“โนเอลโกรธพี่ เขากลัวว่าพี่จะกลายเป็นผู้หญิงสำส่อนและตอแหล” มินนี่เฉลยทุกอย่าง
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกเอาเรื่องของฉันมาพูดกับคนอื่นสักที” พี่สาวมองน้องตาขวาง “เธอเป็นน้องของฉันหรือเปล่า ไปนอนได้แล้วย่ะ”
“ถ้าฉันไม่เล่าเรื่องของพี่ ฉันจะไปเล่าเรื่องของใครล่ะ” มินนี่ยิ้มทะเล้นแล้ววิ่งหนีไป อเล็กซิสหัวเราะเบา ๆ แต่พอเห็นสายตาเทสซ่าดุจนน่ากลัว อารมณ์ขันนั้นหายวับไปทันที
“โทษที...” เด็กสาวมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง สามทุ่มแล้ว “เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะ”
เทสซ่าหันไปหาออสโล่เหมือนขอความเห็น หนุ่มผมแดงสั่นหัว เธอจึงหันกลับมาหาอเล็กซิสอีก “ไม่ ไม่ ไม่ได้สิ นี่ยังไม่ดึกเลยนะ” โทนเสียงไม่เห็นด้วยสุด ๆ แต่เธอหยุดพูดสักพักเพื่อมองเวดจูบดูดดื่มกับสาวคนนั้น “อเล็กซิส เธอทำตัวเป็นยายแก่เลย”
“คงจะแก่แล้วมั้ง”
“เพราะเวดหรือเปล่า”
เธอหัวเราะ “ไม่ใช่ สำหรับเรื่องนั้น ฉันสบายดี ยินดีเสียอีกที่เขาเจอคนใหม่ ดูเธอสิ สวยเป็นบ้าแถมยังมีชีวิตชีวากว่าฉันเป็นไหน ๆ ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก เทสซ่า มันเป็นที่ตัวฉันเอง”
สาวผมสีทองคนนั้นดึงดูดสายตาหนุ่ม ๆ มากมาย เธอแต่งหน้าบาง ๆ ดวงตาแพรวพราวเป็นประกายราวกับมีเพชรประดับข้างใน อเล็กซิสชอบท่วงท่าของเธอเวลาเต้น มันน่ามองไปหมด พอเห็นผมสีทองเป็นเกลียวพลิ้วไหว เธออดนึกถึงเจ้าชาร์ลีน้องเล็กและผมสีทองของเขาไม่ได้
“มันเป็นเพราะฉันเอง” เธอย้ำ
“เธอใช้เวลานอนมากขึ้นทุกทีแล้วนะ” ออสโล่พูดดัก “อย่าหมกมุ่นกับความฝันจนเกินไป มันเป็นแค่ความฝันนะอเล็กซ์” เธอแน่ใจว่าเขาคงสังเกตเห็นว่าเธอเข้านอนเร็วขึ้นทุกวัน
อเล็กซิสไม่สบตาออสโล่กับเทสซ่า “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
ฝันเป็นหนทางเดียวที่เธอจะเจอพวกเขาอีก บางคืนเธอนั่งคุยกับพ่อเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ นั่งกินพายแอปเปิลของแม่ หรือบางทีเธอกำลังอ่านหนังสือ มีไบรซ์เล่นกีตาร์คลอ ส่วนเจสซี่นอนอ่านตำราอยู่บนพื้น จูนยังเป็นเพื่อนรักของเธอ เดวี่ก็ยังเป็นแฟนของเธอ แม้แต่เจ้าสุนัขแบลกกี้และแมวแคทเธอรีนยังฟื้นจากหลุมวิ่งเล่นไปทั่วบ้าน คืนนี้เป็นอีกคืนที่เธอเจอเดวี่ เขานั่งอยู่บนโซฟาเพื่อดูแข่งฟุตบอล ส่วนอเล็กซิสนอนอยู่บนตักของเขา
“น่าเสียดายที่นายไม่มีตัวตนจริง ๆ” เธอบอกเขา และหมายถึงเดวี่ที่เธอโหยหา ไม่ใช่เดวี่ที่หลอกลวงเธอ ภายในดวงตาสีฮาเซลคู่นี้ เธอสัมผัสได้ถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่เดวี่ตัวจริงไม่มี มันเป็นภาพหลอนที่หอมหวาน ภาพของเด็กหนุ่มที่เธอรักและคิดถึงทุกลมหายใจ
“แล้วที่นั่งอยู่คือใครล่ะ” เขาหัวเราะและก้มลงจูบเธอ แม้จะฝันอยู่ แต่ลมหายใจของเขาอุ่น ทั้งริมฝีปาก และไออุ่นจากตัว เหมือนมีตัวตนอยู่จริง เด็กสาวลุกขึ้นนั่งบนตักแล้วกอดร่างเดวี่ที่ตัวเธอสร้างขึ้น เธอยังรู้ตัวว่านี่คือความฝัน ในภาพหลอน อเล็กซิสพอใจที่จะเสพความสุขแม้เพียงชั่วคราว
“เธอกอดฉันแน่นจัง” เขาว่า “มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันแค่คิดถึงนาย” เธอตอบ แต่สายตากลับเห็นเพดานที่คุ้นเคย อเล็กซิสพยายามรั้งตัวเองให้ฝันต่อไป แต่สุดท้าย ภาพทุกอย่างละลาย เธอตื่น
ห้องที่แต่งแต้มด้วยสีขาวจนเว่อร์ เตียงเดี่ยว ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ และนาฬิกาดิจิทัล เธอหลับตา พยายามกลับไปยังห้องนั่งเล่นและหาเดวี่อีกครั้ง แต่เธอไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้
อเล็กซิสเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองทำถูกหรือไม่ที่ปฏิเสธเวดไป ในเมื่อเธอต้องการอ้อมกอดของใครสักคน และเวดก็คงให้ความอบอุ่นเธอได้แน่นอน เขามีแขนและแผ่นอกที่กว้างเหมือนเดวี่ แต่ถ้าเธออยู่เคียงข้างเวด จูบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เธอนึกถึงภาพเวดจูบกับสาวผมบลอนด์คนนั้น อเล็กซิสแทบไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธออยากจูบกับใครสักคนแบบนั้นบ้าง มันทั้งเร่าร้อนและวาบหวาม น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่เธอพยายามนึกถึงช่วงเวลาที่เธออยู่กับเดวี่ หน้าสวยคมของจูนกลับปรากฏขึ้นมาแทน แม้มันไม่เจ็บเหมือนตอนนั้น แต่ใช่ว่าจะมีอารมณ์นึกต่อ
สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างคือ เธอมักรู้สึกตัวเสมอเวลาฝัน มันเกิดขึ้นแบบนี้มาหลายคืนแล้ว อย่างที่ออสโล่ว่า มันไม่ใช่หนทางหลบหนีความจริงที่ดีที่สุด เพราะเธอไม่สามารถมีความสุขได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ อันเนื่องมาจากอาการรู้สึกตัวอยู่ตลอด ดังนั้นเวลาเธอฝัน เธอมักหวาดระแวงว่าจะตื่น
เด็กสาวลุกออกจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังกระจก เธอมองภาพสะท้อนตัวเอง แทบไม่รู้จักเด็กผู้หญิงในนั้นเลย อเล็กซิสไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้ พ่อเคยบอกว่า รอยยิ้มของเธอสวยที่สุด แต่เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะกลับไปยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจได้เหมือนเดิม
ในเมื่อเธอนอนต่อไม่ได้เพราะเข้านอนเร็วเกินไป สมองไม่ยอมพักต่อ เธอจึงล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นตัดสินใจออกจากห้อง เธอมุ่งหน้าไปยังทีวีจอยักษ์ ทว่าพบแต่ข้อความที่อ่านเมื่อเช้านี้ ไม่มีข้อความใหม่ใด ๆ ถึงแม้ไม่มีหน้าต่าง แต่เธอยังรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืนได้จากจำนวนคนและบรรยากาศที่เงียบสงบ ในเวลานี้ คนอื่นอาจเข้านอนแล้ว หรือไม่ก็ยังปาร์ตี้กันต่อ
เธอนึกถึงห้องท้องฟ้าจำลองที่มักมีกลิ่นกัญชาตลอดเวลา บางทีเวลานี้กลิ่นนั้นอาจจะหายไปแล้ว และคงไม่มีใครรบกวนเวลาเธอนั่งดูดาว
ห้องนั้นห่างจากห้องอาหารอยู่ไม่เท่าไร ใช้เวลาเดินราวหนึ่งถึงสองนาทีก็ถึง อเล็กซิสยืนอยู่หน้าประตูสีดำซึ่งเป็นสีที่แปลกจากประตูอื่น โชคดีเหมือนที่เธอคิดไว้ ไม่มีใครอยู่ในห้อง แต่ยังมีกลิ่นกัญชาหลงเหลืออยู่บ้าง ดวงดาวมากมายส่องแสงระยิบระยับต้อนรับอยู่ด้านใน แม้มันไม่ใช่ท้องฟ้าจริง ๆ แต่เธอประทับใจกับภาพที่เห็นอยู่ดี เพราะมันสวยเกินจริง และเพราะเธอไม่ได้เห็นท้องฟ้ามานานแล้ว
เด็กสาวเดินตรงไปที่เครื่องฉาย พอเธอแตะมัน เสียงสังเคราะห์ดังขึ้น “คุณต้องการให้เราฉายหนังสารคดีหรือไม่”
“บอกรายละเอียดมาทีสิ” เธอพูดกับเจ้าโพรเจกเตอร์ เริ่มคุ้นชินกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในนี้
“มีภาพยนตร์สารคดีสามเรื่อง กำเนิดจักรวาล จุดจบของดวงดาว และโลกของเรา”
“จุดจบของดวงดาว” อเล็กซิสเลือกโดยไม่ลังเล
ดวงดาวนับพันที่รายล้อมรอบกายค่อย ๆ อับแสงลงเรื่อย ๆ จนห้องมืดสนิท อเล็กซิสมองไม่เห็นอะไรเลย ทันใดนั้นดวงดาราส่องสว่างวาบ เธอยืนดูต้นกำเนิดดาวแคระขาว ซูเปอร์โนวา ดาวนิวตรอน และหลุมดำ ด้วยคุณภาพของเครื่องฉายที่ล้ำสมัยเกินกว่าที่เธอเคยเจอ อวกาศจำลองจึงสมจริงราวกับเธอสามารถหายใจอยู่ในห้วงอวกาศได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดและดับ การชนกันระหว่างดวงดาวทำให้เธอยืนมองนิ่งไม่ไหวติง ประหนึ่งต้องมนตร์ดารา ความคิดต่าง ๆ ถูกปล่อยให้ไหลไปกับสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในอวกาศเทียม จากนั้นภาพเหตุการณ์ในชีวิตปรากฏขึ้นในมโนสำนึก ตั้งแต่วันแรกที่เธอกลายเป็นอเล็กซิส เดวิส ช่วงเวลาของเธอกับครอบครัว และเมื่อครั้งที่จากกัน เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้าด้วยซ้ำ ไม่เคยแม้แต่ค้นหาพ่อแม่ตัวจริงที่ทิ้งเธอไป ไม่เคยคิดว่าคาเลบและเบียนน่าเป็นเพียงผู้อุปการะ แต่คือพ่อแม่ของเธอจริง ๆ แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าชีวิตจะผ่านอะไรมาแค่ไหน เธอยังเป็นเพียงเศษฝุ่นในจักรวาล มีอายุขัยสั้นกว่าซูเปอร์โนวาเสียอีก
จะเป็นอย่างไรหากเธอไม่เคยรู้จักคำว่า ‘รักและความอบอุ่นของครอบครัว’ มาก่อน อเล็กซิสจะยอมรับความจริงได้ดีกว่านี้หรือเปล่า ถ้าเกิดพระเจ้ามีอยู่จริง เหตุใดท่านจึงให้เธอสัมผัสถึงความรักและความอบอุ่นของพวกเขาแล้วพรากมันไป การรับมือกับความเจ็บปวดนั้นไม่ง่ายเลย
จุดประสงค์ของแต่ละฝ่ายคืออะไรกัน ทั้งพระเจ้าและรัฐบาล อเล็กซิสครุ่นคิดเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืน หวังว่าดวงดาวจะให้คำตอบแก่เธอ เกิดอะไรขึ้นหลังจากยุคหายนะ รัฐบาลปิดบังเรื่องอะไรไว้บ้าง
“มีหนังสารคดีเรื่องอื่นอีกไหม”
“ต้องใช้เวลาในการดาวน์โหลด”
“ได้”
“โปรดป้อนคีย์เวิร์ด”
“เหตุการณ์หลังยุคหายนะ”
“ไม่มีข้อมูลที่คุณต้องการ”
แหม เร็วไปไหม อเล็กซิสแค่นยิ้มให้กับตัวเอง นึกขันที่พยายามจะหาคำตอบจากเครื่องฉาย ฉับพลันจมูกได้กลิ่นกัญชาลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
แย่ที่สุด
เธอหันไปเผชิญหน้ากับคนที่คอยไล่ทุกคนออกจากห้องด้วยกลิ่นนี้ เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง ค่อนข้างเพรียวแต่ไม่ผอมแห้ง ออกจะแข็งแรงด้วยซ้ำ คนตรงหน้าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว กางเกงยีน และรองเท้าบูตส์ (ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าสีอะไร) เขาจ้องมา ขณะเดียวกัน อเล็กซิสก็จ้องกลับ สำรวจมองลักษณะจึงเห็นผมสีดำยุ่ง ๆ ที่ทำให้เธอนึกถึงเจสซี่ ชายหนุ่มคนนี้ดูหล่อก็จริง แต่ก็ดูนิสัยร้ายกาจด้วย เมื่อแสงจากการระเบิดของดวงดาวสาดเข้าที่ใบหน้านี้ เธอจึงเห็นว่าสีหน้าของเขาเหมือนสะลึมสะลือ แต่พอกะพริบตาอีกทีกลับส่งแววตายียวนกวนประสาท“ช่วยหยุดสูบบุหรี่ได้ไหม” เด็กสาวขอร้องอย่างสุภาพแทนที่จะตอบรับ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาตรงหน้า พร้อมกับบุหรี่ที่คาบไว้ในปาก “ทามมายล่ะ มีกฎห้ามหรา” เขาตอบเสียงยานคางมุมปากข้างหนึ่งของเขากระตุกเหมือนยิ้มเยาะเมื่อเห็นว่าเธออึ้งที่เขาปฏิเสธ ไม่สนใจมารยาทอันใด ชายร่างสูงจ้องหน้ายักคิ้วข้างหนึ่ง โทสะปะทุขึ้นในใจแต่ยังอยู่ในระดับแค่มีคนมาจุดไฟเย็นข้างใน อเล็กซิสพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ปล่อยให้ไฟไหม้จนหมดแท่งเด็กสาวเดินหนีและพูดกับเจ้าเครื่องฉายว่า &ld
“คงงั้น สมน้ำหน้าแล้วนี่” เธอตอบ บางทีคนคนนี้อาจไม่ได้นิสัยแย่อะไรมาก อาจจะเป็นแค่เกรียนคนหนึ่ง “แล้วก็ขอบคุณที่นายผลักฉันออกไปด้วย...ถึงแม้จะเกือบโหม่งกำแพงก็เถอะ เอ ว่าแต่ตอนนั้นนายผลักฉันเหรอ”แต่เธอไม่ได้ติดใจอะไรมาก อเล็กซิสมองไปรอบ ๆ แล้วถอนหายใจ แต่แล้วแสงสว่างในห้องค่อย ๆ ลดลงจนมืดสนิท เครื่องโพรเจกเตอร์กลับมาทำงานอีกครั้ง ดวงดาวฟื้นคืนชีวิต“นายคงชอบห้องนี้มาก ก็ได้ ฉันปล่อยให้นายครองห้องก็แล้วกัน” เด็กสาวยอมแพ้ปราศจากอาการตะขิดตะขวงใจหรืออยากเอาชนะอีก เธอไม่มีอารมณ์มานั่งค้นหาคำตอบจากดาวพวกนี้อีกแล้ว ยิ่งเห็นท่าทางใจสลายเมื่อครู่ เธอนึกสงสารเขาอยู่ชายหนุ่มเงยหน้ามอง ปัดผมสีดำออกไปจากหน้า “อยู่สิ เธอจะอยู่ต่อก็ได้”“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่อยากดูอะไรแล้ว”“ไม่ ๆ...อยู่เถอะ ฉันอยากจะแบ่งห้องให้เธอใช้แล้วไง เธอต้องให้เกียรติฉันสิ นี่อุตส่าห์มีน้ำใจแล้วนะ”อเล็กซิสสั่นหัว แต่ไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวเหมือนก่อนหน้านี้ เธอนั่งลงบนพื้น น่าแปลกที่มันแห้งสนิท“เวทมนต
“ฟังดู...น่ากลัวแฮะ แถมประโยคหลังก็ไม่น่าไว้ใจ” เหมือนหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น ใบหน้าปีศาจของคาเมรอนผุดขึ้นมาในความคิดด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าชายคนนี้จะกลายเป็นปีศาจเหมือนไอ้เวรนั่น แต่เขาดูไม่เหมือนคนพวกนั้น เธอไม่รู้สึกสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก แต่กระนั้น...“ฉันนั่งดูนายเล่นกลก็ได้ ฉันเป็นผู้ชมที่ดีนะ ขอเถอะ อย่าคะยั้นคะยอเลย”อเล็กซ์คงสังเกตเห็นว่าเธอไม่สบายใจ เขาจึงพูดโน้มน้าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนลง “ไม่น่ากลัวหรอก เธอปลอดภัยแน่ ๆ ฉันจะอุ้มเธอไว้แบบนี้ เถอะน่า ฉันต้องมีผู้ช่วย แล้วตอนนี้เธอได้รับตั๋วชมชั้นพิเศษเชียวนะ โชคดีขนาดไหนแล้ว”ใบหน้าของเขาห่างกับเธอไม่กี่คืบ และเพราะเหตุนี้ เธอจึงมองเห็นดวงตาของเขาได้เต็มตา มันเป็นสีดำสนิท แต่สะท้อนให้เห็นดาราจักรที่โลดแล่นอยู่ข้างใน และไม่รู้เพราะอะไร เธอเกิดเชื่อใจเขาขึ้นมา“นายสัญญานะว่ามันไม่อันตราย”“แน่นอน ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันสัญญา” เขาชูนิ้วก้อยขึ้น“แล้วทำไมต้องอุ้มด้วย” เด็กสาวไม่หยุดซักถาม“เพราะมันง่ายกว่
“ที่นี่มีไว้ทำอะไรกันแน่”ทีวีจอแบนบนโต๊ะแสดงรายละเอียดข้อมูลสุขภาพ ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง วันเกิด กรุ๊ปเลือด ระดับคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต และอื่น ๆ เจ้าหน้าที่สาวสวมชุดเครื่องแบบสีขาวคล้ายนางพยาบาล (ขาวอีกละ!) คาดผ้าปิดปากสีเขียว เธอเอ่ยชมเบนด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ดว่าสุขภาพของเขาดีอย่างน่าเหลือเชื่อ“คุณครับ ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เอาไว้ทำอะไร”เธอดึงแขนข้างที่สวมนาฬิกาแล้วอธิบายวิธีการใช้งาน อุปกรณ์ตัวนี้สามารถบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาได้หมด โดยหากกดปุ่มแสดงรายละเอียดจะขึ้นเป็นจอโฮโลแกรม มันยังแสดงเวลาล่าสุดที่เขาสูบบุหรี่ครั้งสุดท้าย ใช่แล้ว ครั้งสุดท้าย เพราะห้องนั้นติดตั้งเครื่องดักจับควันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อเล็กซ์อกหักยับเยิน“สรุปที่นี่เอาไว้ทำไรวะ บอกมาสักทีสิเว้ยเฮ้ย”“คนต่อไป! อเล็กซานเดอร์ โวลคอฟ”เก้าอี้เลื่อนไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ จากนั้นตัวเบาะกระเด้งขึ้นผลักเขาออกจากที่นั่งโดยปริยาย เบนกระเด็นล้มลงออกมานอกห้อง คำถามที่เขาถามไปเมื่อครู่ นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว ตัวเองยังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นเบนลูบก้นตัวเอง เขายืนรออเล็กซ์ไม่นาน ร่างสูงเดินออกมาต่างจากเขาที่ถูกผล
ทั้งสองเคยไปลองเล่นที่สนามบาสแล้วครั้งหนึ่ง เบนกับอเล็กซ์ไม่ค่อยนิยมเล่นกีฬาแนวนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปเล่นที่นั่นอีก ช่วงที่พวกเขายังเป็นนักเรียน ทั้งสองเลือกเข้าสมาคมศิลปะป้องกันตัว มวย ยิงปืน ว่ายน้ำ และเทนนิส ส่วนกอล์ฟซึ่งเป็นกีฬาที่คนส่วนใหญ่ในฟิวเจอร์ริสติกนิยมกลับเป็นกีฬาที่ทั้งสองเกลียด พวกเขาหลงใหลกีฬาแนวต่อสู้และใช้อาวุธ อันเนื่องมาจากอิทธิพลที่ได้รับมาจากเหล่าฮีโร่ในวัยเด็ก โดยเฉพาะเบนที่ชอบของพวกนี้มากเป็นพิเศษ เขายังมีงานอดิเรกสะสมอาวุธ ทั้งของโบราณและสมัยใหม่สนามบาสของที่นี่ปูพื้นด้วยไม้เมเปิ้ลขัดเงาเป็นมันวาว ส่วนอัฒจันทร์ตั้งอยู่ด้านในและมีเพียงฝั่งเดียว คนหกคนกำลังรอพวกเขาอยู่ ทั้งหมดสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น หรือไม่ก็กางเกงยีน อเล็กซิสนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเทสซ่ากับเด็กหนุ่มผมสีแดง พอเทสซ่าเห็นหน้าเบน หญิงสาวหรี่ตามองเชิดคางขึ้น เบนนึกสนุกเลยขยิบตาพร้อมกับส่งยิ้มยียวนให้เธอ สาวคู่อริจึงทักทายตอบด้วยนิ้วกลาง“เฮ้” อเล็กซิสโบกมือทักทาย เขาหันเหความสนใจไปที่เด็กสาวคนนี้ทันที เบนเกือบจะโบกมือกลับอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เห็นว่าสายตาของเธอมองเลยไปยั
“โอเค ในเมื่อมินนี่ไม่ยอมลงมาเล่น งั้นเรามาโอน้อยออกกัน!” อเล็กซิสดึงความสนใจจากทุกคนอีกรอบ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากเริ่มเล่นให้เร็วที่สุด แววตาของเธอเป็นประกายวิบวับพวกเขาแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมของอเล็กซิสประกอบไปด้วยโนเอล ออสโล่ และซาร่าห์ ส่วนทีมของเทสซ่ามีเบน อเล็กซ์ และเวด“ที่รัก พวกเราไม่เคยพรากจากกันเลย” เบนตรงเข้ากอดก่ายร่างสูงของเพื่อน ฝากฝังรอยเท้าไว้ที่ขากางเกงมากมายอเล็กซ์ทำหน้าเอือมระอา เขาดันศีรษะตัวเพื่อนออกไป แต่ไม่วายหัวเราะเบา ๆ“มีกฎข้อเดียวเท่านั้น ห้ามโกง! ห้ามใช้พลังพิเศษเด็ดขาด” เด็กสาวตาสีน้ำเงินประกาศ แต่ไม่ได้จ้องมองใครเป็นพิเศษ“นี่เธอก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ” เบนจ้องเพื่อนเขม็ง ต้องการให้อเล็กซ์คายทุกอย่างออกมาให้หมดเดี๋ยวนั้น“ใช่ เธอรู้ว่าฉันมีพลังพิเศษ แต่เขาไม่รู้เรื่องของนาย โอเค้? ทำไมต้องให้ฉันบอกทุกเรื่องด้วย นายไม่ใช่เมียสักหน่อย”“อ้าว ก็ฉันเป็นเพื่อนสนิท”“ที่แม่งนอนกับแฟนฉันเนี่ยนะ”“บอกแล้
เทสซ่าทำเสียงฮึ่มใส่ แต่พี่ชายของเธอกลับหัวเราะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน เขามองเบนเหมือนมองเด็กเล็ก ๆ อย่าเหมาว่าฉันเป็นน้องชายของนายเลย “มาเถอะ เทส” คนพี่เร่งน้องสาว เทสซ่ามอบนิ้วกลางให้เขาเป็นครั้งที่สามเพื่ออำลาก่อนเปลี่ยนทีมพออเล็กซิสมาอยู่ในทีม รูปเกมเปลี่ยนทันที โนเอลอาจตัวสูงใหญ่ แต่ตัวเขาไม่ใช่ผู้เล่นที่น่ากลัว เมื่อปราศจากคนส่งบอลที่ดี โนเอลก็ไม่ต่างอะไรจากกำแพงโง่ ๆ ที่ยืนขวางทางเท่านั้น ถ้าข้ามผ่านไปได้ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว อเล็กซิสวิ่งเร็ว แถมยังชู้ตแม่น ทีมของเขาจากที่ตามหลัง ตอนนี้เลยขึ้นนำ ทว่าคะแนนยังไม่ห่างกันมาก เบนไม่ประมาท จนกระทั่งอเล็กซ์ขอเวลานอก“ฉันว่า เราควรเปลี่ยนผู้เล่น อย่างนี้มันไม่แฟร์นะ ให้ฉันเปลี่ยนกับออสโล่ก็ได้” อเล็กซ์โพล่งออกมา“อะไรของนายวะ” เบนแทบอยากจะเขวี้ยงลูกบาสในมือทิ้ง บางครั้งนิสัยขึ้น ๆ ลง ๆ ของเพื่อนสนิททำให้เขาปวดขมับ“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าเราต้องจบเกมแล้วล่ะ ก่อนที่ออสโล่จะเป็นลม” อเล็กซิสว่า ทั้ง ๆ ที่ยังเล่นไปไม่ถึงชั่วโมง เด็กหนุ
“แล้วพวกเธอทำอะไรกัน หมายถึง คุยอะไรกันบ้าง”เธอหันหน้ามา เพ่งมอง“ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”“เปล่า แค่รู้สึกแปลกใจที่นายดูสนใจเพื่อนของนายกับฉันมากขนาดนี้ นายคงไม่เห็นหน้าตัวเองหรอก แต่หน้าของนายตอนนี้ขึงขังมาก”“คือ” เขาพยายามหาข้อแก้ตัว “เขาขังตัวเองในห้องนั้นมาหลายวัน ฉันเป็นห่วงมาก แล้วจู่ ๆ เขาก็ออกมา ฉันก็เลยคิดว่า เธออาจจะมีส่วนช่วยด้วย”“อ้อ เข้าใจแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะฉันหรอก เขาคิดได้ด้วยตัวเองน่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆเบนจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น จากนั้นเธอคลี่ยิ้มบาง ๆ “ไม่เชื่อเหรอ ฉันพูดจริงนะ พวกเราแค่คุยกันเรื่องปรัชญาต่าง ๆ เท่านั้นเอง”“หา ปรัชญาเหรอ”อเล็กซิสเลิกคิ้ว ทำให้เบนปรับสีหน้าเป็นปกติ “เดส์การ์ต อริสโตเติล ซาร์ต นายรู้จักคนพวกนี้ไหม”“แน่นอน ฉันรู้จัก...พวกเธอคุยกันแค่นี้เหรอ”“อื้อ ก็มีเรื่องอื่นด้วยแหละ แต่ว่าส่วนใหญ่คุยกันเรื่องนี้ เพื่อนของนายค่อนข้างรู้
บลูรู้แล้วว่าเขาได้อยู่กลุ่มบี แต่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะได้อยู่หน่วยไหน และสุดท้าย “บลู เทอร์นเนอร์” เขาตบบ่าเพียซและโอลิแวนเพื่อไปเข้ากับหน่วยรุก ชายหนุ่มจงใจเดินผ่านลูกบ้านสาวตาน้ำเงิน เธออยู่กลุ่มบีกับเขา แต่น่าจะเป็นหน่วยสนับสนุน สีหน้าเด็กสาวบ่งบอกว่าประหลาดใจเมื่อเห็นบลู แค่นั้นเขาพอใจกลุ่มของเขาจะบุกตึกร้าง ซึ่งบลูไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนเพราะไม่ได้เข้าอบรมเหมือนคนอื่น แม้เขาเคยเห็นราซาในสภาพเมืองที่มีชีวิตมาก่อนเมืองร้าง แต่ในเมื่อมันเป็นเมืองร้าง ตึกทุกแห่งย่อมร้างผู้คน รถถังเคลื่อนทัพนำไปก่อน ภายในใจเริ่มปล่อยวางเมื่อเห็นว่าพวกทหารเป็นฝ่ายห้อมล้อมกลุ่มอาสา หาได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นแนวหน้าไม่ แม้จะอยู่ในหน่วยรุก พวกเขายังรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยอยู่ดี และพวกทหารจะเป็นฝ่ายเปิดคอยระแวดระวังให้ก่อน กลุ่มอาสามาเพิ่มกำลังให้จริงดังคำเชิญชวน บลูค่อนข้างเหงานิดหน่อยเพราะโอลิแวนและเพียซอยู่แถวหลัง ๆ แม้บางคนเขารู้จักแต่แค่เพียงผิวเผิน บลูจึงผูกสัมพันธ์กับรีเวอร์ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มต้องสงสัยไม่กี่คนในหน่วยนี้ เขาเรียกว่าไรดี การต่อสู้คราวนั้นก่อให้เกิดมิตรภาพได้ ด
“ถ้างั้นเลือกสักอย่างเผื่อไว้” เจ้าหน้าที่กดปุ่มบนโต๊ะ ตัวแผ่นพลิกขึ้นเผยให้เห็นคลังอาวุธข้างใน ทว่าแม้บลูจะพอเดาได้ว่าอันไหนปืน อันไหนมีด แต่เขาใช้ไม่เป็นเลยสักอัน จึงสุ่มเลือกมีดสั้นด้ามหนาขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนมีดพกธรรมดา เขาถนัดของเบสิก“อันนี้สามารถเสียบไว้ใต้แขน”ชายหนุ่มหงายแขนตัวเองขึ้น เห็นที่เสียบเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ “ใช้ยังไงเหรอ”ทหารหนุ่มจับมีดแล้วตวัด ใบมีดโผล่ออกมา “เหมือนมีดพกก็จริง” เขาตวัดกลับ ใบมีดกลับเข้าไปข้างใน บลูจ้องตาไม่กะพริบ เมื่อใช้นิ้วโป้งกดตรงสัน ใบมีดโค้งโผล่ออกมาจากปลายทั้งสองด้าน และเมื่อมันถูกเขวี้ยงออกไปกลับแล่นกลับมาหาเจ้าของคล้ายกับบูมเมอแรงนั่นเอง “ลองดู”บลูมองมีดในมือแล้วตวัดไปตวัดมา จากนั้นลองใช้แบบบูมเมอแรง อุปกรณ์นั้นใช้ง่าย อาจเป็นเพราะมันมีระบบอัตโนมัติติดตั้งเอาไว้ให้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก“มีสองที่ ก็เอาไปสอง” เขาหงายมือแล้วเสียบมีด จากที่ตัวเบาก็เริ่มพะรุงพะรังขึ้นนิดหน่อย “หมดแล้วใช่ไหม” เขาถาม&ldqu
หน้าประตูเหล็กสีดำ นายทหารสองนายยืนประจำการเฝ้าอยู่ พวกเขามองไปรอบ ๆ แปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มคนเลยทั้งที่นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าเพิ่งเจ็ดโมงยี่สิบเจ็ดนาที ในใจบลูหวาดกลัวว่ามันอาจเป็นกลลวง และเอมอนอาจตกอยู่ในอันตรายจึงปรี่เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งสอง พอเห็นชายสองคนตรงเข้ามา ทั้งสองนายพร้อมใจกันยกมือให้พวกเขาหยุด “อาสาสมัครใช่หรือไม่ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”“พวกเราไม่ได้ลงทะเบียน” เขาตอบ “พวกเขาไปกันแล้วเหรอ”ทั้งสองคนมองหน้ากัน คนหนึ่งพยักหน้า ชี้นิ้วโป้งไปทางประตู “เตรียมตัวอยู่ข้างใน ถ้างั้นพวกนายก็กลับไปซะ”“เดี๋ยว” อีกคนยั้งเพื่อนไว้ ทำมือบอกพวกเขาให้รอตรงนี้ทหารคนนั้นทาบมือกับบานประตู แผ่นเหล็กเลื่อนลงเผยให้เห็นช่องทึบข้างใน บลูจะชะโงกหน้าดู แต่เมื่อเห็นอีกคนที่เฝ้าอยู่เหล่มองก็ก้มหน้า ไม่กี่วินาทีต่อมา “บอกชื่อพวกนายมา” เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับริงโก้ แล้วตอบไป“บลู เทอร์นเนอร์”“โบธิสต้า ซานโดวอล”นั่นคือจริงของริงโก้ เขาไม่รู้ที่มาว่าทำไมชายคนนี
บลูสลัดมือแล้วเช็ดเสื้อชายหนุ่ม เวลาเขาอยู่ข้างริงโก้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์บอบบางที่พยายามล้มช้างแมมมอธ พอโดนแกล้งคืน ริงโก้ฮึดฮัด บลูยิ่งหัวเราะสะใจ “ฝากที่เหลือด้วยนะจ๊ะที่รัก” แล้วคว้าลังเบียร์เดินออกไปเลย ใครจะอยู่ฟังคำสบถแสลงหูเล่าดาดฟ้ากลายเป็นที่ประจำของบลูไปเสียแล้ว มือหนึ่งดีดฝาไฟแช๊ก อีกมือหยิบบุหรี่ ปากคาบแล้วจุดลมเย็นพัดผ่านร่าง หากไม่ได้สวมเสื้อแจ็กเกตกันหนาวคงสะท้านน่าดู ไม่ทันที่เขาจะหย่อนก้นลงบนม้านั่ง เอมอนเปิดประตูเหล็กอย่างแรง มือหนึ่งถือกล่องกระดาษ อีกข้างถือแผ่นพับกระดาษ “เล่นกันไหม”“เออ จัดเลย”น้องชายกางตารางกระดาษลงบนโต๊ะ เทของข้างในออกจากกล่อง มันเป็นฝาขวดที่เขาสะสม จากนั้นวางมันลงแทนหมากบนตาราง “ยัยเด็กนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”เอมอนแบมือ เขาส่งซองบุหรี่ให้ “อย่างที่ริงโก้ว่า เธอใช้ยาระงับอาการ ตอนริงโก้เคาะเลยเปิดให้ไม่ได้ ตอนนี้เดสก็ทดลองถอนพิษให้อยู่” ชายหนุ่มหยุดคิด “แต่ไม่น่าจะทำได้”ดูเหมือนว่าความล้มเหลวทำให้เอมอนเลิกโลกสวย “แ
เครื่องหมักเนยผสมกระเทียม มะนาว และผักชีลอยฟุ้งส่งความหอมละมุนผสมเปรี้ยว กลิ่นตลบผสานกับเนื้อแซลมอนบนกระทะร้อนส่งเสียงฉู่ฉ่าชวนให้น้ำลายสอ ด้านหลังโอลิแวน ไฟในเตาอบส่องสว่างฉายให้เห็นเนื้อหมูสันในอบกับมันฝรั่งหั่นเต๋าคละเคล้ากับเครื่องเทศมากมาย ส่วนผู้ปรุงแต่งสวมผ้ากันเปื้อนสีส้มอ่อน มือจับชามและทัพพีคลุกน้ำสลัด มีเพียซ ลูกมือคอยหั่นมะเขือเทศเป็นแว่นอยู่ข้างกาย ระหว่างนั้นเอมอนวางผ้าปูเตรียมมีด ส้อมและแก้ว แต่ละคนล้วนปิดปากเงียบ ไม่พูดคุยกัน หมกมุ่นกับเรื่องในใจบลูเห็นดังนั้นจึงถามขึ้น “พรุ่งนี้ไปกันกี่โมง” ตั้งใจทำลายความเงียบและปลุกทุกคนออกจากภวังค์ เขาเขยิบก้นนั่งบนเก้าอี้ริมข้างเคาท์เตอร์บาร์“เจ็ดโมง” เอมอนวางแก้วเปล่าลงข้างหน้าพี่ชาย “หรือจะเอาเบียร์”“น้ำนี่แหละ” บลูตอบ “เจ็ดเลยเหรอวะ โคตรเช้า”เมื่อเดสซิเรเดินเข้ามา ไอ้น้องบ้าผู้หญิงไม่รอช้าบริการหญิงสาวทันที เธอนั่งมุมโต๊ะ จากนั้นริงโก้เข้ามาเป็นคนสุดท้าย เลือกนั่งข้างบลู สายตามองถาดเนื้อหมูในเตาอบ พอโอลิแวนวางชามสลัดลงตรงกลาง หนุ่มร่างใหญ่ยืดตัวขึ้นตักแบ่งใส่จานตัวเองทันที บลูฟังเดสซิเรทวนกำหนดการสำหรับวันพรุ่งนี้ พวกเหล่าอ
สาวผมแดงนั่งมองพวกเขาอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าเพราะเสื้อผ้าถูกถอดออกทิ้งไว้บนพื้น อเล็กซิสกระตุกแขนไมเคิลที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ เธอส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มมากกว่าแสดงออกว่าโกรธ “อยากร่วมด้วยเหรอ” เสียงของหล่อนแหบกระเส่าจงใจยั่วอีกฝ่าย สุดท้ายอเล็กซิสลากไมเคิลออกไปได้สำเร็จไมเคิลมองหน้าเธอ ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันคิดว่าเธอถูกทำร้าย” แล้วชี้ไปที่บลูชายหนุ่มชี้หน้าตัวเอง “ฮะ ถูกทำร้าย?” จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากที่โมโหดูจะพอใจมากกว่า “ขอโทษที่รุนแรงจนนายตกใจ แต่ช่วยไม่ได้เพราะลีลาชั้นมันเผ็ดร้อน” เขาตบไหล่ชายหนุ่ม แต่ไมเคิลมีกะใจเบี่ยงตัวออก“คือ...บลู ไมเคิลค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย ฉันขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจ” อเล็กซิสแก้ตัวให้เพื่อนและพยายามมองแค่หน้าของบลู ปกติแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ หรือตรงสเป็ก แต่หุ่นของเขานี่มัน...หน้าอกชายหนุ่มยังคงสั่นไปตามแรงหัวเราะ “พูดจริงดิ เพื่อนเธอไม่รู้จักเสียงเมื่อกี้เหรอ เอ แล้วที่อยู่ในห้องกันสองคนทำอะไรกันวะ” เขาหันไป
ไมเคิลพยายามทำตัวเป็นปกติ เขามานอนเล่นในห้องเธอตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะในห้องตัวเองเต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสามหนุ่มไอทีอย่างโคดี้ เรมี กับอาคุสะที่พยายามถอดรหัสเข้าเครื่องให้ได้ ทอยซิตี้ไม่ใช่เมืองพักตากอากาศ หากพวกเขาไม่ดื่มหรือชมลานประลองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก ทั้งสองคุยกันว่าจะหางานทำช่วงเย็นดีไหม อย่างน้อยอาจแก้เบื่อแถมได้ชิปนิดหน่อย ไมเคิลเคยลองทำแล้วออกมาและอาจจะกลับเข้าไปใหม่วันนี้จึงผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับทั้งสองคน บางครั้งเธอนั่งจดบันทึกอยู่ เขาจะเริ่มเข้ามากระแซะ หลายครั้งเธออยากให้ตัวเองคล้อยตามแต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เธอหยุด สัมผัสของไมเคิลไม่ได้ทำให้เธอใจสั่น ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างเป็นต่อ อาจเป็นเพราะแววตาของเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าต้องการจริง ๆ และอาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างออสโล่กับลิ้ตเติ้ลชาร์ลีมากเกินไป ความใกล้ชิดของพวกเขายิ่งกว่าก่อนอเล็กซ์จะตีจากเสียอีก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนอนตัก กอด หรือถูกเนื้อต้องตัว พวกเขาไม่เคยไปไกลเกินกว่านี้ ถ้าไม่นับจูบทดลองคราวนั้นและสุดท้าย เด็กหนุ่มมักผล็อยหลับบนตักเธอเสมอ ไมเคิลชอบให้เธอเ
คำสุดท้ายแรงเหมือนตบหน้าโดยไม่ใช่มือ แววตาหยิ่งผยองเมื่อครู่กลายเป็นหวาดหวั่น และเมื่ออเล็กซิสเห็นเงาตัวเองในดวงตาคู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ความเกลียดชังในตัวเธอส่งผ่านออกมาจนเห็นชัดผ่านเงาสะท้อน และแม้แต่ตัวเองยังแทบรับไม่ได้กับใบหน้านั้น ดวงตาเธอเหลือบมองเทสซ่าและรีเวอร์ที่ยังคุยกันดี ไม่มีทะเลาะ จึงจับตัวมินนี่เลื่อนออกไป ให้ตัวเองมีช่องว่างปลีกตัวมินนี่ไม่สนใจ เธอเขยิบตัวแล้วก้าวไปเกาะกำแพงข้างหน้าแทน สายตาจดจ่ออยู่ที่พี่สาวตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง เวลานี้อเล็กซิสไม่สนใจแล้วว่าต้องรอเทสซ่าหรือไม่ แต่ฉวยโอกาสนี้กลับเขต ใบหน้าอาฆาตเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว“ฉันไม่เคยอยากให้พวกเขาตาย”เท้าเธอหยุดกะทันหัน เบลินดาเดินตามมา “เวดยังไม่ตาย” เธอสวน หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่มาจากที่เดียวกัน “เธอไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรู้สึกผิด ตลอดเวลาฉันเห็นเธอลอยหน้าลอยตาราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ...”“เพราะฉันเป็นเหยื่อ” เด็กสาวตรงหน้ากำหมัดแน่น มือทั้งสองข้างสั่นอเล็กซิสหัวเราะ “กล้าพูด”“เหยื่อของผองเพื่อ
“โอ้” ทำไมเราต้องรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ด้วยนะ เธอเหลือบมองเพื่อนสาวอีกที สองคนนั้นยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวว่ามีคนกล่าวถึง “หมอนั่นไม่ได้เป็นโรคจิตใช่ไหม” เธอถาม เพราะมินนี่ไม่เคยเก็บความลับของพี่สาวอยู่มินนี่ส่ายหัว “รีเวอร์น่ารักจะตาย ไม่กวนประสาทเหมือนโคดี้ด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่ โนเอลก็ชอบ” แววตาสีฟ้าอ่อนสลดลงเมื่อนึกถึงพี่ชายที่จากไป อเล็กซิสลุกขึ้นกอดเธอเป็นการปลอบโยน “ถ้าเขาไม่หายไปและไม่ทำให้เทสซ่าเสียใจก็ดี แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันเชียร์เขาแทนโคดี้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทำตาปริบ ๆ ถึงแม้เธอค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูน้องเล็กของพวกโธมัสคนนี้อเล็กซิสยิ้ม “ฉันรู้”เธอมองรีเวอร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้ตัวจึงเดินหายไป เธอไม่เคยรู้เรื่องเขาเลย ไม่แน่ใจว่าเทสซ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแฟนเก่า แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องขัดข้องใจกับแฟนปัจจุบันก็คงดี อเล็กซิสถอนหายใจ เธอนึกถึงวันที่อเล็กซ์เจอเธอแอบอยู่หลังถังขยะข้างตึกที่พักไมเคิล สติตกอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์ยา ถึงแม้เธอไม่อาจตอบได้