วันต่อมา
หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวคู่กับกระโปรงทรงเอสีน้ำเงินเอวสูงยาวเหนือเข่าเล็กน้อย ดูเรียบร้อยเป็นทางการ เธอยืนชะเง้อคอมองไปรอบๆ อยู่บริเวณหน้าบริษัท สลับกับก้มดูนาฬิกาเรือนเก่าไม่ได้มีราคาอะไร เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้ว แต่ลูกค้าคนสำคัญก็ยังเดินทางมาไม่ถึง
ครืด ครืด
โทรศัพท์ในมือส่งเสียงดังขึ้น เธอมองเบอร์ที่ปรากฏก่อนจะรับสายด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง
"สวัสดีค่ะคุณไทเป"
"ครับ...ผมกำลังจะเลี้ยวเข้าบริษัทแล้ว ไม่ทราบว่าจอดรถตรงไหนได้บ้างครับ"
"คุณไทเปสามารถจอดด้านหน้าได้เลยค่ะ...ใช่รถคันสีดำที่เลี้ยวเข้ามาหรือเปล่าคะ" เธอยิ้มไปด้วยขณะร้องถามออกไป เมื่อเห็นรถคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ก็แอบขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรู้สึกคุ้นตารถคันดังกล่าวแปลกๆ แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นจากไหน
"ใช่ครับ"
"คุณไทเปขับเลยประตูหน้าบริษัทไปเล็กน้อยนะคะ จะมีที่จอดรถสำหรับลูกค้าเข้ามาติดต่ออยู่ค่ะ ตอนนี้ทิชายืนรอด้านหน้าแล้วค่ะ"
"โอเคครับ"
อีกฝ่ายรับคำแล้วกดวางสายไป สักครู่รถสปอร์ตสีดำท่าทางราคาแพงคันนั้นก็ขับผ่านทิชาไปยังจุดจอดรถ
หญิงสาวก้มสำรวจการแต่งกายตัวเองอีกครั้งเพื่อความเรียบร้อย ก่อนจะปั้นหน้าเป็นมิตรแล้วรีบเดินไปต้อนรับลูกค้าคนสำคัญของบริษัทด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
รถสีดำถอยเข้าซองจอดรถเรียบร้อย ซึ่งพนักงานสาวคนขยันก็ยืนรออยู่ด้านหลังตรงฟุตพาท เครื่องยนต์เงียบลงไม่นานประตูบานสวิงก็ถูกเปิดออกมา
เธอฉีกยิ้มกว้างทักทาย ก่อนจะหน้าซีดใจร่วงไปตกลงแทบเท้าเมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาดุดันของอีกฝ่ายชัดๆ
หัวใจราวกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ ริมฝีปากอ้าค้าง คำพูดที่เตรียมมาไม่อาจหลุดออกมาสักคำ มือไม้ที่กำลังจะยกขึ้นไหว้ชะงักกลางอากาศ มือไม้เย็นเฉียบสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก
ภาพในค่ำคืนน่าอับอายที่อยากฝังกลบให้มิดเมื่อสองเดือนก่อนวิ่งเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง พวงแก้มเริ่มเห่อร้อนแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศ เมื่อคิดถึงยามใบหน้านั้นเข้ามาคลอเคลียลอยอยู่เหนือร่าง ขณะหอบกระเส่าครวญครางด้วยความสุขสม
ฆ่าเธอให้ตายตรงนี้เถอะ! เพราะเขาคือคนเดียวกับชายแปลกหน้าที่พรากพรหมจรรย์เธออย่างดิบเถื่อน!
ทิชารีบก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วจ้องกลับ พยายามให้ม่านเส้นผมยาวสลวยของตนเองบดบังสายตาคมกริบคู่นั้น หัวใจในโพรงอกค้างซ้ายบีบรัดหนักหน่วงด้วยความแตกตื่น เผลอขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันครุ่นคิดหาทางรอดออกไปจากสถานการณ์นี้อย่างไร
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ..." เสียงทุ้มของคนตัวสูงเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นอาการเลิ่กลั่กของหญิงสาวตรงหน้า
คำพูดนั้นทำให้ทิชาได้สติ แอบคิดในแง่ดีว่าเขาอาจจะจำเธอไม่ได้ เพราะเรื่องราวก็ผ่านมานานแล้ว จึงรีบส่งยิ้มเจื่อนกลบเกลื่อน แต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้ามาพูดคุยกับอีกฝ่ายตรงๆ อยู่ดี
"มะ...มะ...ไม่ค่ะ...มะ...ไม่ได้เป็นอะไร...เอ่อ...ชะ...เชิญคุณไทเปทางนี้"
คนตัวเล็กห่อไหล่เบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง ก้มหน้าเอาไว้ตลอด หวังใช้เรือนผมปิดบังใบหน้าบางส่วน พลางผายมือออกไปยังหน้าบริษัท แต่น้ำเสียงที่หลุดออกมากลับดูสั่นเครือ ตะกุกตะกักแทบฟังไม่ได้ศัพท์ จึงโคตรจะดูผิดปกติและไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย
"ครับ" เขาตอบกลับนิ่งๆ อย่างสุภาพ อีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการบ่งบอกแม้แต่น้อยว่าจำเธอได้ หัวใจที่แล่นสูงขึ้นมาแทบติดคอหอยจึงค่อยคลายลงช้าๆ แต่ก็ยังระแวดระวังสุดขีดอยู่ดี
เธอผงกหัวให้เขาอีกครั้ง แล้วรีบก้าวเดินนำทาง แต่มันก็ช่างดูยากลำบากเหลือเกินเมื่อตอนนี้เธอลนลานไปหมด แขนขาสั่นระริกเหมือนจะหมดแรงลงได้ทุกวินาที
จู่ๆ ขนในกายก็ลุกวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ รู้สึกเหมือนถูกสายตาร้อนแรงของชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาจ้องเขม็งจนหลังเธอแทบไหม้ แต่ใจที่ปอดแหกก็ไม่กล้าหันกลับดูให้แน่ใจ รีบก้าวยาวๆ ผ่านโถงตึกเพื่อตรงไปยังลิฟต์
ด้วยความรีบร้อนบวกกับอาการประหม่าแบบสุดขีดทำให้อวัยวะในร่างกายไม่ค่อยยอมขยับตามคำสั่ง หัวใจเธอกระตุกวาบเมื่อสะดุดเข้ากับขาตัวเองที่พยายามรีบเร่งเดินจนหน้าเกือบทิ่ม
หมับ!
ทิชาตาเบิกโตหัวใจกระหน่ำเต้นรัว หอบถี่หนักๆ ด้วยความตกใจ เพราะในขณะที่กำลังจะหน้าวัดพื้นหินอ่อนของบริษัท ต้นแขนก็ถูกคว้าเอาไว้ได้ทัน แล้วดึงร่างเธอไปแนบกับแผงอกกว้างมั่นคงดูปลอดภัย ร่างกำยำแน่นหนั่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบซ้อนอยู่เบื้องหลัง จนทิชาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงของเจ้าของ
ตึก ตึก ตึก
"เดินดีๆ ด้วยครับ" เขาเอ่ยเสียงทุ้ม แต่ท่าทางของทั้งสองในตอนนี้มันใกล้ชิดกันเหลือเกิน ลมหายใจร้อนผ่าวอยู่เหนือศีรษะไม่ไกล ส่งผลต่อจังหวะชีพจรและอุณหภูมิในร่างกายคนตัวเล็กเหลือเกิน
"ขะ...ขอบคุณค่ะ" เสียงตะกุกตะกักเอ่ยขึ้น ยังคงหน้าเหวอกับอุบัติเหตุเมื่อครู่ไม่หาย แต่เมื่อไทเปเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว เขาก็ยอมปล่อยร่างเล็กเป็นอิสระ แล้วก้าวถอยหลังออกไปเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่างอย่างเป็นสุภาพบุรุษ
"...ไม่เดินต่อเหรอครับ นี่ใกล้เวลานัดแล้ว"
"คะ...ค่ะ...ปะ...ไปค่ะ"
ทิชาลนลานแทบทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เธออับอายแทบอยากเอาหน้ามุดแผ่นดินหนี ที่ดันทำเรื่องน่าขายหน้าให้เขาเห็นอีกจนได้ เธอก้มหน้าแทบจะตลอดเวลา เรียวนิ้วสั่นจิ้มไปยังตัวเลขชั้นที่ต้องการ ไม่นานประตูเหล็กก็ปิดลง
ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นด้านบน แต่ทิชารู้สึกว่าระยะจากชั้นหนึ่งไปสู่ชั้นสี่มันช่างยาวนานนับปี บรรยากาศภายในมันอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก หัวใจเธอยังคงสั่นรัว ยืนเบียดกายแทบจะสิงเข้าไปกับแผงควบคุม
"คุณทิชา"
"คะ!" เธอสะดุ้งวาบยืนหลังตรงทันตาราวกับคนมีความผิดติดตัว เมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมก็เรียกชื่อเธอขึ้นมากะทันหัน
"คุณกลัวอะไรผมเหรอครับ"
"มะ...ไม่ค่ะ...มะ...ไม่ได้กลัวอะไรคุณไทเปเลยค่ะ"
ทิชาตอบกลับทั้งที่ศีรษะแทบจะติดกับผนังลิฟต์ ไม่ยอมหันมาสบตาคู่สนทนา ยิ่งทำให้ดูมีพิรุธขึ้นเป็นอีกเท่าตัว
"งั้นเหรอครับ..."
เสียงทุ้มเซ็กซี่ตอบกลับมา เขาเริ่มหย่อนน้ำหนักไปยังขาอีกข้างในท่าทางที่ดูผ่อนคลายขึ้น สองมือสอดล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเอ่ยถามต่อ
"ไม่งั้นทำไมคุณไม่หันมามองหน้าผมเลยครับ...ไม่รู้เหรอว่าแบบนี้มันเสียมารยาทกับลูกค้ามาก"
ทิชาหลับตาปี๋กับคำตำหนิแบบอ้อมๆ ของชายหนุ่ม เร่งสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกปิดบังใบหน้าจิ้มลิ้มราวกับยัยเพิ้งไปทัดหู แล้วหันไปฉีกยิ้มหวานให้จนตาหยีด้วยท่าทางที่สดใสเกินปกติ เพื่อย้ำว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรแม้แต่น้อย
"ไม่ค่ะ ทิชาโอเคทุ้กอย่าง ขออภัยด้วยนะคะที่ทำให้คุณไทเปรู้สึกไม่ดี"
"หึ...ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วครับ เพราะเรายังต้องร่วมงานกันอีกสักพักใหญ่เลย"
"ค่ะ!"
เธอฝืนยิ้มตอบกลับท่าทางนอบน้อมแต่หนักแน่น ทั้งที่ภายในหวั่นวิตกสุดขีด เหงื่อเม็ดเย็นผุดขึ้นตามไรผมราวกับอุณหภูมิภายในตู้สี่เหลี่ยมนี้มันสูงกว่าปกติ
ติ๊ง~
ราวกับเสียงสัญญาณช่วยชีวิตเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกยังชั้นเป้าหมาย ทิชาค่อยพอหายใจหายคอได้โล่งขึ้นอีกหน่อย หันไปฝืนส่งยิ้มจนดวงตาคู่กลมสวยหรี่เล็ก พลางผายมือออก
"เชิญค่ะ"
"..."
ไทเปไม่ได้ตอบกลับมา เพียงเดินตามหญิงสาวออกไปตามทางเดิน จนทั้งคู่มาถึงห้องประชุมที่ล้อมด้วยกระจกสีขุ่นครึ่งบาน ทำให้คนด้านนอกด้านในพอมองเห็นกันได้บ้าง แต่ก็ยังคงได้ความเป็นส่วนตัวอยู่เช่นกัน
เธอเปิดประตูให้เขาพร้อมแนะนำทีมงานฝ่ายต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
ร่างสูงกระชับเสื้อสูทสีดำ แล้วเดินไปนั่งยังหัวโต๊ะ ท่าทางสง่าผ่าเผยไม่ต่างจากเจ้าของบริษัทมาเอง ท่าทางเรียบเฉยสุขุมทำให้คนอื่นภายในห้องแอบเกร็งขึ้นมา แต่คนที่แทบจะไม่มีสติฟังการประชุมเลยคงหนีไม่พ้นทิชา
สาวหวานเลือกนั่งห่างจากไทเปให้ไกลที่สุด ก้มหน้าก้มตาจดข้อมูลความต้องการเพิ่มเติมของลูกค้าลงในสมุด แทบไม่มีปากมีเสียงปล่อยให้แต่ละฝ่ายอธิบายหน้าที่การทำงานตัวเองไป แต่ก็ยังไม่วายแอบขนลุกเมื่อสายตาร้อนรุ่มคู่นั้นตวัดมองเธอเป็นระยะ
ไม่รู้ว่าเพราะมีความผิดติดตัวจนร้อนรนไปเองหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกว่าตนเองถูกจับจ้องบ่อยกว่าปกติ
ได้แต่สวดภาวนาขอความเมตตาต่อสวรรค์อยู่ในใจ ขอให้เขาจำเธอไม่ได้ และลืมเรื่องทุเรศของเธอในคืนนั้นไปให้หมด
"เจ้านายผมอยากได้ภาพมุมสูง ถ่ายวิวจากด้านบนให้มองเห็นท่าเรือทั้งหมดของเรา และการจัดระเบียบสินค้าที่ดูเป็นระบบได้มาตรฐาน...นอกจากนั้นก็อยากได้วิดีโอการขนส่งที่ครอบคลุมทั้งทางเครื่องบิน เรือ และรถ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะเจ้าตัวยกมือขึ้นประสานบนโต๊ะ ดูหล่อ เท่ สมาร์ตจนสาวคนอื่นในการประชุมเผลอยิ้มด้วยความเคลิบเคลิ้ม
"ได้เลยครับคุณไทเป ทางเรามีโดรนและอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำโฆษณาที่ดีที่สุด คาดว่าจะได้ภาพสวยถูกใจแน่นอนครับ"
"ส่วนวิดีโอที่จะไปทำการตลาด ตามสตอรีบอร์ดที่พวกคุณส่งมาให้ดู ผมได้มีคอมเมนต์กลับไปแล้ว ไม่ทราบว่าคุณทิชาได้แจ้งหรือยัง"
พอได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนา ร่างเล็กก็กระเด้งขึ้นมานั่งหลังตรง แล้วรีบอธิบายเพิ่มต่อทันที พยายามมองเมินสายตาวิบวับของหนุ่มหัวโต๊ะ แล้วกลับมามีสติกับหน้าที่ตรงหน้า
"ในจุดที่ปรับแก้ อยากให้ทางทีมครีเอทีฟช่วยสร้างสรรค์ให้ดูน่าสนใจและดูเป็นทางการมากกว่าเดิม ถ้าอยากได้ฟุตเทจระบบการทำงานภายในบริษัทเพิ่มเติมก็สามารถเสนอได้เลย ส่วนระยะเวลาของวิดีโอสั้นที่จะใส่บนเว็บไซต์ขอไม่ให้เกินสองนาที เพื่อไม่ให้ดูน่าเบื่อ ส่วนวิดีโอพรีเซนต์ไม่อยากให้เกินหกนาที แต่ต้องมีข้อมูลทุกอย่างครบถ้วน...ทั้งหมดนี้ ทิชาได้มีการส่งเมลกลับไปให้แต่ละฝ่ายแล้วค่ะ"
ท่าทางกระฉับกระเฉงดูเป็นการเป็นงานขึ้นมาทำให้สายตาหนุ่มที่นั่งหัวโต๊ะอ่อนลง เอนพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ท่าทางผ่อนคลายขึ้น
นึกพอใจกับการทำงานที่ดูเป็นมืออาชีพของทุกคน
การประชุมดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น เมื่อลูกค้ามีจุดประสงค์ชัดเจน แต่ละฝ่ายก็สามารถปรับแก้ไขได้รวดเร็ว จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเกือบสองชั่วโมง หลังจากสรุปนัดหมายส่งแผนการทำงานเรียบร้อยไทเปก็ขอตัวกลับก่อน
และก็ต้องเป็นหน้าที่ของทิชา AE คนสวยต้องไปส่งลูกค้ากลับ
ทั้งที่การประชุมในวันนี้แทบไร้ข้อติดขัด แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้หญิงสาวรู้สึกหมดเรี่ยวแรงเหนื่อยล้ากว่าปกติ ยิ่งต้องมาปั้นหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว ตอบคำถามของชายหนุ่มที่ช่วงชิงพรหมจรรย์เธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันช่างสิ้นเปลืองพลังงานขึ้นอีกหลายเท่า
เธอก้มหน้าต่ำ ก้าวตามท่อนขายาวๆ ของลูกค้าสุดหล่อออกไปด้านนอกยังจุดจอดรถ ตลอดทางทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักคำ นับว่าเป็นโชคดีเพราะทิชาคงได้หลุดแสดงอาการเลิ่กลั่กออกไป จนเขาสงสัยแน่ แต่โชคก็ไม่อยู่กับสาวน้อยดวงกุดนานนัก
เพราะในขณะที่กำลังจะได้โล่งใจเมื่อเห็นชายหนุ่มเปิดประตูรถหรูเตรียมจะก้าวขึ้น แต่แล้วเขาก็ชะงักหันกลับมามองเธอด้วยสายตายากจะอธิบาย ทำร่างน้อยเกร็งเครียดขึ้นมาอย่างระแวดระวัง
"คุณทิชา..."
"คะ!"
"เบอร์คุณแอดไลน์ได้เลยใช่ไหม ผมจะได้เมมเอาไว้...คิดว่าจะสะดวกกว่าเวลาคอมเมนต์งานกลับไป"
"มันก็ใช่ค่ะ...แต่ทิชาว่าส่งเมลมาจะสะดวกกลับทุกฝ่ายมากกว่านะคะ"
คนตัวเล็กพยายามบ่ายเบี่ยงตอบเสียงแผ่วเบา ความตั้งใจเดิมคือจะออกห่างไทเปให้มากที่สุด ก่อนที่เรื่องราวไม่น่าจดจำจะถูกขุดขึ้นมา แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดเช่นเดียวกัน
"เอาเป็นว่าผมจะแอดไปก็แล้วกัน...ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ งานดูคืบหน้าไปมากทีเดียว"
"เอ่อ...ค่ะ ยินดีค่ะ"
คิ้วบางขมวดแทบชนกันเมื่อเขาเหมือนจะไม่ฟังคำปฏิเสธเมื่อครู่ แล้วเปลี่ยนเรื่องไปก่อน แต่เธอก็ต้องตอบกลับพร้อมก้มโค้งตัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยตามมารยาท จึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มขบขันบนมุมปากหนุ่มเคร่งขรึมให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเธอ
ไทเปหมุนตัวกลับแล้วก้าวขึ้นรถขับออกไป ทิ้งให้สาวน้อยยืนทึ้งหัวตัวเองตามลำพัง
"เฮ้ออออ~ ชีวิตอีทิชานี่มันซวยซ้ำซวยซ้อนไปถึงไหนวะเนี่ย!"
ทิชาร้องโวยวายออกมาระบายความตึงเครียดที่เผชิญมาทั้งวันเมื่อได้อยู่คนเดียว มือน้อยขยี้ขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจนยุ่งฟู แต่ก็ไม่อาจช่วยบรรเทาความหวั่นวิตกได้เลย
"โอ๊ย~ ทำไมโลกถึงได้กลมขนาดนี้ นี่เจ้ากรรมนายเวรจะเกลียดอะไรทิชานักหนาคะ!"
"เย็นนี้หนูจะรีบไปทำบุญให้เลยค่า แต่ช่วยปล่อยหนูไปทีเถิดดดด~"
มือน้อยยกขึ้นพนมขึ้นพ้นศีรษะ พึมพำบนบานออกมาเพียงคนเดียวราวกับคนเสียสติ จนยามที่ยืนเฝ้าหน้าตึกหันมามองท่าทางตลกๆ นั้นด้วยความมึนงง