LOGINคาเลบรู้สึกเหมือนกับทั้งเดวี่และจูนเอามีดมาแทงหลังของเขาด้วย ความเจ็บปวดของ
อเล็กซิสเป็นความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อด้วย เดวี่อาจเป็นเด็กดีก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลง และมีเหตุผลอยู่สองอย่างที่ทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนไป หนึ่ง เวลาทำให้คนเปลี่ยน และสอง เราอาจไม่เคยทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของคนคนนั้นจนวันที่แสดงออกมา เบียนน่ามองหน้าสามี เร่งให้เขาพูดอะไรก็ได้กับลูก เพราะว่าเธอกลับร้องไห้เสียเอง เมื่อเป็นเรื่องของลูก เบียนน่ากลับอ่อนไหวโดยเฉพาะเวลาที่ลูกของเธอเป็นทุกข์ ผู้เป็นแม่ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ นอกจากแบ่งปันความเจ็บปวดของลูกสาวแทน“นั่นก็เป็นเพราะว่าลูกสาวของพ่อเป็นเด็กดี ลูกจึงสมควรมีเพื่อนที่ดีกว่านี้ และมีแฟนที่ดีกว่าเขาด้วย พ่อตอบไม่ได้หรอกนะ ว่าทำไมพวกเขาถึงทำร้ายลูกสาวของพ่อ แต่พ่อรู้ว่าชีวิตของลูกต้องดำเนินต่อไป ความรักบางอย่างอาจมีวันหมดอายุ แต่ความรักของพ่อไม่เคยหมด ความรักของครอบครัวก็เช่นกัน พ่อไม่อยากให้ลูกร้องไห้คร่ำครวญที่พวกเขาทรยศลูก แต่ร้องเพื่อระบายมันออกมา การร้องไห้ช่วยบรรเทาความเศร้าได้ เชื่อพ่อสิ พ่ออยากให้ลูกเข้าใจว่ามันไม่ใช่จุดจบ ชีวิตยังมีอีกมาก ลูกจะพบกับความสุข ความผิดหวัง บางครั้งลูกชนะ บางครั้งลูกแพ้ ปะปนกันไป ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ลองคิดว่าลูกโชคดีแค่ไหนแล้วที่เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก่อนที่จะสายเกินไป ลูกมีเพื่อนแท้มากมาย อย่างเอโลดี้แล้วยังคนอื่นอีก พวกเรารักลูกมากนะ เป็นห่วงลูกที่สุดเลย และพวกเราจะอยู่เคียงข้างลูกตลอดเวลา”
พอฟังบิดาพูดจบ อเล็กซิสเงยหน้าขึ้น น้ำตาหยดลงเผาะ ๆ
“พ่อคะ” เด็กสาวพิงศีรษะลงบนอกของคาเลบจากนั้นร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาและเบียนน่าถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เธอเปิดเผยความรู้สึกออกมา
“โธ่ ลูกแม่” เบียนน่าหอมแก้มเด็กสาวเบา ๆ
“ตอนนี้หน้าของหนูคงเละหมดแล้วใช่ไหมคะ มาสคาร่าทำหน้าหนูพังแล้ว...”
คาเลบและเบียนน่ายิ้มให้กัน ในเวลาแบบนี้ อเล็กซิสยังมีอารมณ์ขัน “หน้าของลูกไม่เป็นอะไรหรอก เจ้ามาสคาร่าที่ลูกใช้อยู่กันน้ำได้ดีสมราคาคุยแล้ว”
ในอ้อมกอดของพ่อ เด็กสาวหัวเราะทั้งน้ำตา คาเลบหวังว่าความรักของเขาจะส่งผ่านไปถึงเธอ และชำระล้างความเจ็บปวดทั้งหมดออกไป
“พ่อคิดว่าหนูทำให้จูนคิดว่า หนูเลือกคบแต่กับเอโลดี้หรือเปล่าคะ”
คาเลบส่ายหน้า “มันไม่ใช่ความผิดของลูก ถ้าให้พ่อพูดตรง ๆ ช่วงหลังมานี้ ลูกอยู่กับเอโลดี้มากกว่าจูนจริง ๆ จูนอาจรู้สึกอิจฉาหรือน้อยใจไป แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จูนจะทำแบบนี้กับลูก ลูกกับจูนเป็นเพื่อนกัน ก็ควรจะคุยกันตรง ๆ มากกว่า”
“นั่นคือสิ่งที่หนูคิดค่ะพ่อ หนูรักพวกเขามาก แต่พวกเขาใจร้ายกับหนูเหลือเกิน”
พวกเขาคุยกัน ถกเถียงกันต่าง ๆ นานา ทั้งยังปลอบใจอเล็กซิสจนหลับไป ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่รักครั้งแรกจะกลายเป็นรักแท้ แต่อย่างน้อยอเล็กซิสโชคดีที่เห็นว่าเดวี่เป็นคนอย่างไรก่อนที่ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จะพัฒนาไปไกล พวกเขาจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตคู่กับคนที่ไม่ใช่ หรือแต่งงาน หรือมีลูกด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเด็กสาวอ่อนไหวขนาดไหน แม้อเล็กซิสพยายามปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไป แต่การที่ต้องเห็นภาพแบบนั้นคงเป็นเรื่องที่ฝังใจน่าดู ดังนั้น พอพวกเขามองหน้ายามหลับของเธอแล้ว รู้ว่าลูกสาวยังคงฝันเห็นแต่พวกเดวี่และจูนอยู่แน่ ๆ คาเลบและ
เบียนน่าจูบหน้าผากของอเล็กซิสแล้วปล่อยให้ค่ำคืนเยียวยาหัวใจที่แหลกสลายไปเองเจสซี่ ไบรซ์ และชาร์ลีนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหาร ทั้งหมดรับประทานอาหารเย็นง่าย ๆ ที่ไบรซ์ทำให้ นั่นคือ แซนด์วิช กลิ่นเหม็นไหม้กระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่มีใครพูดถึงมัน หรือแม้แต่จะแสดงความรับผิดชอบว่าเกือบทำให้บ้านไฟไหม้ไปแล้ว
“น้องเป็นไงบ้างครับ” เจสซี่ถามพลางส่งสายตาคาดคั้นพ่อและแม่
“หลับแล้ว” เบียนน่าตอบ
“แต่น้องยังไม่ได้กินข้าวเลยนะครับ”
“แล้วจะให้แม่ปลุกน้องมากินหรือไง”
ชายหนุ่มทำหน้ามุ่ย “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย”
“ให้น้องพักผ่อนเถอะจ้ะ”
“แล้วเธอดีขึ้นไหมคับ” ชาร์ลีถาม เขาอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมพี่สาวถึงเศร้าเพราะฝุ่นเข้าตาถึงขนาดนั้น และเดวี่ทำอะไรกับพี่ของเขา แต่เขาขอแค่อยากมีส่วนร่วมบ้าง
คาเลบพยักหน้า ต้องดีขึ้นแน่นอน
เวลาสองทุ่มครึ่ง ช่วงอาหารเย็นดำเนินไปอย่างช้า ๆ พวกเขาต้องนั่งฟังเจสซี่บ่นและสบถใส่เดวี่กับจูน (โดยมีเบียนน่าคอยเอ็ดเวลาเขาใช้คำหยาบ) ถ้าเดวี่อยู่ตรงนี้ เจสซี่คงฆ่าเจ้าหนุ่มเรียบร้อย เจสซี่เป็นพวกหัวร้อน คาเลบยังจำได้เลยว่า เพื่อน ๆ ของเจสซี่แปลกใจแค่ไหนเมื่อเขาตัดสินใจจะเรียนกฎหมาย พวกเขาต่างคิดว่า เจสซี่จะสมัครเข้าสมาคมกีฬาหรือไม่ก็สมัครเรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรม เขาอาจจะเป็นนักเรียนแถวหน้าแต่ไม่ใช่พวกหน้าติดหนังสือเหมือนกับไบรซ์ ไม่ใช่แค่นั้น คาเลบกับเบียนน่าทึ่งไม่น้อยที่เขาสามารถเรียนจบด้วยคะแนนดีเยี่ยม อย่างน้อย ทั้งสองชื่นชมความพยายามของเขามากพอสมควร
และสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันเกิดอีกจนได้ เดวี่มาหาอเล็กซิสที่บ้าน
เสียงกริ่งดังเมื่อตอนเข็มนาฬิกาเลื่อนไปยังเลขสิบเอ็ด คาเลบเห็นเดวี่ยืนอยู่หน้าประตู เขาดึงคอเสื้อเจสซี่ได้ทันก่อนที่ลูกชายจะทำร้ายอดีตแฟนน้องสาว “พ่อคุยกับเขาเอง เจสซี่ ลูกเรียนกฎหมายมาไม่ใช่เหรอ ใช่หรือเปล่า สงบใจบ้างสิ กลับไปที่ห้องเลย” คนเป็นพ่อเตือนและเอ็ดไปด้วย
เพราะเป็นคนหัวดื้อ เจสซี่จึงคำรามออกมาอย่างหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ก่อนจะย่ำเท้าหนัก ๆ เดินออกไป คาเลบเปิดประตูออกไปเจอกับเด็กหนุ่ม เขาทำหน้าสำนึกผิดและดูเหมือนจะค่อนข้างเกรงใจคาเลบมากเป็นพิเศษ เพราะรูปร่างแบบนักกีฬา ไหล่กว้าง คิ้วเข้ม ผมสีบลอนด์ออกน้ำตาล และหน้าตาหล่อเอาเรื่องขนาดนี้ คงไม่แปลกที่เขาจะเอาชนะใจสาว ๆ ได้มากมาย เท่าที่คาเลบสังเกตจากอากัปกิริยาของลูกสาวตัวเองที่มีต่อเดวี่ อเล็กซิสคลั่งเขามากเลยทีเดียว เดวี่เคยเป็นเด็กดี แต่ก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายและเป็นเพศชาย ยิ่งโต เขายิ่งแข็งแรงและดูดีมากกว่าเมื่อปีที่แล้วเสียอีก คาเลบนึกถึงตอนที่ทั้งเดวี่และอเล็กซิสจูงมือกันมาบอกพวกคาเลบว่า ทั้งสองกำลังคบหากัน มันผ่านมาหนึ่งปีแล้วหรือนี่ ส่วนจูนก็ไม่ใช่เด็กสาวหน้าตาน่าเกลียดเลยสักนิด คนอาวุโสกว่าอย่างคาเลบเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายเป็นอย่างดี พวกผู้ชายบางคนสามารถเปลี่ยนใจได้ทันทีเพียงแค่ชายตามองผู้หญิงคนอื่น แต่ผู้ชายอีกจำนวนหนึ่งก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้น เขาเคยคิดว่าเดวี่เป็นข้อยกเว้น คาเลบโทษตัวเองเหมือนเคย
“อเล็กซ์เป็นอย่างไรบ้างครับ” เขาถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“สบายดี” คาเลบตอบเสียงเย็นชา
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจับน้ำเสียงแสดงความห่างเหินของพ่อแฟนสาวได้ เสียงของเดวี่เบาลงเพราะกลัวคาเลบจะดุ พอเขาพูด จึงฟังแล้วเหมือนเดวี่กำลังพูดงึมงำอยู่คนเดียว
“ผมขอโทษ...ครับ ผะ ผะ ผมรู้ว่ามันดึกแล้ว ตะ แต่ผมขอคุยกับ...อเล็กซ์ได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มพูดติด ๆ ขัด ๆ
“ไม่ได้หรอก เธอหลับแล้ว กลับบ้านเถอะเดวี่ ลุงคิดว่าเวลานี้คงไม่สมควรเท่าไรนะ”
ดูเหมือนเดวี่ต้องใช้ความพยายามอยากมาก จึงจะควบคุมตัวเองให้พูดเป็นปกติได้สำเร็จ “ผมเสียใจ ผมเสียใจจริง ๆ คุณยกโทษให้ผมได้ไหม ให้อเล็กซ์ยกโทษให้ผมได้ไหม ผมรักเธอ จริง ๆ นะครับ ได้โปรดอภัยให้ผมเถอะ ได้โปรดบอกเธอว่าผมเสียใจ ผมเสียใจมากที่ทำให้คุณผิดหวัง แล้วยัง...ผมขอโอกาส...จากคุณและอเล็กซ์”
เด็กหนุ่มไม่ขยับ คาเลบเริ่มเห็นใจเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น เท่าที่เห็นตอนนี้ เดวี่รู้สึกผิดจริงและยังห่วงลูกสาวของเขา แถมยังกล้าพอที่จะมาหาอเล็กซิสถึงที่บ้าน เบียนน่าคงพูดว่าทุกคนล้วนทำผิดกันได้ทั้งนั้น ทุกคนควรได้รับโอกาสครั้งที่สองและการให้อภัย
แต่เขาหลอกลวงอเล็กซ์ เขาทำให้ลูกของเราร้องไห้ โทสะของผู้เป็นพ่อเดือดขึ้นมาอีกครั้ง และใจที่อยากจะให้อภัยนั้นมลายหายไป
“อเล็กซ์จะเป็นคนตัดสินเอง กลับบ้านเถอะเดวี่ พ่อแม่ของนายจะเป็นห่วงเอา” เขาเตือนเด็กหนุ่ม โดยที่ไม่ทราบว่าพ่อแม่ของเดวี่ไม่อยู่บ้าน เดวี่รับฟังแล้วเดินกลับไปยังจักรยานของตัวเอง คอตก เศร้าและเสียใจ
คาเลบถอนหายใจ วันนี้อาจไม่ใช่วันที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเป็นเพียงแค่วันหนึ่งที่
อเล็กซิสพบว่า ชีวิตย่อมพบเจอกับความผิดหวัง ความรักก็เป็นหนึ่งในเรื่องนั้น แล้วพรุ่งนี้ พายุก็จะหย่อนกำลังลง ลูกสาวของเขาก็จะเข้มแข็งขึ้นในวันต่อไป“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







