เข้าสู่ระบบ“ยัยขิม...”
“เดี๋ยวเย็นนี้ขิมจะพูดกับพ่อเองค่ะ ถ้าให้น้ารสกับพ่อคุยกันเองสงสัยขิมรอเก้อแน่ๆ”
“เด็กคนนี้นี่”
มธุรสแสร้งเอ็ดกลบเกลื่อนแล้วส่ายหน้าไปมา แต่ก็อดยิ้มกับความน่ารักของหลานไม่ได้ ภัคธีมาคิดไม่ผิดหรอก เธอกับอยุทธแอบมีใจให้กันอยู่จริงๆ เพียงแต่ต่างคนก็ต่างเก็บความรู้สึกเอาไว้ ด้วยกลัวว่าภัคธีมาจะรับไม่ได้ เธอเองก็กระดากเหมือนกันที่หลานสาวจับได้ไล่ทัน ทั้งๆ ที่พยายามวางตัวไม่ให้เกินงามกับอยุทธมาตลอดแล้วเชียว แต่เย็นนี้ภัคธีมาจะมีเวลาได้พูดกับพ่อหรือเปล่า ในเมื่ออยุทธมีงานสำคัญที่ต้องไป ที่สำคัญดูจากท่าทางอันร่าเริงของหลานสาวแล้ว คิดว่าเมื่อคืนธาวินคงยังไม่ได้บอกอะไร!
อยุทธกลับมาจากไร่ในตอนเย็น ภัคธีมาไม่ได้เจอพ่อ เพราะตอนนั้นเข้าครัวช่วยน้าสาวทำอาหารพอดี พอเธอออกมาจากครัวก็เห็นว่าพ่อแต่งตัวหล่อเหลา คล้ายกับจะไปร่วมงานเลี้ยง ภัคธีมาจึงคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปเกาะแขนพ่อ พร้อมกับเอ่ยชมในความภูมิฐานและหล่อเหลาสมวัยของบิดา
“พ่อใครน้อหล่อจัง ว่าไหมคะน้ารส” ภัคธีมาพยักพเยิดกับน้าสาวที่เดินตามออกมาจากครัวพอดี มธุรสไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มบางๆ
“มาประจบแบบนี้อยากได้อะไรล่ะหืม”
“ฮื้อ...ใครว่าประจบ พ่อหล่อก็ชม”
“ไม่จริงมั้ง” อยุทธมองลูกสาวเหมือนรู้ทัน
“พ่ออะ เกลียดจังเลยคนรู้ทัน”
“แสดงว่าพ่อพูดถูก อยากได้อะไรล่ะ”
“อยากได้แม่ค่ะ” บอกพ่อเสร็จก็หันไปทางน้าสาว ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเกิดอาการเก้อกระดากไปชั่วขณะ
“ยัยขิม!” มธุรสเอ่ยปรามหลานสาวอย่างเขินๆ
“ก็เป็นซะอย่างนี้ มัวแต่เขินกันไปเขินกันมา นะคะพ่อขา ขิมอยากได้น้ารสเป็นแม่ค่ะ” คราวนี้ภัคธีมาเข้าเรื่องตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมทันที
“ที่พูดแบบนี้นี่ คือไฟเขียวแล้วเหรอ”
“เขียวตั้งนานแล้วค่ะ แต่พ่อไม่ยอมใช้สิทธิ์เองต่างหาก ปล่อยให้น้ารสรออยู่ได้”
อยุทธหันไปมองมธุรส สบตากันอย่างเขินๆ อยู่ครู่หนึ่ง จึงละสายตามายังลูกสาวตัวเอง
“งั้นเดี๋ยวพ่อจะใช้สิทธิ์ให้เต็มที่ รับรองว่าไม่เกินหนึ่งเดือนขิมจะได้แม่ใหม่ตามที่ขอ”
“พี่ยุทธก็ ไปบ้าจี้ตามยัยขิมได้ยังไงกันคะ” มธุรสค้อนพี่เขยอย่างอายๆ จนภัคธีมากลั้นยิ้ม
“พี่ไม่ได้บ้าจี้ พี่เองก็คิดเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะมาคุยกับรสเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียทีนะ แต่วันนี้ต้องไปงานก่อน”
พอบอกว่าจะไปงาน รอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่บนใบหน้าของอยุทธและมธุรสก็เลือนหายไปในทันที แต่มีร่องรอยของความกังวลบางอย่างเข้ามาแทน โดยที่ภัคธีมาไม่ทันสังเกต
“งานที่ไหนคะพ่อ”
“ที่ไร่เดชาธรน่ะลูก”
“งานอะไรคะ ทำไมพี่วินไม่เห็นบอกอะไรขิมเลย” คิ้วเรียวของภัคธีมามุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย เพราะเมื่อคืนนี้ธาวินไม่ได้เล่าอะไรหรือบอกว่าไร่เดชาธรจะมีงาน
“งาน...”
พูดยังไม่ทันจบอยุทธก็ทำหน้าเหยเกพร้อมกับยกมือขึ้นกุมหน้าอก ทำให้ทั้งภัคธีมาและมธุรสต่างอุทานขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ
“พ่อ! / พี่ยุทธ!”
ภัคธีมาได้สติก่อนรีบประคองพ่อไปนั่งบนโซฟาใกล้ๆ โดยมีมธุรสตามมาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แล้วบีบนวดให้พลางถามอาการ
“เป็นยังไงบ้างคะพี่ยุทธ”
“ไม่เป็นไรมากหรอก ไม่ต้องตกใจ” อยุทธพยายามจะฝืนตัวเองเพื่อให้ลูกและน้องเมียสบายใจ
“รสบอกแล้วว่าให้ไปตรวจ ก็ไม่ยอมไปเสียที” มธุรสอดที่จะบ่นด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ทำให้ภัคธีมาเริ่มเป็นกังวล เพราะนั่นหมายความว่าพ่อของเธอไม่ได้เพิ่งมีอาการเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“พ่อเป็นแบบนี้บ่อยเหรอคะน้ารส”
“ก็สองสามครั้งแล้ว”
“พ่อไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกยัยขิม พักแป๊บเดียวก็หาย”
“ไม่ได้แล้วค่ะ พ่อห้ามชะล่าใจเด็ดขาด ต้องไปตรวจร่างกายกับหมอให้ละเอียด แล้วคืนนี้ก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ภัคธีมายื่นคำขาดกับบิดา
“แต่พ่อต้องไปงาน”
“งานที่ไร่เดชาธรเหรอคะ ขิมจะไปแทนพ่อเองค่ะ พ่อพักผ่อนเถอะ ฝากน้ารสดูแลพ่อด้วยนะคะ”
“ขิมน้าว่า...” มธุรสทำท่าเหมือนจะเอ่ยห้าม และมีท่าทางว่าไม่อยากให้หลานสาวไปงาน
“หรือว่าน้ารสจะไปแทนแล้วให้ขิมอยู่ดูแลพ่อคะ ขิมได้หมดนะยังไงก็ได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ น้าแค่คิดว่าเราไม่จำเป็นต้องไปงานนี้ก็ได้”
“ถ้าไม่ไปมันจะเป็นการเสียมารยาทนะคะ ไร่เราอยู่ใกล้กันแค่นี้ก็เหมือนบ้านใกล้เรือนเคียง อีกอย่างขิมกับพี่วินก็เป็นแฟนกัน ครอบครัวเรายิ่งควรต้องมีใครไปร่วมงานสักคนค่ะ” ภัคธีมาให้เหตุผลและความจำเป็นที่ควรต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่ไร่เดชาธร ซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นน้าต้องหันไปหาพ่อของเธอ
“เอาไงดีคะพี่ยุทธ”
“ให้ขิมไปเถอะ”
“แต่ว่า...”
อยุทธยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกไม่ให้พูดอะไร เมื่อมธุรสทำท่าว่าจะแย้งอีก
“ไปเถอะขิม ทางนี้ให้น้ารสดูแลพ่อก็ได้”
“งั้นขิมไปแต่งตัวก่อนนะคะ ฝากพ่อด้วยนะคะน้ารส”
บอกพ่อกับน้าเสร็จภัคธีมาก็ขึ้นห้อง แต่งตัวด้วยชุดเดรสสั้นสีเหลืองมะนาว ปล่อยผมยาวสลวยให้เต็มกลางหลังโดยติดกิ๊บไข่มุกสองอันบริเวณข้างขมับ เพื่อไม่ให้เส้นผมหลุดลุ่ยลงมาให้รำคาญ เครื่องประดับมีเพียงต่างหูและสร้อยทองคำขาวจี้รูปหยดน้ำเส้นเล็กๆ เท่านั้น แต่ทั้งหมดก็ทำให้เธอดูสวยสดใสเปล่งปลั่งไปทั้งตัว
ร่างบางในชุดเดรสสีหวานเดินตรงไปยังโรงรถ เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงที่ไร่เดชาธรแทนผู้เป็นพ่อ โดยไม่รู้ว่าพ่อกับน้ามองตามด้วยความเป็นห่วงมากแค่ไหน
“เพราะจัง ร้องเพลงกล่อมลูกและร้องให้ผัวด้วยใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากเสียงเพลงสุดไพเราะนั้นเงียบลง แม้เนื้อร้องจะเป็นภาษาอีสานแต่เขาก็ฟังออก“ขี้ตู่ค่ะ ขิมร้องกล่อมลูกต่างหาก”“ผมชอบนะ ชอบความหมายของมัน เพลงนี้ได้มาจากไหนเหรอ ทำไมผมไม่เคยได้ยิน”“เพลงนี้เป็นเพลงที่ดังมากนะคะ คนงานในไร่ก็ฟังประจำ แต่คุณอาจไม่เคยได้ยิน วันก่อนขิมเห็นคลิปในยูทูป มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องเพลงนี้กล่อมลูกน่ะค่ะ เนื้อร้องสวยงามและมีความหมายดีมาก ขิมก็เลยเอามาร้องกล่อมตาวินบ้าง”“ตาวินคงชอบ ดูสิหลับปุ๋ยเลย” ศาสตราว่าพลางโน้มหน้าลงใกล้ๆ ลูกและใช้นิ้วเขี่ยแก้มแดงนั้นด้วยสัมผัสอันสุดอ่อนโยนทะนุถนอม หน้าของลูกเขาละม้ายคล้ายเขากับภัคธีมามาก แต่ที่คล้ายที่สุดก็คือคล้ายคนเป็นอาผู้ล่วงลับ ทำให้คนในครอบครัวของเขายิ่งเชื่อว่า ธาวินมาเกิดใหม่เป็นลูกของเขาจริงๆ“คุณกินอะไรมาหรือยังคะ หิวไหมขิมจะได้หาอะไรให้กิน”“ยังไม่ได้กินอะไร หิว...อยากกินขิม” ตาเข้มพราวระยับขณะเงยหน้าขึ้นมองเรียวปากนุ่มสีชมพูระเรื่ออย่างมีความหมาย“กินตะกละแบบนี้ เดี๋ยวก็มีลูกหัวปีท้ายปีหรอกค่ะ” เสียงหวานว่าอุบอิบเพราะสามีเรียกร้องบ่อยเหลือเกิน แต่เธ
“โกรธผมเหรอ ไม่ดีใจเหรอที่เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน ทำไมไม่ยิ้มเลย” “ดีใจค่ะ แค่เจ็บใจที่เสียรู้คนเจ้าเล่ห์” “บอกแล้วไงว่าที่ทำไปทุกอย่างก็เพราะรักและอยากให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยาตลอดไป” “แล้วหลังจากนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรกับขิมอีกหรือเปล่าคะ” “อาจจะ แต่จะเอาไว้ใช้เฉพาะเวลาที่คุณงอนหรือโกรธผมมากๆ แล้วผมง้อไม่สำเร็จ” “คุณนี่นะ...” ภัคธีมามองค้อนแต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง หลังจากผ่านความสงสัยมาได้ ตอนนี้ความรู้สึกตื้นตันของการได้เป็นแม่มันกำลังเอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจ ลูกของเธอน่าจะเกิดไล่ๆ กับลูกของจันทริกา และลูกๆ ก็น่าจะเป็นเพื่อนกันเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่อีกเจ็ดเดือนต่อมา...เด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ ปากเล็กๆ ของทายาทหมื่นล้านกำลังดูดนมอุ่นๆ จากอกมารดาจนอิ่ม ก่อนจะหลับปุ๋ยอย่างมีความสุข โดยมีพ่อกับย่านั่งมองภาพนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน เด็กน้อยมีชื่อจริงว่า ‘มาวิน’ และชื่อเล่นว่า ‘วิน’ โดยแม่เลี้ยงแสงหล้าเป็นคนตั้งให้ เพราะภัคธีมาเคยเล่าให้ฟังว่าเธอฝันถึงธาวินก่อนจะทราบว่าตัวเองตั้งท้องในเช้าต่อมา ศาสตราและภัคธีมาเ
ร่างสูงลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างดีใจจนออกนอกหน้า เมื่อหมอเจ้าของไข้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเข้ามาบอกว่า อาการของเขาไม่มีอะไรน่าวิตก และอนุญาตให้กลับบ้านได้ ตาคมจ้องใบหน้าหวานๆ ของคนที่กำลังช่วยติดกระดุมเสื้อให้อย่างรักใคร่สุดหัวใจ พลางคิดว่าวันนี้ตัวเองจะเกงานแล้วนอนกอดเมียอยู่ที่บ้านทั้งวัน ซึ่งหวังว่าภัคธีมาจะยอมตามใจเขา“มองอะไรคะ” เสียงหวานเอ่ยถามเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าสามีจ้องมองอย่างไม่วางตา“มองเมียน่ะสิ อิจฉาตัวเองสุดๆ เพราะตอนนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าผม”“มีสิคะ ก็ขิมไง”“งั้นขอดูหน้าคนมีความสุขชัดๆ หน่อยซิ”มือใหญ่เอื้อมไปเชยคางมนขึ้น สบประสานสายตากันอย่างหวานซึ้ง ก่อนที่เรียวปากหยักจะค่อยๆ โน้มต่ำลงมาเพื่อหวังจะประกบจูบปากนุ่มๆ ให้สมรัก ทว่าภัคธีมากลับเบี่ยงหน้าหลบ ปากและจมูกโด่งจึงพลาดไปโดนแก้มแทน“ไม่เอาค่ะ...เดี๋ยวมีคนเข้ามาเห็น”“เมียใครนะหวงตัวจริง คอยดูนะถึงบ้านเมื่อไหร่จะจับฟัดให้สมกับที่ปล่อยให้อด”“แน่ใจนะคะว่าแข็งแรงดีแล้ว”“เอาไว้พิสูจน์กันตอนกลับถึงบ้านนะที่รัก แล้วคุณจะรู้ว่าผมทั้ง ‘แข็ง’ ทั้ง ‘แรง’ ดีมากเชียวละ” เขากระซิบหยอกเย้าและเคลียจมูกไปตามแก้มใส“เมื่อคื
“จำได้สิคะ จำมาตลอดเพราะเหตุการณ์วันนั้นมันคือจุดเริ่มต้นของความรักที่ขิมมีให้พี่วิน”“แล้วถ้าคนที่ปลอบคุณวันนั้นเป็นผมล่ะ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่คุณมีต่อผมหรือเปล่า”“หมายความว่ายังไงเหรอคะ”“ทั้งวันนั้นและวันที่รุ้งรวียิงคุณ ผมกับไอ้วินล้วนแต่ใจตรงกัน คืออยากเข้าไปปลอบและปกป้องคุณ แต่ไอ้วินมันไวกว่าผม ผมจึงได้แต่เฝ้ามองอยู่เงียบๆ”“ขิมนึกว่าคุณรังเกียจขิมที่ขิมเป็นเพียงลูกสาวของลูกจ้างเสียอีก”“เปล่าเลย ไม่เคยเกลียดหรือรังเกียจ เพียงแต่รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์รัก จึงต้องทำตัวให้คุณเกลียด แต่ถึงขนาดนั้นผมก็ไม่เคยรักใครได้เลย ได้แต่แอบรักแฟนน้องและเฝ้ามองอย่างคนไม่มีสิทธิ์ คุณพูดถูกว่าผมเลว ตอนที่ไอ้วินมันนอกใจคุณ ผมก็เลือกที่จะเฉย ไม่เอ่ยเตือนสติน้อง ทั้งที่ผมรู้ดีว่าคุณต้องเสียใจมาก แต่ให้ตายเถอะขิม ผมแม่งดีใจแทบบ้า เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองคุณ แม้ไม่รู้ว่าจะเอาชนะใจคุณได้หรือเปล่าก็ตาม ขอโทษที่เห็นแก่ตัวจนทำลายความฝันของคุณ แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะรักและอยากดูแล รวมทั้งอยากเก็บคุณไว้ชื่นชมคนเดียวด้วย”“แล้วทำไมไม่บอกขิมดีๆ แต่แรกล่ะคะ”“ก็พยายามจะบอกหลายครั้ง แต่คุ
“ถ้าผมต่อยปากหมอปากหมาจะเสียค่าปรับเท่าไหร่ครับ” ศาสตราตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสุภาพทว่าข่มขู่และเอาเรื่องเต็มที่ จนปราณต์ต้องยักไหล่และหัวเราะเบาๆ“ผมพูดความจริงครับพ่อเลี้ยง อย่าเพิ่งมีอาการหมัดหรือตีนลั่นแทรกซ้อน ไม่งั้นผมอาจจะส่งเข้าไปตรวจสุขภาพจิตด้วย”“แกรู้ป่ะปราณต์ว่าแกควรไปเป็นหมอเกาหลีและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘จอมวอนตีน’”“เป็นชื่อที่เพราะดี ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับพ่อเลี้ยงศาสตรา แต่คนที่คู่ควรกับชื่อนี้คือแกมากกว่าว่ะ” หมอกับคนไข้สัพยอกกันไปมาราวกับเรื่องเจ็บไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วในตอนนี้ ทว่าภัคธีมายังรู้สึกเป็นกังวล“เอ่อ...หมอปราณต์คะ ถ้าขิมจะขอให้พ่อเลี้ยงแอดมิทสักคืนจะได้ไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยแทรกขัดการหยอกเย้าระหว่างเพื่อนสนิทสองคน“ถ้าคุณขิมไม่สบายใจ อยากจะให้ไอ้กริชมันแอดมิทเพื่อดูอาการสักคืนก็ได้นะครับ” ปราณต์หันไปตอบภรรยาของเพื่อน แต่น้ำเสียงเวลาที่พูดฟังดูเป็นการเป็นงานและสุภาพราวกับเป็นคนละคนกับที่พูดกับศาสตรา“ถ้าอย่างนั้นขิมขอแอดมิทนะคะ”“ได้ครับ”“ไม่นะขิม ผมไม่อยากนอนโรงพยาบาล” ศาสตรารีบขัดเมื่อภรรยากับเพื่อนของเขาที่เป็นหมอตกลงกันเสร็จสรรพแบบไม่ถามเขาเลย“นอนเถอะนะค
ศาสตราจูงมือเล็กไปนั่งที่เนินหญ้าเตี้ยๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร โดยมีร่างใหญ่นั่งลงแนบข้าง และอ้อมแขนของเขาก็ตวัดกอดร่างบางไปแนบชิด“แน่ใจเหรอคะว่าจะไม่มีใคร”“แน่ใจสิ”“ขิมหิวข้าวนะคะ”“แต่ผมหิวคุณ ตามใจผมนะที่รัก เสร็จแล้วเดี๋ยวจะพากลับไปกินข้าว” เสียงทุ้มกระซิบเว้าวอน ก่อนจะทาบริมฝีปากลงประกบปากสีหวานแล้วบดจูบอย่างเร่าร้อนหิวกระหาย ราวกับไม่ได้จูบเธอมาเป็นแรมเดือน ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาจูบเธอแทบจะทั้งคืน แต่กระนั้นภัคธีมาก็ต้านทานความปรารถนาของเขาและของตัวเองไม่ได้ สุดท้ายน้ำพริกหนุ่มของจันทริกาจึงถูกวางไว้ที่หลังรถตลอดบ่าย เพราะเจ้าของไร่กับภรรยาสาวอิ่มเอมด้วยรสเสน่หาจนไม่มีใครหิวข้าวเมื่อคืนนี้งานแต่งงานของจันทริกากับรังสิมันต์ผ่านไปอย่างอบอุ่นและหวานชื่น ภัคธีมารู้สึกดีใจกับน้องสาวผู้น่ารักอย่างจันทริกามาก ที่นับแต่จากนี้ไปจะมีดวงตะวันอันแสนอบอุ่นคอยปกป้องดูแล เพราะจันทริกาเป็นน้องสาวที่มีชะตากรรมชีวิตน่าสงสารมาก ในงานเธอยังได้มีโอกาสเจอกับธรินดาน้องสาวที่สนิทกันมากอีกคนในตอนเรียนมัธยม นอกจากนั้นยังได้พบกับนัสรินภรรยาของหมอปราณต์ที่เคยมาบ้านเดชาธรแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นยังไม่มีโอ







