LOGIN“โนเอลโกรธพี่ เขากลัวว่าพี่จะกลายเป็นผู้หญิงสำส่อนและตอแหล” มินนี่เฉลยทุกอย่าง
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกเอาเรื่องของฉันมาพูดกับคนอื่นสักที” พี่สาวมองน้องตาขวาง “เธอเป็นน้องของฉันหรือเปล่า ไปนอนได้แล้วย่ะ”
“ถ้าฉันไม่เล่าเรื่องของพี่ ฉันจะไปเล่าเรื่องของใครล่ะ” มินนี่ยิ้มทะเล้นแล้ววิ่งหนีไป อเล็กซิสหัวเราะเบา ๆ แต่พอเห็นสายตาเทสซ่าดุจนน่ากลัว อารมณ์ขันนั้นหายวับไปทันที
“โทษที...” เด็กสาวมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง สามทุ่มแล้ว “เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะ”
เทสซ่าหันไปหาออสโล่เหมือนขอความเห็น หนุ่มผมแดงสั่นหัว เธอจึงหันกลับมาหาอเล็กซิสอีก “ไม่ ไม่ ไม่ได้สิ นี่ยังไม่ดึกเลยนะ” โทนเสียงไม่เห็นด้วยสุด ๆ แต่เธอหยุดพูดสักพักเพื่อมองเวดจูบดูดดื่มกับสาวคนนั้น “อเล็กซิส เธอทำตัวเป็นยายแก่เลย”
“คงจะแก่แล้วมั้ง”
“เพราะเวดหรือเปล่า”
เธอหัวเราะ “ไม่ใช่ สำหรับเรื่องนั้น ฉันสบายดี ยินดีเสียอีกที่เขาเจอคนใหม่ ดูเธอสิ สวยเป็นบ้าแถมยังมีชีวิตชีวากว่าฉันเป็นไหน ๆ ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก เทสซ่า มันเป็นที่ตัวฉันเอง”
สาวผมสีทองคนนั้นดึงดูดสายตาหนุ่ม ๆ มากมาย เธอแต่งหน้าบาง ๆ ดวงตาแพรวพราวเป็นประกายราวกับมีเพชรประดับข้างใน อเล็กซิสชอบท่วงท่าของเธอเวลาเต้น มันน่ามองไปหมด พอเห็นผมสีทองเป็นเกลียวพลิ้วไหว เธออดนึกถึงเจ้าชาร์ลีน้องเล็กและผมสีทองของเขาไม่ได้
“มันเป็นเพราะฉันเอง” เธอย้ำ
“เธอใช้เวลานอนมากขึ้นทุกทีแล้วนะ” ออสโล่พูดดัก “อย่าหมกมุ่นกับความฝันจนเกินไป มันเป็นแค่ความฝันนะอเล็กซ์” เธอแน่ใจว่าเขาคงสังเกตเห็นว่าเธอเข้านอนเร็วขึ้นทุกวัน
อเล็กซิสไม่สบตาออสโล่กับเทสซ่า “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
ฝันเป็นหนทางเดียวที่เธอจะเจอพวกเขาอีก บางคืนเธอนั่งคุยกับพ่อเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ นั่งกินพายแอปเปิลของแม่ หรือบางทีเธอกำลังอ่านหนังสือ มีไบรซ์เล่นกีตาร์คลอ ส่วนเจสซี่นอนอ่านตำราอยู่บนพื้น จูนยังเป็นเพื่อนรักของเธอ เดวี่ก็ยังเป็นแฟนของเธอ แม้แต่เจ้าสุนัขแบลกกี้และแมวแคทเธอรีนยังฟื้นจากหลุมวิ่งเล่นไปทั่วบ้าน คืนนี้เป็นอีกคืนที่เธอเจอเดวี่ เขานั่งอยู่บนโซฟาเพื่อดูแข่งฟุตบอล ส่วนอเล็กซิสนอนอยู่บนตักของเขา
“น่าเสียดายที่นายไม่มีตัวตนจริง ๆ” เธอบอกเขา และหมายถึงเดวี่ที่เธอโหยหา ไม่ใช่เดวี่ที่หลอกลวงเธอ ภายในดวงตาสีฮาเซลคู่นี้ เธอสัมผัสได้ถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่เดวี่ตัวจริงไม่มี มันเป็นภาพหลอนที่หอมหวาน ภาพของเด็กหนุ่มที่เธอรักและคิดถึงทุกลมหายใจ
“แล้วที่นั่งอยู่คือใครล่ะ” เขาหัวเราะและก้มลงจูบเธอ แม้จะฝันอยู่ แต่ลมหายใจของเขาอุ่น ทั้งริมฝีปาก และไออุ่นจากตัว เหมือนมีตัวตนอยู่จริง เด็กสาวลุกขึ้นนั่งบนตักแล้วกอดร่างเดวี่ที่ตัวเธอสร้างขึ้น เธอยังรู้ตัวว่านี่คือความฝัน ในภาพหลอน อเล็กซิสพอใจที่จะเสพความสุขแม้เพียงชั่วคราว
“เธอกอดฉันแน่นจัง” เขาว่า “มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันแค่คิดถึงนาย” เธอตอบ แต่สายตากลับเห็นเพดานที่คุ้นเคย อเล็กซิสพยายามรั้งตัวเองให้ฝันต่อไป แต่สุดท้าย ภาพทุกอย่างละลาย เธอตื่น
ห้องที่แต่งแต้มด้วยสีขาวจนเว่อร์ เตียงเดี่ยว ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ และนาฬิกาดิจิทัล เธอหลับตา พยายามกลับไปยังห้องนั่งเล่นและหาเดวี่อีกครั้ง แต่เธอไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้
อเล็กซิสเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองทำถูกหรือไม่ที่ปฏิเสธเวดไป ในเมื่อเธอต้องการอ้อมกอดของใครสักคน และเวดก็คงให้ความอบอุ่นเธอได้แน่นอน เขามีแขนและแผ่นอกที่กว้างเหมือนเดวี่ แต่ถ้าเธออยู่เคียงข้างเวด จูบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เธอนึกถึงภาพเวดจูบกับสาวผมบลอนด์คนนั้น อเล็กซิสแทบไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธออยากจูบกับใครสักคนแบบนั้นบ้าง มันทั้งเร่าร้อนและวาบหวาม น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่เธอพยายามนึกถึงช่วงเวลาที่เธออยู่กับเดวี่ หน้าสวยคมของจูนกลับปรากฏขึ้นมาแทน แม้มันไม่เจ็บเหมือนตอนนั้น แต่ใช่ว่าจะมีอารมณ์นึกต่อ
สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างคือ เธอมักรู้สึกตัวเสมอเวลาฝัน มันเกิดขึ้นแบบนี้มาหลายคืนแล้ว อย่างที่ออสโล่ว่า มันไม่ใช่หนทางหลบหนีความจริงที่ดีที่สุด เพราะเธอไม่สามารถมีความสุขได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ อันเนื่องมาจากอาการรู้สึกตัวอยู่ตลอด ดังนั้นเวลาเธอฝัน เธอมักหวาดระแวงว่าจะตื่น
เด็กสาวลุกออกจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังกระจก เธอมองภาพสะท้อนตัวเอง แทบไม่รู้จักเด็กผู้หญิงในนั้นเลย อเล็กซิสไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้ พ่อเคยบอกว่า รอยยิ้มของเธอสวยที่สุด แต่เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะกลับไปยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจได้เหมือนเดิม
ในเมื่อเธอนอนต่อไม่ได้เพราะเข้านอนเร็วเกินไป สมองไม่ยอมพักต่อ เธอจึงล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นตัดสินใจออกจากห้อง เธอมุ่งหน้าไปยังทีวีจอยักษ์ ทว่าพบแต่ข้อความที่อ่านเมื่อเช้านี้ ไม่มีข้อความใหม่ใด ๆ ถึงแม้ไม่มีหน้าต่าง แต่เธอยังรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืนได้จากจำนวนคนและบรรยากาศที่เงียบสงบ ในเวลานี้ คนอื่นอาจเข้านอนแล้ว หรือไม่ก็ยังปาร์ตี้กันต่อ
เธอนึกถึงห้องท้องฟ้าจำลองที่มักมีกลิ่นกัญชาตลอดเวลา บางทีเวลานี้กลิ่นนั้นอาจจะหายไปแล้ว และคงไม่มีใครรบกวนเวลาเธอนั่งดูดาว
ห้องนั้นห่างจากห้องอาหารอยู่ไม่เท่าไร ใช้เวลาเดินราวหนึ่งถึงสองนาทีก็ถึง อเล็กซิสยืนอยู่หน้าประตูสีดำซึ่งเป็นสีที่แปลกจากประตูอื่น โชคดีเหมือนที่เธอคิดไว้ ไม่มีใครอยู่ในห้อง แต่ยังมีกลิ่นกัญชาหลงเหลืออยู่บ้าง ดวงดาวมากมายส่องแสงระยิบระยับต้อนรับอยู่ด้านใน แม้มันไม่ใช่ท้องฟ้าจริง ๆ แต่เธอประทับใจกับภาพที่เห็นอยู่ดี เพราะมันสวยเกินจริง และเพราะเธอไม่ได้เห็นท้องฟ้ามานานแล้ว
เด็กสาวเดินตรงไปที่เครื่องฉาย พอเธอแตะมัน เสียงสังเคราะห์ดังขึ้น “คุณต้องการให้เราฉายหนังสารคดีหรือไม่”
“บอกรายละเอียดมาทีสิ” เธอพูดกับเจ้าโพรเจกเตอร์ เริ่มคุ้นชินกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในนี้
“มีภาพยนตร์สารคดีสามเรื่อง กำเนิดจักรวาล จุดจบของดวงดาว และโลกของเรา”
“จุดจบของดวงดาว” อเล็กซิสเลือกโดยไม่ลังเล
ดวงดาวนับพันที่รายล้อมรอบกายค่อย ๆ อับแสงลงเรื่อย ๆ จนห้องมืดสนิท อเล็กซิสมองไม่เห็นอะไรเลย ทันใดนั้นดวงดาราส่องสว่างวาบ เธอยืนดูต้นกำเนิดดาวแคระขาว ซูเปอร์โนวา ดาวนิวตรอน และหลุมดำ ด้วยคุณภาพของเครื่องฉายที่ล้ำสมัยเกินกว่าที่เธอเคยเจอ อวกาศจำลองจึงสมจริงราวกับเธอสามารถหายใจอยู่ในห้วงอวกาศได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดและดับ การชนกันระหว่างดวงดาวทำให้เธอยืนมองนิ่งไม่ไหวติง ประหนึ่งต้องมนตร์ดารา ความคิดต่าง ๆ ถูกปล่อยให้ไหลไปกับสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในอวกาศเทียม จากนั้นภาพเหตุการณ์ในชีวิตปรากฏขึ้นในมโนสำนึก ตั้งแต่วันแรกที่เธอกลายเป็นอเล็กซิส เดวิส ช่วงเวลาของเธอกับครอบครัว และเมื่อครั้งที่จากกัน เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้าด้วยซ้ำ ไม่เคยแม้แต่ค้นหาพ่อแม่ตัวจริงที่ทิ้งเธอไป ไม่เคยคิดว่าคาเลบและเบียนน่าเป็นเพียงผู้อุปการะ แต่คือพ่อแม่ของเธอจริง ๆ แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าชีวิตจะผ่านอะไรมาแค่ไหน เธอยังเป็นเพียงเศษฝุ่นในจักรวาล มีอายุขัยสั้นกว่าซูเปอร์โนวาเสียอีก
จะเป็นอย่างไรหากเธอไม่เคยรู้จักคำว่า ‘รักและความอบอุ่นของครอบครัว’ มาก่อน อเล็กซิสจะยอมรับความจริงได้ดีกว่านี้หรือเปล่า ถ้าเกิดพระเจ้ามีอยู่จริง เหตุใดท่านจึงให้เธอสัมผัสถึงความรักและความอบอุ่นของพวกเขาแล้วพรากมันไป การรับมือกับความเจ็บปวดนั้นไม่ง่ายเลย
จุดประสงค์ของแต่ละฝ่ายคืออะไรกัน ทั้งพระเจ้าและรัฐบาล อเล็กซิสครุ่นคิดเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืน หวังว่าดวงดาวจะให้คำตอบแก่เธอ เกิดอะไรขึ้นหลังจากยุคหายนะ รัฐบาลปิดบังเรื่องอะไรไว้บ้าง
“มีหนังสารคดีเรื่องอื่นอีกไหม”
“ต้องใช้เวลาในการดาวน์โหลด”
“ได้”
“โปรดป้อนคีย์เวิร์ด”
“เหตุการณ์หลังยุคหายนะ”
“ไม่มีข้อมูลที่คุณต้องการ”
แหม เร็วไปไหม อเล็กซิสแค่นยิ้มให้กับตัวเอง นึกขันที่พยายามจะหาคำตอบจากเครื่องฉาย ฉับพลันจมูกได้กลิ่นกัญชาลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
แย่ที่สุด
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







