FAZER LOGINหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...
ลลินเริ่มคุ้นชินกับจังหวะการทำงานบนชั้น 32 ที่ทุกอย่างเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด เธอพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ ตารางงานของภาคินถูกจัดการอย่างสมบูรณ์แบบ เอกสารทุกฉบับถูกเตรียมพร้อมก่อนเวลา และทุกสายที่ต่อถึงเขาถูกกรองอย่างมีประสิทธิภาพ
เธอกลายเป็นเลขาฯ ที่สมบูรณ์แบบในสายตาของทุกคน... เป็นเพียงเปลือกนอกที่เธอสร้างขึ้นมาห่อหุ้มเป้าหมายที่แท้จริงไว้อย่างมิดชิด
แต่ทุกครั้งที่เธอเหลือบมองตู้เซฟใต้โต๊ะทำงาน คำสั่งของภาคินยังคงดังก้องอยู่ในหัวราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน มันคือการย้ำเตือนว่าสันติสุขที่เธอรู้สึกเป็นเพียงเรื่องจอมปลอม
บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ลินกำลังจดจ่ออยู่กับการตอบอีเมลสำคัญ จู่ๆ เงาของร่างสูงก็ทาบทับลงบนโต๊ะทำงานของเธอโดยไม่มีสัญญาณเตือน ลินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อภาคินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของเธออย่างเงียบเชียบ
กลิ่นโคโลญจน์ประจำตัวของเขาโชยมาอีกครั้ง...ใกล้กว่าทุกที
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอ” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างใบหูของเธอ มันเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ แต่กลับทรงพลังพอที่จะทำให้ลินขนลุกซู่
“กำลังจัดการอีเมลจากฝ่ายการตลาดค่ะท่านประธาน” เธอตอบ พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติ แม้หัวใจจะเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
เขาไม่พูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่ขยับไปไหน ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ความเงียบทำงานแทน ลินรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบที่ไล่มองทุกการเคลื่อนไหวบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอ มันเป็นการคุกคามที่ไร้ซึ่งคำพูด แต่กลับกดดันมหาศาล
“คุณเป็นคนละเอียดดีนะ คุณลลิน” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด “ไม่ปล่อยให้อะไรคลาดสายตาไปได้เลย เป็นคุณสมบัติที่ดี...และบางครั้งก็อันตราย”
ลินกลืนน้ำลาย “เป็นหน้าที่ของลินค่ะ”
“หน้าที่...” เขาทวนคำนั้นเบาๆ “ผมสงสัยมาตลอด ว่าอะไรคือแรงผลักดันของคุณ เงิน? หรือความก้าวหน้าในอาชีพ?”
คำถามของเขาตรงไปตรงมาจนเธอตั้งตัวไม่ทัน มันไม่ใช่คำถามที่เจ้านายจะถามลูกน้อง แต่มันคือคำถามของคนที่กำลังพยายามจะอ่านใจเธอ
“ลินแค่อยากทำปัจจุบันให้ดีที่สุดค่ะ” เธอเลือกใช้คำตอบที่ปลอดภัยที่สุด
“งั้นเหรอ”
ทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวลงมา แขนข้างหนึ่งวางบนพนักพิงเก้าอี้ของเธอ ส่วนมืออีกข้างยื่นมาข้างหน้าเพื่อชี้ไปที่หน้าจอ
“ตรงนี้ พิมพ์ตกไปตัวหนึ่ง”
ปลายนิ้วชี้ของเขาสัมผัสหน้าจอห่างจากจุดที่เธอกำลังจะเลื่อนเมาส์ไปเพียงนิดเดียว และในจังหวะที่เธอขยับมือ มือใหญ่ของเขาก็วางทาบทับลงบนมือของเธอที่กุมเมาส์อยู่พอดิบพอดี
“!”
ร่างกายของลินแข็งทื่อไปชั่วขณะ ความอุ่นจากฝ่ามือของเขาแผ่ซ่านเข้ามาจนเธอรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่รินรดอยู่ข้างแก้มทำให้เธอแทบจะลืมหายใจ
มันเป็นเพียงสัมผัสที่เกิดขึ้นไม่ถึงสามวินาที แต่สำหรับลินแล้วมันยาวนานราวกับนิรันดร์
ภาคินขยับเมาส์เพียงเล็กน้อยเพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์ไปยังจุดที่ผิด ก่อนจะค่อยๆ ชักมือกลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ สังเกตทุกปฏิกิริยา
“เห็นไหม...แค่จุดเล็กๆ ก็สร้างความผิดพลาดได้ ถ้าเราไม่ระวัง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตากลับมีความหมายลึกซึ้ง
แล้วเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องทำงานไป ทิ้งให้ลินนั่งนิ่งแข็งค้างอยู่กับที่ เธอยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองที่ร้อนผ่าว สัมผัสของเขายังคงติดตรึงอยู่ที่หลังมือของเธอ
นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ...มันคือความจงใจ
ภาคินไม่ได้แค่กำลังทดสอบความภักดีของเธอผ่านกล่องเอกสารใบนั้น แต่เขากำลังทดสอบการควบคุมตัวเองของเธอด้วย เขากำลังรุกคืบเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอทีละนิด...ด้วยคำพูด ด้วยสายตา และด้วยสัมผัส
เกมนี้มันอันตรายกว่าที่เธอคิดไว้มาก เพราะศัตรูของเธอไม่เพียงต้องการจะคุมเกม...แต่เขาต้องการจะคุมเธอด้วย
เรื่องราวความรัก การแก้แค้น และการให้อภัยของลลินกับภาคินได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์และงดงามแล้วในตอนที่ 26 ที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความไม่ไว้วางใจ...พวกเขาได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย จนกระทั่งสามารถเปิดโปงความจริงในอดีตและนำความยุติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จ ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในอ้อมแขนของกันและกัน ปิดฉากสงครามที่ยาวนานและเริ่มต้น ‘ชีวิตคู่’ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของ “Under His Command — ใต้คำสั่งของบอส” ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เพื่อเป็นการส่งท้ายการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขา ผมขอมอบภาพสุดท้าย...ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับ บทส่งท้าย (Epilogue) ห้าปีต่อมา... สายลมทะเลอุ่นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าของลลินอย่างแผ่วเบา เธอยืนอยู่ที่ระเบียงของ ‘ศูนย์พลังงานยั่งยืนอานนท์-วิทยา’ ในจังหวัดระยอง...สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความจริงทั้งหมด บัดนี้...ศูนย์วิจัยเล็กๆ ได้เติบโตและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานสะอาดชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เป็
กาลเวลา...คือแม่น้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ มันพัดพาเอาความเจ็บปวดและความขัดแย้งให้จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนแห่งความทรงจำและบทเรียนอันล้ำค่า หนึ่งปีต่อมา... สายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวในกรุงเทพฯ พัดโชยมาเบาๆ แต่ภายในห้องประชุมใหญ่ของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นและความสำเร็จ ลลินในชุดสูทสีขาวสะอาดตากำลังยืนอยู่บนเวทีเบื้องหน้ากลุ่มนักศึกษาและนักลงทุนหลายสิบคน เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเงาของใครอีกต่อไปแล้ว...แต่กำลังส่องสว่างด้วยแสงสว่างในตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร...ผู้หญิงที่ได้สานต่อความฝันของพ่อให้กลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม “...และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเรียนทุนรุ่นแรกของเราค่ะ” เธอพูดพลางผายมือไปยังผลงานที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ห้อง “จากโครงการแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กสำหรับชุมชนห่างไกล...ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า...เมล็ดพันธุ์แห่งความอัจฉริยะที่พ่อของดิฉันได้หว่านไว้เมื่อสิบสองปีก่อน...บัดนี้ได้เติบโตและผลิดอก
หนึ่งเดือนหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งประวัติศาสตร์...พายุลูกใหญ่ที่เคยพัดถล่มพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้สงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และท้องฟ้าที่สดใสและปลอดโปร่งกว่าเดิม คุณกิตติและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สมุดบัญชีลับเล่มนั้นได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่มัดตัวพวกเขาจนดิ้นไม่หลุด และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นตำนานบทใหม่ของวงการธุรกิจไทย...เรื่องราวของ CEO หนุ่มผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม...และผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับโลกภายนอก...มันคือบทสรุปที่สวยงาม แต่สำหรับลลินและภาคิน...มันคือการเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิตจริง ลลินก้าวเข้ามาในที่ทำงานแห่งใหม่ของเธอ...สำนักงานของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ มันไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกพีรพัฒน์ฯ แต่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกรีโนเวทใหม่ทั้งหมดในย่านเมืองเก่าที่เงียบสงบ ภาคินทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตที่นี่ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์และความหวังอย่างแท้จริง ที่นี่...คืออาณาจักรของเธอ เธอไม่ได้เดินเข้ามา
รุ่งอรุณของวันใหม่หลังจากพายุที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านไปนั้น...สงบสุขและงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่บ้านของภาคิน ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยหรือพันธมิตรในสงครามอีกต่อไป แต่ในฐานะคนรัก...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ค้นพบความสงบสุขเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าทุกวัน และอากาศที่เธอสูดเข้าไปก็ปราศจากความหนักอึ้งของความแค้นและความกังวล สงครามได้จบลงแล้ว...และพวกเขาคือผู้ชนะ เธอกับภาคินใช้เวลาในช่วงเช้าอันเงียบสงบนั้นเหมือนกับคู่รักธรรมดาทั่วไป พวกเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกันในครัวที่โปร่งโล่ง บทสนทนาไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลับหรือการวิเคราะห์ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ...เรื่องที่ว่าใครจะล้างจาน...เรื่องแผนการที่จะหาเวลาว่างไปดูหนังด้วยกัน...มันคือความธรรมดาสามัญที่แสนจะมีค่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...ว่ามันจบลงแล้วจริงๆ” ลินพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว มองแผ่นหลังกว้างของภาคินที่กำลังยืนล้างจานอยู่ ภาคินหันมายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ผมก็เหมือนกัน” เขาวางจาน
เก้าโมงเช้า...ใจกลางกรุงเทพมหานคร...บนชั้น 33 ของตึกพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์...ห้องประชุมคณะกรรมการบริหารที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของสงครามเย็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ กรรมการบริหารแต่ละคนทยอยเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป กลุ่มที่เป็นพันธมิตรของภาคินมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่แน่นอน ในขณะที่กลุ่มที่เป็นคนของคุณกิตติกลับมีรอยยิ้มที่พึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าวันนี้...คือวันที่พวกเขาจะทำการ ‘เปลี่ยนขั้ว’ อำนาจครั้งใหญ่ และที่หัวโต๊ะ...ในตำแหน่งของประธาน...คุณกิตตินั่งรออยู่ด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีราคาแพง ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยบารมีของผู้อาวุโสที่กำลังจะทวงคืนความยิ่งใหญ่...เขาคือผู้ชนะที่รอเวลาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยการมาถึงของตัวละครหลัก...บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! ทุกสายตาหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน... ภาคิน พีรพัฒน์ ก้าวเข้ามาในห้อง...สง่างามและน่าเกรงขามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะ
ท้องฟ้าเบื้องล่างค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วเจือด้วยสีส้มของแสงอรุณที่ขอบฟ้า เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ มุ่งหน้าจากทิศเหนือกลับสู่ใจกลางของพายุ...กรุงเทพมหานคร ภายในห้องโดยสารที่เล็กและเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังครางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลลินและภาคินไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ความเงียบนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนครั้งก่อนๆ...แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ภาคินกำลังใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยที่สุดในการติดต่อกับเครือข่ายพันธมิตรของเขาในกรุงเทพฯ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น เด็ดขาด และเต็มไปด้วยอำนาจ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะของผู้ที่กำลังจะถูกถอดถอน แต่เป็นเหมือนแม่ทัพที่กำลังบัญชาการรบจากแดนไกล “คุณอาฉัตรชัยครับ” เขาพูดกับปลายสาย “พรุ่งนี้เช้า...ผมไม่ต้องการให้คุณอาโต้แย้งญัตติของคุณกิตติ แต่ผมต้องการให้คุณอา ‘ตั้งคำถาม’...ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ตั้งคำถามถึงหลักฐาน และที่สำคัญที่สุด...ตั้งคำถามถึง ‘แรงจูงใจ’ ที่แท้จริงของคุณกิตติในการทำเรื่องนี้...เราต้องทำ







