ผ่านมาสามวันแล้ว ฉันก็ยังคงอยู่ในเรือน จะก้าวเท้าออกจากตัวเรือนก็ยังทำไม่ได้เพราะคำสั่งของอีตาอ๋องบ้าอำนาจนั่น กินๆนอนๆตอนแรกๆก็สบายอยู่หรอก แต่ทำแบบนี้ทุกวันก็น่าเบื่อ แถมไม่มีซีรี่ส์หรือมือถือให้เล่นอีก วันๆก็เจอแค่จูจูกับเสี่ยวฮวาและบ่าวรับใช้คนอื่นๆที่อยู่ภายในเรือน ไม่เคยเจอคนข้างนอกเลย ชีวิตแบบนี้ช่างน่ารันทดเกินไปแล้ว
"เฮ้อ...น่าเบื่อจังเลย" ฉันถอนหายใจพร้อมทำหน้าเซ็งอยู่หน้ากระจก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือฉันเด็กลง จากอายุ25 กลายเป็นอายุ18 หน้าก็สวยใสไร้สิวดั่งดอกไม้แรกแย้ม แต่...ก็นั่นแหละ มันใช้เป็นประโยชน์ได้ที่ไหนล่ะ...เอ๊ะ ต้องได้สิ ใช้แผนหญิงงามกับอีตาอ๋องบ้าอำนาจนั่นดีไหมน้า~ ถ้าทำได้ เขาจะใจดีกับฉันไหม น่าลองแฮะ "เสี่ยวฮวา" ฉันเรียกเสี่ยวฮวาพร้อมยิ้มอย่างซุกซน "เพคะพระชายา" "เจ้ามาช่วยข้าแต่งหน้าแต่งตัวหน่อยสิ ข้าจะไปหาท่านอ๋อง" "พระชายา...แต่ท่านอ๋องมีคำสั่งกักบริเวณท่านนะเจ้าคะ" เสี่ยวฮวาพูดด้วยสีหน้าไม่สบายใจ "ข้าบอกให้ทำก็ทำเถอะ...จูจูไปบอกห้องครัวต้มน้ำแกงมาให้ด้วย" ฉันยิ้มให้เสี่ยวฮวาและหันไปบอกจูจู "เพคะ" จูจูรับคำและเดินจากไป เสี่ยวฮวาจึงลุกขึ้นมาแต่งตัวให้ฉัน ราวๆหนึ่งชั่วยามก็เสร็จ "พระชายาท่านทรงงดงามมากเลยเพคะ" เสี่ยวฮวาชมฉันที่อยู่ในชุดจีนโบราณสีชมพู ตรงช่วงกระโปรงปักลายผีเสื้อพอเดินแล้วเหมือนผีเสื้อกำลังบินและมัดผมเป็นมวยง่ายๆและปักปิ่นสีขาว ดูรวมๆแล้วทั้งสดใสทั้งอ่อนหวานในคราวเดียวกัน "ไปกันเถอะ" ฉันยิ้มอย่างซุกซนและออกมาที่ประตูเรือน องครักษ์ทั้งสองที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนจึงพูดว่า "พระชายา...เชิญเสด็จกลับเถิดพะย่ะค่ะ ท่านออกมานอกเรือนไม่ได้ นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องพะย่ะค่ะ" "ข้าออกไม่ได้งั้นหรือ...งั้นถ้าข้าบอกท่านอ๋องว่าพวกเจ้าลวนลามข้า...ข้ายังออกจากเรือนอยู่ได้หรือไม่" ฉันยิ้มอย่างซุกซนแล้วจ้องหน้าองครักษ์ทั้งสองคน สองคนนั้นรีบคุกเข่าแล้วเอาแต่พูดว่า "ข้าน้อยมิกล้าๆ" ฉันหันไปขยิบตาให้เสี่ยวฮวากับจูจูก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากเรือนตัวเอง "เรือนท่านอ๋องอยู่ที่ไหนเหรอ" ฉันหันไปถามจูจูกับเสี่ยวฮวาที่เดินตามฉัน "เรียนพระชายา ท่านอ๋องไม่ได้อยู่ในเรือนเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าท่านอ๋องอยู่ในสวนกับ...เอ่อ....กับคุณหนูหลินโหรวเจ้าค่ะ" จูจูตอบ หลินโหรวงั้นเหรอ ชักอยากรู้แล้วสิ ว่าหน้าตาและนิสัยเป็นแบบไหน เมื่อคิดได้อย่างนั้นฉันก็รีบเร่งเดินนำไปที่สวน "พระชายา...ทางนี้เพคะ" เสี่ยวฮวากับจูจูพากันร้องเรียกเมื่อฉันเดินไปผิดทาง ก็แหงน่ะสิ เคยออกจากเรือนที่ไหนล่ะ นอกจากวันแรกยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนด้วยซ้ำ เมื่อเดินมาใกล้สวน ฉันก็เห็นหนึ่งหญิงหนึ่งชายกำลังยืนเคียงข้างกัน มองแล้วช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมยิ่งนัก เฮ้อ ทำไมจะต้องให้ฉันมาแทรกกลางระหว่างคู่รักด้วย มันบาปนะรู้ไหม(╥﹏╥) "ท่านอ๋อง" ฉันเอ่ยปากเรียกเขาก่อน เขาจึงหันมาทำใบหน้าเย็นชาใส่และพูดว่า "ใครให้เจ้าออกจากเรือน" "ท่านอ๋องอย่าทรงอย่าต่อว่าพี่ใหญ่เลยเพคะ" หญิงสาวที่อยู่ข้างๆเขา หันมาส่ายหน้าน้อยๆ กิริยานั่นช่างนุ่มนวลและอ่อนหวาน ใบหน้าก็จิ้มลิ้มน่ารักชวนให้ทะนุถนอมและนี่ก็คือหลินโหรวนั่นเอง "เจ้าจะไปช่วยพูดแทนผู้อื่นทำไม สตรีร้ายกาจเช่นนี้ไม่ซึ้งในน้ำใจของเจ้าหรอก" เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแล้วมองหน้าฉัน อ้าวไอ้บ้านี่ ฉันไปทำอะไรให้ฟะ=_= "ท่านอ๋อง...ท่านก็อย่าได้โกรธเคืองพี่ใหญ่เลยเพคะ คราวที่แล้วทรงเป็นเพราะหม่อมฉันยืนทรงตัวไม่อยู่เองจึงพลาดตกน้ำ ไม่ได้เป็นเพราะพี่ใหญ่เลยเพคะ เป็นเรื่องเข้าใจผิด" หลินโหรวเงยหน้าสบตาเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน "หึ...เจ้าไร้เดียงสายิ่งนัก สตรีเช่นนางเจ้าไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของนางหรอก" เขาพูดจบก็มองมาที่ฉันด้วยสายตาราวกับจะฆ่าฉันให้ตาย เหอะ นี่มันพล็อตนิยายน้ำเน่าไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นนางเอก อีตาอ๋องบ้าอำนาจเป็นพระเอก หลินโหรวเป็นตัวร้ายที่แอ๊บทำตัวใสๆหรือที่เรียกกันว่าดอกบัวขาว ฉันมองแวบเดียวก็รู้แต่ผู้ชายเขาไม่รู้...โอ๊ย ปวดหัวค่ะแม่ ฉลาดเรื่องอื่นแต่มาตายเรื่องผู้หญิงนี่นะ ฉันต้องทำยังไงล่ะเนี่ย=_= เฮ้อ "ท่านอ๋อง...หม่อมฉันอยากออกไปข้างนอก ทรงประทานอนุญาตด้วยเพคะ" ฉันเอ่ยแทรกขึ้นมาเพราะความรำคาญ คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ช่างเหมาะกันเสียจริง อีกอย่างฉันแค่ทะลุมิติมาเดี๋ยวฉันก็จะหาวิธีกลับไป ฉันไม่อยากมายุ่งเรื่องกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะเรื่องแย่งผู้ชายมันหมดยุคไปแล้วจ้า กะอีกแค่ผู้ชายคนเดียว "จะออกไปทำชั่วที่ใดหรือ?" เขาถามพร้อมกับทำสีหน้าเย้นหยัน ฉันชักจะหมดความอดทนแล้วนะ ทั้งต่อว่าทั้งดูถูกกันแบบนี้มันเกินไปแล้ว "ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันแค่อยากออกไปข้างนอกก็เท่านั้น ตั้งแต่มาที่นี่ท่านก็เอาแต่กักบริเวณหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เคยได้ออกไปไหนเลย หม่อมฉันเพียงแค่อยากไปเปิดหูเปิดตาก็เท่านั้น" "อ้อ...เจ้าอยากไปเปิดหูเปิดตางั้นเหรอ" เขาถามกลับและยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดว่า "งั้นเปิ่นหวางก็จะช่วยให้เจ้าสมหวัง...นับจากนี้เป็นต้นไป พระชายาจะอาศัยอยู่ที่วังผิงอัน หากไม่มีคำสั่งจากเปิ่นหวาง ห้ามพระชายาเข้ามาในวังนี้เด็ดขาด!" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "ท่านอ๋อง" จูจูกับเสี่ยวฮวาคุกเข่าโขกศีรษะแล้วร้องไห้น้ำตาไหล "ท่านอ๋อง ได้โปรดถอนรับสั่งเถิดเพคะ" หลินโหรวคุกเข่าให้เขา พลางร้องไห้น้ำตาไหล "หม่อมฉันน้อมรับคำสั่งเพคะ" ฉันยิ้มก่อนจะทำความเคารพเขาแล้วเดินไปดึงแขนจูจูกับเสี่ยวฮวาให้ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกัน ปล่อยให้ร่างสูงมองตามไปด้วยแววตาล้ำลึก "พระชายาเพคะ...ฮือๆ...ทำไมท่านทรงรับปากง่ายๆล่ะเพคะ...ฮือๆ" จูจูคุกเข่าร้องไห้แล้วดึงกระโปรงของฉันไว้ "ทำไมล่ะ มีอะไรเหรอ" "หม่อมฉันได้ยินมาว่า...วังผิงอันทั้งเก่าทั้งโทรมและยังอยู่ติดกับชายแดนอีก เวลานี้มีศึกสงคราม พวกเราต้อง...ต้องตายแน่ๆเลยเพคะ...ฮือๆ" เสี่ยวฮวาพูดจบก็ร้องไห้เสียงดัง จูจูที่ได้คำว่าตายก็ร้องไห้หนักขึ้นไปอีก ในเรือนจึงมีแต่เสียงร้องไห้ดังระงม ครึ่งชั่วยามต่อมา หลังจากที่รอให้สองคนสงบสติอารมณ์แล้วฉันจึงพูดว่า "พวกเจ้าไม่ต้องไปกับข้าก็ได้ ข้าจะไปขอร้องเขาให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่" "พระชายา!!!" สองคนตะโกนลั่นจนฉันสะดุ้ง "พวกเจ้าจะตะโกนทำไม ข้าอยู่ใกล้แค่นี้เอง" "หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ" สองคนหมอบแทบเท้าและพูดด้วยเสียงสั่นๆ จากนั้นเสี่ยวฮวาก็พูดว่า "พระชายาเพคะ เสี่ยวฮวาเป็นคนของท่าน ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด เสี่ยวฮวาขอตามไปรับใช้ท่านด้วย หากไม่มีท่านก็ไม่มีเสี่ยวฮวาเจ้าค่ะ" "หม่อมฉันด้วยเพคะ" จูจูพูด "เอาล่ะๆ พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด" ฉันดึงมือของทั้งสองคนมาจับก่อนจะยิ้มบางๆและพูดต่อว่า "ข้าก็มีแค่พวกเจ้าเช่นกัน ต่อไปนี้พวกเรามาช่วยกันเถิด มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน เย้ๆ" "เพคะพระชายา" สองคนตอบพร้อมกันและหันมายิ้มให้กัน และพูดพร้อมกันอีกว่า "มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน เย้ๆ" "ฮ่าๆ" ฉันหัวเราะเบาๆก่อนจะให้ทั้งสองคนไปเตรียมเก็บเสื้อผ้า ถ้าออกจากวังนี้ได้เมื่อไหร่สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือตามหาไอ้โบตั๋นกับไอ้องุ่น อย่างน้อยบนโลกใบนี้ก็ยังมีคนที่ฉันรักรออยู่สองคน ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ฉันจำได้แค่ว่าโบตั๋นเลือกมังกร องุ่นเลือกแม่ทัพ แต่ที่แย่ก็คือฉันยังจำชื่อของผู้ชายทั้งสองคนไม่ได้ และฉันไม่รู้ว่าถ้าองุ่นกับโบตั๋นมาอยู่ที่นี่จะใช้ชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร คงมีแต่ใบหน้าของพวกมันเท่านั้นที่ฉันจำได้ หนึ่งชั่วยามต่อมา "พร้อมแล้วเพคะ พระชายา" จูจูพูด "งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ" ฉันพูดจบก็เดินออกจากวัง ตอนนี้ฉันสวมใส่ชุดสีชมพูที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย และมัดผมปักปิ่นอย่างง่ายๆดูแล้วก็เหมือนคุณหนูทั่วไป "พระชายาเพคะ...ท่านอ๋องทรงใจร้ายกับท่านเหลือเกิน ขนาดรถม้าก็ยังไม่เตรียมให้" เสี่ยวฮวาพูดขึ้นพลางใช้มือปาดน้ำตาอยู่หน้าวังอ๋อง "เราไปกันเองก็ได้ เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลย ข้าเห็นแล้วปวดตาแทน" ฉันพูดจบก็เดินนำหน้าพลางมองความคึกคักบนถนน ที่นี่มีร้านค้ามากมาย มีโรงเตี๊ยมที่มีกลิ่นอาหารหอมๆชวนให้น้ำลายสอ "พวกเราไปโรงเตี๊ยมกันเถอะ" ฉันพูดแล้ววิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยม มีเสี่ยวเอ้อมารอรับแขกแล้วเชิญเข้าไปด้านใน ฉันจึงเลือกชั้นบนเพื่อที่จะมองวิวของที่นี่ได้ชัดๆและก็ไม่ผิดหวังเมื่อด้านหลังโรงเตี๊ยมเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่ "ขอซงโหย่วปิง...เสี่ยวหลงเปา...ปลาผัดเปรี้ยวหวาน...ปลาผัดพริกเสฉวน" "ขอรับ" เสี่ยวเออร์รับคำแล้วเดินออกไป "ยืนอยู่ทำไมล่ะ มานั่งด้วยกันสิ" ฉันเรียกจูจูกับเสี่ยวฮวาที่ยืนอยู่ด้านหลัง สองคนนั้นทำยักๆยือๆจนฉันทนไม่ไหวต้องดึงแขนให้นั่งลง "พระชายา!" "ชู่ว! ที่นี่ไม่มีพระชายาอะไรทั้งนั้น มีแต่คุณหนูหลินหลิน เข้าใจหรือไม่" ฉันจุ๊ปาก สองคนนั้นจึงพยักหน้ารับช้าๆ แต่ก็ยังคงนั่งอย่างเกร็งๆ "เจ้าจำสิ่งที่พวกเจ้าพูดก่อนมาได้หรือไม่ มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน" "จำได้เพคะ..เอ้ย...เจ้าค่ะ" ทั้งสองคนพยักหน้ารัวๆราวกับไก่จิก "ตอนนี้พวกเรากำลังจะกิน...ได้กินอาหารอร่อยๆเราก็จะมีความสุข...เมื่อมีความสุขก็แปลว่าพวกเราได้เสพสุขด้วยกันแล้ว...เข้าใจหรือไม่" "เข้าใจเจ้าค่ะ" หลังจากนั้นอาหารก็มาเสิร์ฟ หลังจากที่ได้กินอาหารอร่อยๆ จูจูกับเสี่ยวฮวาก็เลิกเกร็งแล้วกินอย่างมีความสุข เมื่อกินเสร็จพวกเราจึงออกมาหารถม้าเพื่อที่จะนั่งไปจวนผิงอันซึ่งห่างไปหลายร้อยลี้ ฉันรู้จากคำบอกเล่าของเสี่ยวฮวาว่าที่นี่มีแคว้นใหญ่ๆอยู่สามแคว้น ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นสามเหลี่ยม แค้วนที่ฉันอยู่คือแคว้นเว่ยต้าซึ่งอยู่ด้านบนสุด ฝั่งซ้ายคือแคว้นหลง ฝั่งขวาคือแคว้นซีฮัน ซึ่งสามแคว้นไม่ค่อยถูกกันคอยแต่จะยึดครองแคว้นของกันและกัน "แล้วรบกันบ่อยไหม" ฉันถาม "บ่อยเจ้าค่ะ ทั้งสามแคว้นผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเจ้าค่ะ" เสี่ยวฮวาตอบ "แล้วแคว้นเราใครเป็นคนนำรบล่ะ" "ท่านอ๋องไงเจ้าคะ" เสี่ยวฮวาทำตาโต สีหน้าบ่งบอกว่าแม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังลืมอีกเหรอ "คนแบบนี้ทำไมไม่โดนแทงให้ตายไปเลยนะ ชิ" ฉันเบะปาก เสี่ยวฮวาตกใจรีบปิดปากไม่ให้ฉันพูดแล้วพูดว่า"คุณหนู...เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า เกรงว่าจะโดนตัดหัวนะเจ้าคะ" "กลางป่ากลางเขาแบบนี้ไม่มีใครได้ยินหรอก เจ้าอย่าตื่นตูมไปเลย คิกๆ" ฉันหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงคุยเรื่องสัพเพเหระกับเสี่ยวฮวาและจูจูและพากันงีบหลับพักผ่อน โดยเสี่ยวฮวากับจูจูจะผลัดเวรกันเฝ้ายาม สองวันต่อมา หลังจากที่แวะกินอาหารกลางทางและเลือกซื้อของก็ขึ้นมานั่งในรถม้าอีกครั้ง "กุบกับๆ กุบกับๆ" "ทำไมม้าวิ่งเร็วจังเลยเจ้าคะ ข้าว่ามันแปลกๆ" จูจูถามพร้อมขมวดคิ้วอย่างสงสัยและเดินไปเปิดผ้าม่าน "ฟิ้ว!" ลูกธนูดอกหนึ่งลอยเข้ามาเสียบแขนจูจูจนหงายหลังล้มลง "กรี๊ดดดดด" ฉันกับเสี่ยวฮวาร้องด้วยความตกใจ ฉันถลาไปดูจูจู "ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว" ลูกธนูอีกหลายดอกถูกยิงเข้ามาในรถม้า จูจูที่เห็นว่าตนเองโดนยิงแล้วจึงกัดฟันโถมตัวกอดคนทั้งสองเพื่อปกป้องไม่ให้โดนลูกธนู ตนเองจึงถูกยิงแทน ฉันรีบคว้าย่ามที่โบตั๋นเคยให้ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ซึ่งในนั้นมีของหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นยังมีปืนอัดลมอยู่ด้วย ฉันรีบหยิบปืนออกมาแล้วถลาไปอยู่ข้างหน้ารถม้าก่อนจะยิงสวนกลับ "เสี่ยวฮวาเจ้าหยิบมือถือมาเปิดเสียงซิ เปิดให้ดังลั่นป่าเลยนะ!!" ฉันตะโกนบอกพร้อมกับเล็งยิงปืนอัดลมอีกครั้ง แต่ก็ไม่วายโดนลูกธนูเฉียดที่แขน "หยุดนะ!! ใครมันกล้าทำร้ายสตรีของข้า...ข้าอ๋องเซียวหรงจะทำให้พวกมันไม่ตายดี!!!" และนี่ก็คือเสียงที่โบตั๋นแอบดัดเสียงใส่มือถือตอนไหนไม่รู้ ฉันเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่โดนกักบริเวณ ในคราแรกที่ได้ยินเล่นเอาซะจูจูกับเสี่ยวฮวาขาแข้งสั่น ร้องไห้กลัวไปตั้งหลายชั่วยาม เมื่อได้ยินเสียงนั้นลูกธนูที่เคยยิงใส่ก็หายไปหมดแล้ว "จูจู...เจ้าแข็งใจไว้นะ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ" ฉันเขย่าร่างของจูจูที่บัดนี้มีแต่เลือดไหลออกมา "คุณหนู...ข้างหน้าเป็นหน้าผาเจ้าค่ะ!" เสี่ยวฮวาร้องอย่างตื่นตระหนกพร้อมกัดฟันเมื่อเจ็บจากการโดนธนูยิงที่ขา "กุบกับ กุบกับ" "เสี่ยวฮวา จูจู พวกเราจะกระโดดลงจากรถม้านะ เจ้าเตรียมตัวให้ดี" ฉันพูดแล้วเตรียมตัวดึงจูจูลุกขึ้นมา "คุณหนู...ท่านกับพี่เสี่ยวฮวารีบโดดลงจากรถเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงพวกท่าน" จูจูพูดแบบนั้นเพราะโดนลูกธนูหลายดอก จากการที่ปกป้องฉันกับเสี่ยวฮวา "เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว...เสี่ยวฮวา...พร้อมหรือยัง" ฉันหันไปถามด้วยใบหน้าที่จริงจัง เสี่ยวฮวากัดฟันพยักหน้า พวกเราทั้งสามจึงกัดฟันกระโดดลงจากรถม้าจนกลิ้งไปหลายตลบ "กุบกับๆ กุบกับๆ" "ตู้ม!!" เสียงรถม้าแตกกระจายอยู่ที่หน้าผาดังก้องมาให้ได้ยิน เพียงอีกนิดเดียวเท่านั้นพวกเขาก็จะแหลกดั่งเช่นรถม้านี้แล้ว "ไอ้พวกนรก อย่าให้ฉันรู้นะว่าเป็นแผนของใคร แม่จะจับมาทำต้มยำกุ้ง!" ฉันตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะถลาไปดูจูจูกับเสี่ยวฮวา "พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" "ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ แต่ว่าจูจู...ฮือๆ...นาง..." เสี่ยวฮวาร้องไห้สะอีกสะอื้น เพราะร่างกายของจูจูชุ่มไปด้วยคราบเลือด หน้าซีดเซียว "เจ้าพยุงจูจูขึ้นมาก่อน" ฉันบอกเสี่ยวฮวาแล้วหันไปหยิบยาแก้ปวดในย่ามที่โบตั๋นให้ "ไม่มีน้ำแล้วจะกินยังไงล่ะเนี่ย" ฉันบ่นเบาๆ เพราะยาเม็ดใหญ่ท่ากลืนเลยก็กลัวจะติดคอ จึงเปิดย่ามหาสิ่งของมาทุบยาเพื่อให้กินได้ง่ายขึ้น "นี่คือสิ่งใดหรือเจ้าคะ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง" เสี่ยวฮวาร้องทัก เจ้าสิ่งนั้นที่บัดนี้ดัง "ครืดๆ ครืดๆ" "นี่เหรอ...ของวิเศษน่ะ" ฉันยิ้มแหยๆ แล้วใช้เจ้าสิ่งที่บดเม็ดยาให้จูจู และเจ้าสิ่งนี้ก็คือ...ดิลโด้สั่นได้ ก็เปิดสั่นไปสิคะไม่ต้องเสียแรงทุบ=_= ถ้าได้เจอโบตั๋นก็อยากจะถามมันเหมือนกันว่าใส่เซ็กส์ทอยมาทำบ้าอะไร ถึงแม้ตอนนี้มันจะมีประโยชน์ต่อฉันก็เถอะO_o "ขมนะ เจ้าทนหน่อยแล้วกัน" ฉันพูดจบก็หยิบยาแก้ปวดที่บดแล้วกรอกใส่ปากให้จูจูกิน จากนั้นจึงหันไปให้เสี่ยวฮวากินด้วย "ท่านไม่กินหรือเจ้าคะ" เสี่ยวฮวาถาม "ข้าไม่ค่อยเจ็บน่ะ ทนได้...พวกเรารีบพาจูจูไปหาหมอกันเถอะ" ฉันยิ้มแหยๆอีกครั้ง แล้วรีบชวนเที่ยวฮวา "เจ้าค่ะ" แล้วฉันกับเสี่ยวฮวาก็พยุงจูจูคนละด้าน เดินตามทางไปเรื่อยๆก็เจอหมู่บ้าน เสี่ยวฮวาจึงเดินไปถามชาวบ้าน เมื่อได้คำตอบพวกเราก็เดินไปหาหมอซึ่งอยู่ในกระท่อมภายในหมู่บ้าน "ไอหยา...หนักหนาเอาการอยู่นะ" หมอชราพูดแล้วรีบเข้ามาทำการรักษา ใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็บอกว่า "รอดหรือไม่รอดก็ขึ้นอยู่กับดวงของแม่หนูนั่นแล้ว" "ขอบคุณเจ้าค่ะ" ฉันพูดก่อนจะพยักหน้าให้เสี่ยวฮวายื่นเงินให้หมอชรา "ขอบคุณๆ" หมอชรายิ้มกว้างและพูดต่อว่า "หากพวกเจ้ายังไม่มีที่พักตรงมุมนั้นมีโรงเตี๊ยมอยู่นะ" "ขอบคุณเจ้าค่ะ" ฉันกับเสี่ยวฮวายิ้มให้หมอชราและเดินไปจองห้องที่โรงเตี๊ยมครึ่งปีต่อมา ราษฎรต่างพากันเดินทางมายังชายแดนของแต่ละแคว้น เนื่องจากในวันนี้จะมีการลงนามสัญญาสงบศึกของทั้งสามแคว้น ซึ่งเริ่มจากแคว้นหลงที่ฮ่องเต้เฟยหรงส่งพระราชสาส์นมายังฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยต้าและแคว้นซีฮัน โดยเนื้อหาสำคัญก็คือการที่ราษฎรของทั้งสามแคว้นอยู่เป็นสุข ไม่ต้องรับความเดือดร้อนใดๆจากสงครามระหว่างแคว้นอีกต่อไปแล้ว "ไฮ~" โบตั๋นโบกไม้โบกมือให้ราษฎรที่มารอชมฉากสำคัญของประวัติศาสตร์ระหว่างสามแคว้น โดยตอนนี้ฮ่องเต้เฟยหรงและโบตั๋นยืนอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้น แค่ก้าวมาอีกก้าวเดียวก็จะเป็นแคว้นเว่ยต้ากับแคว้นซีฮันแล้ว"โบกมือเป็นนางงามเลยนะแก คิกๆ" หลินหลินที่ยืนอยู่กับท่านอ๋องเซียวหรงอยู่ที่ด้านหลังฮ่องเต้พูดแล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทางของเพื่อน"คิกๆ" องุ่นที่ยืนอยู่กับแม่ทัพจางเหว่ย และยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นซีฮันหัวเราะเพื่อนทั้งสองเบาๆ "เริ่มพิธี" เสียงขันทีแคว้นหลงประกาศ ฮ่องเต้เฟยหรงจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนมายืนอยู่ในเขตแดนของทั้งสองแคว้น ฮ่องเต้ทั้งสองเห็นอย่างนั้นจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนด้วย ทั้งสามแคว้นหยุดอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างแคว้นทั้งสาม ก่อนจะทำการจุดธู
หลังจากกลับวัง พวกเราก็รีบเข้าห้องมาอาบน้ำ ฉันอาบก่อนแล้วให้เขาอาบทีหลัง โดยฉันไปค้นกระเป๋าแล้วหยิบดิลโด้ที่พกมาด้วยมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงแต่งหน้าด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมยาวสยาย แล้วเอาถุงน่องตาข่ายสีดำมาสวมครึ่งขา ก่อนจะมานอนอยู่บนเตียงเพื่อรอเขา "ฝ่าบาทเพคะ~" ฉันร้องเรียกเขาแล้วนอนโพสท่าราวกับนางแบบในนิตยสาร18+ โดยนอนตะแคงข้างพร้อมโชว์ก้นขาวจั๊วแล้วทำสีหน้ายั่วยวน เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงหนึ่งอีก แล้วพูดว่า "เจ้ายั่วยวนเราเก่งนัก" เขาพูดจบก็ใช้มือบีบก้นฉันเบาๆ "ฝ่าบาทเคยเห็นสิ่งนี้ไหมเพคะ" ฉันหยิบดิลโด้ขึ้นมาพร้อมเปิดสั่น"อย่าเพิ่งสิเพคะ...ฝ่าบาทดูนี่เสียก่อน" "มันคืออะไร" เขาถามดวยความสงสัย "ฝ่าบาทว่า...สิ่งนี้มันดูเหมือนอะไรหรือเพคะ" ฉันถามยิ้มๆ "Banana ของเรา" "คิกๆ ใช่เพคะ" ฉันหัวเราะ ก่อนหันหน้ามาแยกขาออกกว้างแล้วใช้ดิลโด้ถูไถกลีบกุกลาบ "อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ" ฉันครางพร้อมทำหน้ายั่วยวน ก่อนจับนิ้วมือเขามาดูดเลีย "เจ้า" เขาพูดได้แค่นั้นก็ยิ้มมุมปากมองฉันอย่างชอบใจ แล้วจับใบหน้าฉันให้หันมาจูบเขา เข้าใช้ลิ้นสอดเข้ามาดูดรักพันเกี่ยวอย่างเร่าร้อน "จ๊วบๆ จ๊วบ" จากนั้
สองวันต่อมา วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปชายแดน โดยการเดินทางครั้งนี้ไปแบบลับๆ มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในระหว่างทางฝ่าบาทก็จะคอยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยไม่ได้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เพียงบอกว่ามาจากพระราชวังเท่านั้น "เราอยากให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสามแคว้นสิ้นสุดลงสักที" เขาเอ่ยด้วยเสียงกลัดกลุ้ม เนื่องจากตลอดทางที่มาแม้จะพูดถึงเรื่องภัยธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสถานการณ์ของสามแคว้น "แล้วฝ่าบาทคิดจะทำเช่นใดเพคะ" "ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะสงบศึก...จะมีอะไรสำคัญไปกว่าราษฎรของเราอีกล่ะ" "ฝ่าบาทก็ทำให้เป็นจริงสิเพคะ ไม่แน่ว่าแคว้นอื่นๆก็อาจจะเช่นเดียวกับฝ่าบาท" ฉันยื่นมือไปกุมมือเขา "หากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ดียิ่ง เราจะเป็นผู้เริ่มส่งหนังสือสัญญาสงบศึกก่อน" "ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง" ฉันยิ้มกว้างและเกาะแขนเขาอย่างออดอ้อน หกวันต่อมา เดินทางมาหลายวันในที่สุดพวกเราก็มาถึงชายแดน วังของฝ่าบาทที่ชายแดนก็ยังคงงดงามวิจิตดังเช่นพระราชในเมืองหลวงเพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น ยังมีความสะดวกสบายอยู่เช่นเดิม สิ่งแรกที่ฉันทำคืออาบน้ำเพราะในระหว่างเดินทางได้อาบน้ำไม่กี่ครั
วันต่อมา ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็แฝงไปด้วยความฟิน บอกตรงๆว่าคิดไม่ผิดที่เลือกเขา>..จากนั้นฉันก็อาบน้ำ แต่งตัว และกินข้าว ก่อนจะเดินออกจากตำหนักของฝ่าบาทและไปตำหนักฮองเฮา ในระหว่างทางที่เดินก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตะโกนโห่ร้อง"นั่นเสียงอะไรน่ะ" ฉันถามหมิงจู "น่าจะเป็นเสียงฝึกยิงธนูของราชองครักษ์เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเพคะ" "ยิงธนูเหรอ...น่าสนุกแฮะ" ฉันยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินไปตามเสียง ก็มาถึงลานกว้าง ที่รอบด้านทำเป็นที่นั่งล้อมรอบเหมือนอัฒจันทร์ มีเป้าธนูขนาดกลางวางเร
ฉันกับองค์หญิงเฟยเจินนั่งรอฝ่าบาทอยู่ในตำหนัก เราต่างก็รู้สึกกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะได้รับบาดเจ็บ เพราะด้านนอกคงมีเสียงของการต่อสู้อยู่"ทำไมเสด็จพี่เฟยฉีต้องคิดก่อกบฏด้วย...ฮือๆ...เสด็จพี่เฟยหรงทรงดีต่อท่านมากแท้ๆ" องค์หญิงเฟยเจินร้องไห้ "เฮ้อ" ฉันถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงได้แต่กอดปลอบองค์หญิงเฟยเจินพร้อมกับลูบหลังเบาๆ "ฮือๆ...ฮือๆ..." สองชั่วยามต่อมา ฝ่าบาทเดินเข้ามาในตำหนักด้วยชุดที่เปื้อนเลือด "เสด็จพี่" องค์หญิงเฟยเจินวิ่งเข้าไปกอดฝ่าบาทพร้อมกับร้องไห้โฮ "เจ้าอย่าร้องไห้เลย พี่ชายอย่างข้าเจ็บปวดหัวใจนัก...องค์หญิงของข้าเหมาะกับรอยยิ้มนะรู้หรือไม่" ฝ่าบาทลูบหัวองค์หญิงเฟยเจินอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบอกข้ารับใช้ให้พาตัวองค์หญิงกลับตำหนัก หลังจากที่องค์หญิงเฟยเจินเดินออกไปแล้ว ฉันก็มองสำรวจเขาว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ "ฝ่าบาท..." ฉันเรียกเขาแล้วกอดเขาไว้ ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง"หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะ...ฮือๆ" "เจ้าห่วงใยเราขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หืม?"เขาถามเสียงเรียบแต่มีแววหยอกล้อในน้ำเสียง "ฮือๆ..." ฉันทุบอกอกเขาแล้วมองเขาด้วยความโกรธแล้วพูดต่อว่า "เมื่อครู่หม
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่สระบัวด้านหลังวัง และกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ "เจ้ามาแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดีใจ เขาก็คือองค์ชายเฟยฉีนั่นเอง "ข้าจะลงมือคืนนี้" ฉันยิ้มร้ายๆและมองสบตากับองค์ชายเฟยฉี "ดีมาก...ถ้าหากสำเร็จ...เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาของข้า" เขาแสยะยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกลับบิดเบี้ยว รอยยิ้มของเขามันดูโรคจิตราวกับฆาตรในภาพยนตร์ที่เคยดู เล่นซะฉันขนลุกเกรียว "อย่าลืมที่สัญญาล่ะ" ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วรีบเดินจากมา วันนี้เป็นงานวันเกิดขององค์ชายเฟยฉี จึงมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองภายในวัง ฉันเห็นพวกนางกำนัลวิ่งวุ่นกันแต่เช้า มองดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตาม ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆจนมาถึงห้องทรงงานของฝ่าบาทก็พบว่าฝ่าบาทไม่อยู่ "ฝ่าบาทอยู่ที่ใดหรือ" ฉันถามคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก"เสด็จไปที่สวนพะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันจึงออกจากห้องทรงงานแล้วเดินไปที่สวน เห็นฝ่าบาทกำลังนั่งจิบชาในศาลาเก๋งจีนพลางชมดอกไม้ และมีบรรดาพระสนมนั่งและข้ารับใช้นั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้านข้าง "ฝ่าบาทเพคะ ชาที่หม่อมฉันชงรสชาติดีหรือไม่เพคะ" เสียงออดอ้อนที่ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของพระสนมฉางดังขึ้