LOGINเธอหันไปเผชิญหน้ากับคนที่คอยไล่ทุกคนออกจากห้องด้วยกลิ่นนี้ เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง ค่อนข้างเพรียวแต่ไม่ผอมแห้ง ออกจะแข็งแรงด้วยซ้ำ คนตรงหน้าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว กางเกงยีน และรองเท้าบูตส์ (ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าสีอะไร) เขาจ้องมา ขณะเดียวกัน อเล็กซิสก็จ้องกลับ สำรวจมองลักษณะจึงเห็นผมสีดำยุ่ง ๆ ที่ทำให้เธอนึกถึงเจสซี่ ชายหนุ่มคนนี้ดูหล่อก็จริง แต่ก็ดูนิสัยร้ายกาจด้วย เมื่อแสงจากการระเบิดของดวงดาวสาดเข้าที่ใบหน้านี้ เธอจึงเห็นว่าสีหน้าของเขาเหมือนสะลึมสะลือ แต่พอกะพริบตาอีกทีกลับส่งแววตายียวนกวนประสาท
“ช่วยหยุดสูบบุหรี่ได้ไหม” เด็กสาวขอร้องอย่างสุภาพ
แทนที่จะตอบรับ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาตรงหน้า พร้อมกับบุหรี่ที่คาบไว้ในปาก “ทามมายล่ะ มีกฎห้ามหรา” เขาตอบเสียงยานคาง
มุมปากข้างหนึ่งของเขากระตุกเหมือนยิ้มเยาะเมื่อเห็นว่าเธออึ้งที่เขาปฏิเสธ ไม่สนใจมารยาทอันใด ชายร่างสูงจ้องหน้ายักคิ้วข้างหนึ่ง โทสะปะทุขึ้นในใจแต่ยังอยู่ในระดับแค่มีคนมาจุดไฟเย็นข้างใน อเล็กซิสพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ปล่อยให้ไฟไหม้จนหมดแท่ง
เด็กสาวเดินหนีและพูดกับเจ้าเครื่องฉายว่า “เล่นเรื่องจุดกำเนิดจักรวาลทีสิ” ณ วินาทีนั้น เธอได้ยินเสียงเหมือนนาฬิกาดังติ๊ก ๆ
“หยุดทำเสียงแบบนั้นได้ไหม มันน่ารำคาญ!”
“ฉันไม่ได้ทำสักหน่อย” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แถมยังเดินตามมาอีก “ถ้าเธอเลือกหนังเรื่อง ‘โลกของเรา’ ฉันรับรองว่าเธอจะได้เห็นภาพงานกราฟิกโคตรสุดยอด ห้องมันเล็กก็จริงนะ แต่คุณภาพยอดเยี่ยมกว่าท้องฟ้าจำลองในโลกของพวกเรามาก”
“รอให้เรื่องนี้เล่นจบก่อน แล้วนายจะดูอะไร หรือสูบเท่าไร แค่ไหน ก็แล้วแต่นายเลย”
เขาปล่อยควันออกมาจากปาก แล้วชี้ไปที่ควันว่า “มันเหมือนกับหมอกเวลาอากาศเย็น หรือไม่ก็ลองนึกตอนที่เธอดูหนังผีแล้วมีหมอกควันแปลก ๆ มันสวยและน่าพิศวงใช่ไหมล่ะ เธอไม่เห็นเหมือนฉันเหรอ” เขาพุ่งตัวเข้าไปในควันแล้วหมุนวน ๆ อยู่อย่างนั้น
จะพูดกับคนประสาทยังไงให้รู้เรื่องนะ
“มันไม่ดีต่อปอดนายนะ”
“ใจดีจัง เป็นห่วงคนอื่นด้วย” ถึงแม้ว่าเขาไม่ยิ้ม แต่สายตากลับเหมือนเย้ยอยู่ “มันไม่มีทางทำลายสุขภาพของฉันหรอก อย่าห่วงเลย”
“มันทำลายของสุขภาพของฉัน นี่แหละที่ฉันห่วง” เธอย้อน “แต่นายคงไม่สนใจอยู่แล้วนี่นา ขนาดแค่แบ่งห้องให้คนอื่นใช้ยังทำไม่ได้เลย อย่าว่าแต่เคารพผู้อื่นเลย ถ้านายคิดว่าการสูบบุหรี่จะช่วยให้ครองห้องไว้คนเดียว รู้ไว้เถอะ นายคิดผิด เพราะฉันมาก่อน และนายต้องหยุดสูบแล้วรอ”
อเล็กซิสจำได้แน่นอนว่า แมรี่ สตีเว่น เคยบันทึกประวัติอาการป่วยปลอม ๆ ที่แจ้งว่าเธอเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่น แต่ควันบุหรี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับนิสัยกลัวฝุ่นของเธอ แต่มันเกี่ยวกับมารยาทคนทรามล้วน ๆ
“ว้า โดนจับได้ซะแล้ว” เขาหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ปั้นแต่งมาก “เธอเป็นคนตลกนะ อยากลองสูบสักม้วนไหมล่ะ ฉันจะสอนเธอเอง” เขายื่นบุหรี่ให้ม้วนหนึ่ง “มันช่วยทำให้สมองเธอโล่งเชียวล่ะ”
อเล็กซิสนิ่วหน้า เธอรู้ว่ากัญชาจะส่งผลแบบไหน แต่เธอไม่รู้จะรับมือกับคนพรรค์นี้ได้อย่างไร เด็กสาวสรุปไว้ในใจ เธอจะพยายามรักษาระยะห่างให้มากที่สุด ใจหนึ่งอยากเอาชนะนิสัยเสียของเขา และอีกเหตุผลคือเธอเข้ามาในห้องนี้ก่อน แต่ถ้าเขายังตามตื๊อกวนประสาทอยู่เรื่อย ๆ ทางออกที่ดีที่สุดคือยอมแพ้ ปล่อยให้เขาได้ห้องไป เพราะอย่างไรเธอก็ไม่อยากจะมีเรื่อง และอย่างที่เธอเดาไว้ เขาก็ยังคงตามมากวนอยู่ตลอด หนำซ้ำยังพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าอีกต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น เสียงติ๊ก ๆ ยังคงดังต่อเนื่อง เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้ทำเสียงนี้ขึ้นมา แล้วเสียงมาจากไหน
“นี่มันเสียงอะไรกันแน่ เครื่องมีปัญหาเหรอ” เธอบ่นพลางปัดควันออกไปจากตัว
“หา เสียงอะไร”
เขาเงี่ยหูฟัง ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง “โอ้ ไม่นะ โอ้ ไม่ ๆ”
เสียงนั้นดังขึ้น ถี่ขึ้น “นี่ไง เสียงนี้!” อเล็กซิสชี้ เพียงชั่วแวบเดียว เครื่องฉายหยุดทำงาน เธอนึกว่าไฟดับ แต่แสงไฟในห้องกลับสว่างจ้าขึ้นจนเธอมองอะไรไม่เห็นได้แต่หลับตา จากนั้นมีแรงบางอย่างผลักร่างเธอออกไปจากตรงนั้น ไม่ทันตั้งตัวแต่อย่างใด อเล็กซิสล้มลง อีกไม่กี่นิ้ว ก็เกือบกระแทกกับกำแพง ดีที่รั้งตัวได้ทันเสียก่อน เด็กสาวรู้สึกเจ็บนิด ๆ ระหว่างนั้นเธอกะพริบตาเพื่อปรับสายตา ทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงน้ำไหลซู่ เมื่อลืมตาจึงเห็นว่ามีน้ำไหลออกมาจากเพดานคล้ายกับมีฝักบัวอยู่ด้านบน ชายคนนั้นตัวเปียกโชก ใช่ สายน้ำรดบนตัวเขาคนเดียว
“อะไรน่ะ!” เธอร้องดังลั่น ยังคงตกใจอยู่ เพราะเสียงประหลาดส่งเสียงบิ๊บ ๆ ถี่ ๆ ไม่นานหลังจากนั้น มีเสียงลมดังขึ้น อเล็กซิสกอดอกต้านลม มันเป่าน้ำที่อยู่บนพื้นไปยังขอบกำแพง จนเสียงลมสงบลง
“เครื่องตรวจจับควัน” เขาเพิ่งตอบ เสื้อผ้าที่สวมอยู่กึ่งแห้งกึ่งเปียก
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า” เธอถาม ยังคงตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เขายังหนุ่มมาก น่าจะเรียกว่าใกล้เคียงกับเธอ อายุคงประมาณเบนได้ ผิวของเขาซีด แต่ใบหน้าแดงก่ำ น่าจะโมโหน่าดู
เขาส่ายหน้า “ไม่โอเคเลย พวกเขาติดเครื่องตรวจจับควันในห้องนี้แล้ว แย่จริง ๆ ทำไมใจร้ายกันแบบนี้” เสียงที่พูดนั้นสั่น เขานั่งลงบนพื้น แต่อเล็กซิสเห็นว่า เหมือนเขาล้มลงเพราะหัวใจสลายมากกว่า มันเป็นภาพที่น่าตลก
“ห้องนี้เป็นห้องเดียวที่ไม่มีเครื่องตรวจจับ แต่ตอนนี้...หมดกัน ไม่มีแล้ว” เขาดึงซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อ พอเห็นมันยังแห้ง จึงถอนหายใจโล่งอก จากนั้นจึงหันหน้ามาหาเธอ
“อย่างนี้เรียกกรรมตามสนองใช่ไหม” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มเยาะตัวเอง แล้วมันทำให้
อเล็กซิสอมยิ้มเล็ก ๆ“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง






