LOGINบ้านคงจะกลายเป็นบ้านที่เงียบผิดปกติจากทุกวัน ถ้าหากโทรทัศน์ที่ปราศจากคนดูเครื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เจ้าชาร์ลีถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว และตอนนี้เขากำลังนั่งสร้างสรรค์ศิลปะแนวใหม่บนผนังบ้านที่คาเลบเพิ่งทาสีขาวไปเมื่อเดือนก่อน ชาร์ลีอาจคิดว่ากำแพงโล่งเกินไป เขาจึงวาดลายใหม่เพื่อความสมบูรณ์ ซึ่งรูปที่เขาวาดนั้นดูเหมือนกับยีราฟที่มีขาเป็นงู บนโต๊ะอาหารมีไอศกรีมของป๊อปปี้ เจลาโต้ จำนวนหกควอทซ์ถูกวางทิ้งละลายไว้อยู่ เมื่อคาเลบเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ารสเชอร์เบทหมดเกลี้ยงกล่องแล้ว ส่วนรสช็อกโกแลตมิ้นต์สี่ที่ รวมถึงรสช็อกโกแลตคาราเมลมาคาเดเมียยังเหลืออยู่เต็มและกำลังแข่งกันละลายเป็นน้ำ ในห้องครัว หม้อต้มบนเตาเดือดปุด ๆ จนเกือบจะไหม้ ชาร์ลีวิ่งมาหาพวกเขาทันทีที่เบียนน่าปิดประตู คราบไอศกรีมเชอร์เบทยังติดอยู่ที่แก้มและริมฝีปาก
“ทำไมทิ้งน้องไว้คนเดียวอีกแล้ว” เขาพูดกับตัวเอง เจ้าชาร์ลีวิ่งเล่นเกี่ยวพันรอบขาผู้เป็นพ่ออย่างอารมณ์ดี
“ไอศกรีมละลายแล้วนะที่รัก” เบียนน่าเก็บไอศกรีมเข้าตู้เย็นและเดินไปปิดเตาอย่างใจเย็น
ชาร์ลียังคงเล่นกับพ่อ ปากพูดเจื้อยแจ้วว่า “วันนี้เจสซี่กับอเล็กซ์พาผมไปเที่ยวห้าง เราทานพิซซ่าที่ร้านคุณบินอคคิโน่ แล้วก็พาผมไปเล่นที่สวนสาธารณะ ผมเจอโอลลี่กับเคย์ซี่ด้วย พวกเราเลยเล่นด้วยกันคับ” เสียงของเขาบ่งบอกว่าวันนี้เป็นวันดีของชาร์ลีจริง ๆ “อเล็กซ์ซื้อไอศกรีมมาด้วย มันจะเป็นวันที่ดีที่สุดของผมเลย ถ้าอเล็กซ์ไม่เศร้าแบบนั้น”
ชาร์ลียังเล่าต่อ เข้าชี้นิ้วสั้น ๆ ไปที่ดวงตาตัวเอง “ตาอเล็กซ์แดงก่ำเลยคับ แถมยังแทบไม่พูดไม่จากับใครเลย”
คาเลบและเบียนน่ามองหน้ากัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงเรื่องไม่ดีบางอย่าง
“แล้วพี่ ๆ อยู่ไหนล่ะ เจ้าลิงน้อย”
เด็กน้อยยิ้มแล้วชี้ไปยังห้องนอนของพี่สาวทั้งสอง “พอพวกเรากลับมาถึงบ้าน อเล็กซ์ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ผมได้ยินเจสซี่กับไบรซ์คุยกันว่ามันแปลกที่อเล็กซ์เอาแต่เก็บตัวเงียบแบบนี้ แต่เธอบอกว่ามีฝุ่นเข้าตาก็เลยร้องไห้ ผมคิดว่าพี่คงเอามันไม่ออก เจสซี่กับไบรซ์เลยไปช่วยดูให้”
“ที่รักคะ” เบียนน่าจับไหล่สามี “ฉันไปดูลูกดีกว่า คุณดูแลชาร์ลีนะคะ” เธอว่า คาเลบพยักหน้า แม้เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอเล็กซิสกันแน่ แต่เมื่อภรรยาสั่ง เขาก็ต้องทำตาม ทว่าเมื่อเบียนน่าไปถึงหน้าประตู เจสซี่กับไบรซ์เดินออกมาพอดี
“เกิดอะไรขึ้นกับน้อง” เบียนน่าซัก
“พวกเขาเลิกกันแล้ว ก็อเล็กซ์กับไอ้โง่เดวี่...โทษครับแม่ ก็...น้องบอกว่าเจอเขากำลังนอน...หมายถึง อยู่กับจูน” พี่ชายคนโตเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกพ่อแม่ฟังอย่างรวบรัด เจสซี่ยังเสริมอีกว่า “อเล็กซ์ต้องการเวลาส่วนตัว โธ่ แม่ครับ! อย่ามองผมแบบนั้นได้ไหม! อเล็กซ์ขอเอง ใช่ว่าผมพูดเองซะหน่อย!”
“เดวี่ทำอะไรอเล็กซ์เหรอคับ” เจ้าชาร์ลีถาม ตากลมจ้องพวกคนโตกว่าคุยกัน “ผมไม่เข้าใจที่เจสซี่พูด”
คาเลบส่งสายตาไปที่เจสซี่ ลูกคนโตถอนหายใจแล้วอุ้มเจ้าชาร์ลีออกไป “ยังไม่ใช่เวลาสมควรที่นายจะรู้เรื่องพวกนี้นะ ไอ้ลิงแคระ”
“แต่ผมอยากรู้เรื่องด้ววววววย” เสียงสะท้อนของชาร์ลีดังจนหายลับไป
พอคาเลบหันมาขอความเห็นจากไบรซ์ ลูกสาวคนนี้ตอบด้วยการยักไหล่ใส่พ่อแม่ทีนึงแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้าห้องครัวไปเลย
“ให้มันได้อย่างงี้สิ แต่ละคน!”
พวกคาเลบและเบียนน่าไม่สามารถปล่อยให้อเล็กซิสทำตามใจชอบได้หรอก เวลานี้เด็กสาวต้องการกำลังใจและพลังใจจากพวกเขาต่างหาก
เบียนน่าไม่รอช้า เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องเลย คาเลบรีบตามเข้าไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเดวี่กับจูนถึงทำให้ลูกสาวของเขาเสียใจ โดยเฉพาะจูนที่เป็นเพื่อนสนิทของอเล็กซิส เขาเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก จูนอาจไม่ใช่เด็กพูดเก่งเจ๊าะแจ๊ะ แต่ก็สามารถเข้ากับอเล็กซิสได้เป็นอย่างดี แถมหน้าตาของทั้งสองยังมีคล้ายกันจนเหมือนกับฝาแฝดที่น่ารัก ทั้งสองคบหาเป็นเพื่อนกันมานาน เที่ยว คุย ทำทุกอย่างด้วยกัน พอโตขึ้น จูนยิ่งสวยสะพรั่ง ส่วนอเล็กซิสก็สวยน่ารัก เหมือนเหล่าดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอย่างสดใสด้วยกันทั้งคู่ จูนอาจจะกลายเป็นดาราใหญ่เหมือนแม่ของเธอในวันหนึ่งก็ได้ แล้วทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้
แล้วยังเจ้าเดวี่อีกคน เด็กหนุ่มที่คาเลบเคยรู้จักเป็นคนขี้อายและสุภาพ ในฐานะผู้ชายด้วยกัน คาเลบมองออกว่าความรู้สึกที่เขามีให้กับอเล็กซิสนั้นแท้จริง ทำไมตอนนั้นเขาถึงตาบอดอย่างนั้นนะ ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่และพ่อของลูก เขาควรจะปกป้องลูกสาวได้มากกว่านี้หรือเปล่า
คาเลบไม่คิดว่าตัวเองจะเห็นอเล็กซิสนั่งร้องไห้คร่ำครวญเป็นวรรคเป็นเวร ซึ่งเขาก็คิดถูก ลูกสาวของพวกเขานั่งอยู่คนเดียวในมุมมืดหลังเตียงนอน เขาและเบียนน่ารุดเข้าไปหา เห็นว่า
อเล็กซิสกำลังนั่งจ้องมองรูปภาพของตัวเองกับจูนในวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ท่าทางเศร้าสร้อยแต่ยังคงสงบนิ่งปราศจากอาการสะอึกสะอื้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ลูกสาวของเขาไม่ได้ร้องไห้หรือคร่ำครวญให้กับความรักและมิตรภาพที่สูญเสียไป แต่กระนั้น ดวงตาของเธอยังมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ เบียนน่านั่งลงข้างเด็กสาว ส่วนคาเลบนั่งเผชิญหน้ากับลูก ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาปลอบเจ้าตัวน้อยคงเมื่อห้าปีก่อน เมื่อพวกเขาสูญเสียเจ้าแบล็กกี้ สุนัขฮัสกี้วัยสิบสองปีไปอย่างไม่มีวันกลับ
“สีหน้าของลูกดูเศร้ามากเหลือเกิน ร้องไห้ออกมาเถอะนะคนดี ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง อย่าเก็บมันไว้เลยนะจ๊ะ” เบียนน่าบอกกับเด็กสาว
“หนูไม่เป็นไร หนูร้องไห้ไปเยอะแล้ว ดูตาหนูสิคะ พ่อและแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูขอเวลาแค่...สองสามวัน แค่สองสามวันเท่านั้น...หนูจะกลับมาเป็นลูกสาวคนเดิมของพ่อและแม่นะคะ” เธอยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้า มันไม่ใช่เรื่องปกติหรือธรรมชาติของอเล็กซิสที่จะกลายเป็นคนเศร้าซึมแบบนี้ คาเลบรักรอยยิ้มของลูกสาว มันเป็นรอยยิ้มที่สวยและสดใสราวกับเธอเป็นคนนำพาความสุขมาให้กับผู้ที่เห็น แต่ตอนนี้อเล็กซิสกลับจมอยู่กับความเศร้า
ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะดำเนินไปได้ด้วยดีสำหรับตัวอเล็กซิส ทั้งการเรียน เพื่อนฝูง คนรัก และอาชีพการงาน เหมือนกับกราฟที่กำลังพุ่งไปสู่จุดสูงสุดแล้วจู่ ๆ หักดิ่งตกลงมา แต่ชีวิตก็แบบนี้ พายุมักเข้ามาในวันที่ดูเหมือนคลื่นลมสงบ วันต่อมา กว่าจะรู้ตัวอีกที ฝนก็ตกหนักเสียแล้ว
“ลูกของพ่อเข้มแข็งเสมอ เขาไม่ใช่คนที่ใช่ และถ้าลูกอยากจะร้องไห้ หรือพูดระบายมันออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มันเป็นปกตินะลูก” คาเลบไม่ใช่แค่ปลอบ แต่ยังลูบหัวเธอเบา ๆ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะปลอบโยนลูกสาว อเล็กซิสมีนิสัยบางอย่างที่ตรงข้ามกับเจสซี่อยู่บ้าง แม้เธอจะร่าเริงกว่าไบรซ์ แต่ก็มีส่วนคล้ายพ่อของเธอ เพราะคาเลบมักเก็บความรู้สึกทุกอย่างไว้กับตัว อเล็กซิสก็เป็นเหมือนกัน และเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องดีที่จะเก็บความเศร้าไว้แบบนี้
อเล็กซิสรับฟังคำพูดของพ่อ ดังนั้นเธอจึงเริ่มระบายความอัดอั้นออกมา “หนูไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาทำกับหนูแบบนี้ หนูไม่เข้าใจจูนเลย เธอโทษว่าหนูทิ้งเธอ เธอโทษว่าพวกเราชอบเอโลดี้
มากกว่าเธอ หนูคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนรักกัน ทำไมเธอถึงเกลียดหนูขนาดนี้ และเดวี่อีกคน เขาบอกว่าเขารักหนู...มาก”คู่รักหนุ่มสาว น้อยคนนักที่จะสามารถไปถึงฝั่งฝัน
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







