Masukร่างอรชรเกือบจะกรี๊ด แต่ก็ทำเพียงแค่เม้มปากเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บใจ ถึงเบอร์นั้นจะไม่ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์ใคร เพราะเธอไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่อง ทว่าข้อความแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อเลี้ยงศาสตรา คนที่เพิ่ง...
ภัคธีมาหน้าร้อนด้วยความเกลียด พยายามตั้งสติไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอจะลืม ลืมว่าเขาทำอะไรเลวๆ กับเธอไว้บ้าง เขาคงส่งข้อความมาเย้ย ถ้านึกว่าเธอจะเงียบละก็... ขอบอกว่าศาสตราคิดผิด คนอย่างเขาต้องได้รับการตอบโต้แบบเจ็บแสบถึงจะสาสม ไม่อย่างนั้นคงเที่ยวข่มเหงรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอยู่ร่ำไป
‘ขิมเสียใจมากที่คุณไม่รถคว่ำตายระหว่างทาง’
เธอส่งข้อความกลับไปหาเขาทันที
‘ถ้าผมตาย ใครจะมามอบจุมพิตอันแสนดูดดื่มให้คุณล่ะ’
เขาส่งกลับมาในอีกไม่ถึงนาที ข้อความนั้นทำให้ภัคธีมาโกรธจนแทบจะปาโทรศัพท์ในมือทิ้งด้วยความเจ็บใจ
‘ต่อให้ทั้งโลกเหลือคุณเป็นผู้ชายคนเดียว ขิมก็จะไม่ชายตาแล ไปตายซะ!’
เธอกดส่งข้อความกลับไป ก่อนจะปิดเครื่องโทรศัพท์แล้วข่มตาให้หลับลง เพราะคิดว่าป่วยการที่จะตอแยกับคนพรรค์นั้นอีก
เอ๊กอิเอ๊ก...เอ๊ก...
เสียงเจื้อยแจ้วของไก่ป่าขับขานกังวานทั่วไพรพนา ส่งผ่านท้องทุ่งและธารธารา ดังแว่วมาจนถึงไร่หทัยรัตน์ แสงอรุโณทัยในยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง ปลุกให้ร่างที่กำลังหลับภายใต้ผ้าห่มอุ่นต้องกะพริบแพขนตางอนยาว ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น โดยที่นาฬิกาปลุกไม่ต้องทำงานแต่อย่างใด
ภัคธีมาลุกจากเตียง เดินไปรวบผ้าม่านสีฟ้าอ่อนผูกไว้กับวงกบ แล้วผลักหน้าต่างบานใหญ่ออกไป เปิดให้ความเย็นฉ่ำในยามเช้าโชยชายเข้ามาในห้อง ก่อนจะชะโงกหน้าไปนอกหน้าต่างเพื่อให้สายลมแผ่วๆ พัดปะทะใบหน้าและสูดเอาความสดชื่นของอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดจนหายงัวเงีย
ตาคู่สวยเหลือบมองลงไปข้างล่าง เห็นน้ากำลังเดินออกไปส่งพ่อขึ้นรถจี๊ปเพื่อออกไปไร่ ภาพนั้นทำให้เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ พลางหวนคิดไปถึงครั้งที่หทัยรัตน์แม่ของเธอล้มป่วย ตอนนั้นเธออายุเพียงห้าขวบเท่านั้น มธุรสซึ่งเป็นพยาบาลมาคอยดูแลพี่สาวอย่างดีจนกระทั่งหทัยรัตน์เสียชีวิต มธุรสก็ต้องลาออกจากพยาบาลเพื่อมาทำหน้าที่เลี้ยงดูหลานสาวคนเดียว นับว่าน้าของเธอเสียสละความสุขส่วนตัวอย่างมาก ซึ่งถ้าหากว่าตอนนี้ผู้เป็นพ่อกับน้าจะลงเอยกันจริงๆ เธอก็จะสนับสนุนเต็มที่
ภัคธีมารู้ดีว่าความใกล้ชิดคงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้สึกดีและแอบมีใจให้กัน เพียงแต่ต่างคนต่างไม่กล้าแสดงออกอะไรมาก คงเพราะกลัวเธอจะคิดมากและกลัวคนจะครหา ต่างฝ่ายจึงได้แต่เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เธอคิดเอาไว้แล้วว่ามันคงถึงเวลาที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะมีความสุขแบบไม่ต้องเกรงใจใครเสียที
ตาคู่สวยยังคงมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด จนรถจี๊ปคู่ใจของพ่อแล่นเข้าสู่ถนนที่เป็นทางเข้าไร่ ส่วนน้าของเธอก็เดินกลับเข้าบ้าน ร่างบางยืนสูดอากาศเย็นสดชื่นอยู่ตรงนั้นต่ออีกครู่หนึ่งแล้วเดินกลับไปที่เตียง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดเครื่อง เมื่อเครื่องพร้อมทำงานข้อความก็วิ่งเข้าทันที
‘อรุณสวัสดิ์ ผมรู้ว่าคุณฝันถึงผม’
ดวงตาคู่สวยมองโทรศัพท์ด้วยความเคืองขุ่น รีบวางมันลงที่เดิมก่อนจะรีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปรับประทานอาหารเช้ากับน้าของตน
ภัคธีมาเดินลงมาถึงชั้นล่าง โต๊ะอาหารถูกตั้งไว้รอแล้ว มธุรสหันมายิ้มให้พลางส่งเสียงเรียกอย่างอบอุ่นอ่อนโยนเช่นเคย
“มาแล้วเหรอขิม มาเร็วมาทานข้าวต้มทะเลของโปรดของขิม น้าทำให้โดยเฉพาะ”
ภัคธีมาก้มลงมองข้าวต้มในชาม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คนเป็นน้า สอดมือเข้าที่เอวของมธุรส แล้วซบหน้าลงบนไหล่บาง ซึ่งกิริยาเช่นนั้นทำให้มธุรสต้องคลี่ยิ้ม ตาหลุบมองผมดำขลับ แล้วถามขึ้นอย่างรู้ทัน เพราะเวลาที่ภัคธีมาทำเช่นนี้ทีไร หลานสาวของตนต้องมีสิ่งที่อยากได้แน่นอน
“น้ารสขา ขอขิมกอดหน่อยสิคะ”
“หืม...อ้อนแบบนี้อยากได้อะไรอีกล่ะ”
“อยากให้น้ารสมาเป็นแม่ค่ะ”
จบคำของหลานสาว มธุรสก็หน้าแดงปลั่งอย่างอดเขินไม่ได้
“เอาอะไรมาพูดยัยขิม เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าก็เอาไปนินทาหรอก” มธุรสทำเสียงดุๆ กลบเกลื่อนความกระดากอายของตัวเอง ไม่คิดว่าจู่ๆ ภัคธีมาจะพูดเรื่องนี้
“ขิมพูดจริงๆ นะคะ ขิมรู้ว่าพ่อก็ชอบน้ารส แต่กลัวขิมจะไม่ไฟเขียวใช่ไหมล่ะคะ”
“ทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวข้าวต้มก็เย็นก่อนหรอก” ผู้เป็นน้าตัดบทแต่หน้ายังแดงซ่านทำให้ภัคธีมายิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ข้าวต้มเย็นก็อุ่นใหม่ แต่เรื่องน้ารสกับพ่อ ขิมจริงจังนะคะ”
“น้ากับพ่อเราน่ะแก่แล้วนะ อยู่รอเลี้ยงหลานช่วยกันดีกว่า”
“ใครว่าแก่คะ น้ารสยังสาวยังสวย ส่วนพ่อก็ยังหล่ออยู่เลย น้ารสกับพ่อแต่งงานกันก่อนแล้วก็ช่วยกันเลี้ยงหลานไงคะ นะคะน้ารสขิมอยากได้แม่” ภัคธีมาอ้อนอีก คราวนี้ไม่ได้อ้อนแค่ปาก แต่ยังเงยหน้าขึ้นมองน้าสาวอย่างอ้อนๆ ด้วย
“เพราะจัง ร้องเพลงกล่อมลูกและร้องให้ผัวด้วยใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากเสียงเพลงสุดไพเราะนั้นเงียบลง แม้เนื้อร้องจะเป็นภาษาอีสานแต่เขาก็ฟังออก“ขี้ตู่ค่ะ ขิมร้องกล่อมลูกต่างหาก”“ผมชอบนะ ชอบความหมายของมัน เพลงนี้ได้มาจากไหนเหรอ ทำไมผมไม่เคยได้ยิน”“เพลงนี้เป็นเพลงที่ดังมากนะคะ คนงานในไร่ก็ฟังประจำ แต่คุณอาจไม่เคยได้ยิน วันก่อนขิมเห็นคลิปในยูทูป มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องเพลงนี้กล่อมลูกน่ะค่ะ เนื้อร้องสวยงามและมีความหมายดีมาก ขิมก็เลยเอามาร้องกล่อมตาวินบ้าง”“ตาวินคงชอบ ดูสิหลับปุ๋ยเลย” ศาสตราว่าพลางโน้มหน้าลงใกล้ๆ ลูกและใช้นิ้วเขี่ยแก้มแดงนั้นด้วยสัมผัสอันสุดอ่อนโยนทะนุถนอม หน้าของลูกเขาละม้ายคล้ายเขากับภัคธีมามาก แต่ที่คล้ายที่สุดก็คือคล้ายคนเป็นอาผู้ล่วงลับ ทำให้คนในครอบครัวของเขายิ่งเชื่อว่า ธาวินมาเกิดใหม่เป็นลูกของเขาจริงๆ“คุณกินอะไรมาหรือยังคะ หิวไหมขิมจะได้หาอะไรให้กิน”“ยังไม่ได้กินอะไร หิว...อยากกินขิม” ตาเข้มพราวระยับขณะเงยหน้าขึ้นมองเรียวปากนุ่มสีชมพูระเรื่ออย่างมีความหมาย“กินตะกละแบบนี้ เดี๋ยวก็มีลูกหัวปีท้ายปีหรอกค่ะ” เสียงหวานว่าอุบอิบเพราะสามีเรียกร้องบ่อยเหลือเกิน แต่เธ
“โกรธผมเหรอ ไม่ดีใจเหรอที่เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน ทำไมไม่ยิ้มเลย” “ดีใจค่ะ แค่เจ็บใจที่เสียรู้คนเจ้าเล่ห์” “บอกแล้วไงว่าที่ทำไปทุกอย่างก็เพราะรักและอยากให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยาตลอดไป” “แล้วหลังจากนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรกับขิมอีกหรือเปล่าคะ” “อาจจะ แต่จะเอาไว้ใช้เฉพาะเวลาที่คุณงอนหรือโกรธผมมากๆ แล้วผมง้อไม่สำเร็จ” “คุณนี่นะ...” ภัคธีมามองค้อนแต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง หลังจากผ่านความสงสัยมาได้ ตอนนี้ความรู้สึกตื้นตันของการได้เป็นแม่มันกำลังเอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจ ลูกของเธอน่าจะเกิดไล่ๆ กับลูกของจันทริกา และลูกๆ ก็น่าจะเป็นเพื่อนกันเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่อีกเจ็ดเดือนต่อมา...เด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ ปากเล็กๆ ของทายาทหมื่นล้านกำลังดูดนมอุ่นๆ จากอกมารดาจนอิ่ม ก่อนจะหลับปุ๋ยอย่างมีความสุข โดยมีพ่อกับย่านั่งมองภาพนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน เด็กน้อยมีชื่อจริงว่า ‘มาวิน’ และชื่อเล่นว่า ‘วิน’ โดยแม่เลี้ยงแสงหล้าเป็นคนตั้งให้ เพราะภัคธีมาเคยเล่าให้ฟังว่าเธอฝันถึงธาวินก่อนจะทราบว่าตัวเองตั้งท้องในเช้าต่อมา ศาสตราและภัคธีมาเ
ร่างสูงลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างดีใจจนออกนอกหน้า เมื่อหมอเจ้าของไข้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเข้ามาบอกว่า อาการของเขาไม่มีอะไรน่าวิตก และอนุญาตให้กลับบ้านได้ ตาคมจ้องใบหน้าหวานๆ ของคนที่กำลังช่วยติดกระดุมเสื้อให้อย่างรักใคร่สุดหัวใจ พลางคิดว่าวันนี้ตัวเองจะเกงานแล้วนอนกอดเมียอยู่ที่บ้านทั้งวัน ซึ่งหวังว่าภัคธีมาจะยอมตามใจเขา“มองอะไรคะ” เสียงหวานเอ่ยถามเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าสามีจ้องมองอย่างไม่วางตา“มองเมียน่ะสิ อิจฉาตัวเองสุดๆ เพราะตอนนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าผม”“มีสิคะ ก็ขิมไง”“งั้นขอดูหน้าคนมีความสุขชัดๆ หน่อยซิ”มือใหญ่เอื้อมไปเชยคางมนขึ้น สบประสานสายตากันอย่างหวานซึ้ง ก่อนที่เรียวปากหยักจะค่อยๆ โน้มต่ำลงมาเพื่อหวังจะประกบจูบปากนุ่มๆ ให้สมรัก ทว่าภัคธีมากลับเบี่ยงหน้าหลบ ปากและจมูกโด่งจึงพลาดไปโดนแก้มแทน“ไม่เอาค่ะ...เดี๋ยวมีคนเข้ามาเห็น”“เมียใครนะหวงตัวจริง คอยดูนะถึงบ้านเมื่อไหร่จะจับฟัดให้สมกับที่ปล่อยให้อด”“แน่ใจนะคะว่าแข็งแรงดีแล้ว”“เอาไว้พิสูจน์กันตอนกลับถึงบ้านนะที่รัก แล้วคุณจะรู้ว่าผมทั้ง ‘แข็ง’ ทั้ง ‘แรง’ ดีมากเชียวละ” เขากระซิบหยอกเย้าและเคลียจมูกไปตามแก้มใส“เมื่อคื
“จำได้สิคะ จำมาตลอดเพราะเหตุการณ์วันนั้นมันคือจุดเริ่มต้นของความรักที่ขิมมีให้พี่วิน”“แล้วถ้าคนที่ปลอบคุณวันนั้นเป็นผมล่ะ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่คุณมีต่อผมหรือเปล่า”“หมายความว่ายังไงเหรอคะ”“ทั้งวันนั้นและวันที่รุ้งรวียิงคุณ ผมกับไอ้วินล้วนแต่ใจตรงกัน คืออยากเข้าไปปลอบและปกป้องคุณ แต่ไอ้วินมันไวกว่าผม ผมจึงได้แต่เฝ้ามองอยู่เงียบๆ”“ขิมนึกว่าคุณรังเกียจขิมที่ขิมเป็นเพียงลูกสาวของลูกจ้างเสียอีก”“เปล่าเลย ไม่เคยเกลียดหรือรังเกียจ เพียงแต่รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์รัก จึงต้องทำตัวให้คุณเกลียด แต่ถึงขนาดนั้นผมก็ไม่เคยรักใครได้เลย ได้แต่แอบรักแฟนน้องและเฝ้ามองอย่างคนไม่มีสิทธิ์ คุณพูดถูกว่าผมเลว ตอนที่ไอ้วินมันนอกใจคุณ ผมก็เลือกที่จะเฉย ไม่เอ่ยเตือนสติน้อง ทั้งที่ผมรู้ดีว่าคุณต้องเสียใจมาก แต่ให้ตายเถอะขิม ผมแม่งดีใจแทบบ้า เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองคุณ แม้ไม่รู้ว่าจะเอาชนะใจคุณได้หรือเปล่าก็ตาม ขอโทษที่เห็นแก่ตัวจนทำลายความฝันของคุณ แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะรักและอยากดูแล รวมทั้งอยากเก็บคุณไว้ชื่นชมคนเดียวด้วย”“แล้วทำไมไม่บอกขิมดีๆ แต่แรกล่ะคะ”“ก็พยายามจะบอกหลายครั้ง แต่คุ
“ถ้าผมต่อยปากหมอปากหมาจะเสียค่าปรับเท่าไหร่ครับ” ศาสตราตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพทว่าข่มขู่และเอาเรื่องเต็มที่ จนปราณต์ต้องยักไหล่และหัวเราะเบาๆ“ผมพูดความจริงครับพ่อเลี้ยง อย่าเพิ่งมีอาการหมัดหรือตีนลั่นแทรกซ้อน ไม่งั้นผมอาจจะส่งเข้าไปตรวจสุขภาพจิตด้วย”“แกรู้ป่ะปราณต์ว่าแกควรไปเป็นหมอเกาหลีและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘จอมวอนตีน’”“เป็นชื่อที่เพราะดี ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับพ่อเลี้ยงศาสตรา แต่คนที่คู่ควรกับชื่อนี้คือแกมากกว่าว่ะ” หมอกับคนไข้สัพยอกกันไปมาราวกับเรื่องเจ็บไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วในตอนนี้ ทว่าภัคธีมายังรู้สึกเป็นกังวล“เอ่อ...หมอปราณต์คะ ถ้าขิมจะขอให้พ่อเลี้ยงแอดมิทสักคืนจะได้ไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยแทรกขัดการหยอกเย้าระหว่างเพื่อนสนิทสองคน“ถ้าคุณขิมไม่สบายใจ อยากจะให้ไอ้กริชมันแอดมิทเพื่อดูอาการสักคืนก็ได้นะครับ” ปราณต์หันไปตอบภรรยาของเพื่อน แต่น้ำเสียงเวลาที่พูดฟังดูเป็นการเป็นงานและสุภาพราวกับเป็นคนละคนกับที่พูดกับศาสตรา“ถ้าอย่างนั้นขิมขอแอดมิทนะคะ”“ได้ครับ”“ไม่นะขิม ผมไม่อยากนอนโรงพยาบาล” ศาสตรารีบขัดเมื่อภรรยากับเพื่อนของเขาที่เป็นหมอตกลงกันเสร็จสรรพแบบไม่ถามเขาเลย“นอนเถอะนะค
ศาสตราจูงมือเล็กไปนั่งที่เนินหญ้าเตี้ยๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร โดยมีร่างใหญ่นั่งลงแนบข้าง และอ้อมแขนของเขาก็ตวัดกอดร่างบางไปแนบชิด“แน่ใจเหรอคะว่าจะไม่มีใคร”“แน่ใจสิ”“ขิมหิวข้าวนะคะ”“แต่ผมหิวคุณ ตามใจผมนะที่รัก เสร็จแล้วเดี๋ยวจะพากลับไปกินข้าว” เสียงทุ้มกระซิบเว้าวอน ก่อนจะทาบริมฝีปากลงประกบปากสีหวานแล้วบดจูบอย่างเร่าร้อนหิวกระหาย ราวกับไม่ได้จูบเธอมาเป็นแรมเดือน ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาจูบเธอแทบจะทั้งคืน แต่กระนั้นภัคธีมาก็ต้านทานความปรารถนาของเขาและของตัวเองไม่ได้ สุดท้ายน้ำพริกหนุ่มของจันทริกาจึงถูกวางไว้ที่หลังรถตลอดบ่าย เพราะเจ้าของไร่กับภรรยาสาวอิ่มเอมด้วยรสเสน่หาจนไม่มีใครหิวข้าวเมื่อคืนนี้งานแต่งงานของจันทริกากับรังสิมันต์ผ่านไปอย่างอบอุ่นและหวานชื่น ภัคธีมารู้สึกดีใจกับน้องสาวผู้น่ารักอย่างจันทริกามาก ที่นับแต่จากนี้ไปจะมีดวงตะวันอันแสนอบอุ่นคอยปกป้องดูแล เพราะจันทริกาเป็นน้องสาวที่มีชะตากรรมชีวิตน่าสงสารมาก ในงานเธอยังได้มีโอกาสเจอกับธรินดาน้องสาวที่สนิทกันมากอีกคนในตอนเรียนมัธยม นอกจากนั้นยังได้พบกับนัสรินภรรยาของหมอปราณต์ที่เคยมาบ้านเดชาธรแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นยังไม่มีโอ







