตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันควรมีประสบการณ์มากกว่านี้ในความคิดของเขา และหากตัวเขาไปกันไม่ได้ ก็อยากจะล้มเลิกเสียแต่เริ่มต่างฝ่ายจะได้ไม่เสียเวลา และคนเด็กจะไปทำตามคว
Mga Comments