ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดา
เมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ
“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”
พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง
“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า
“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลัง
อิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
เมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ
“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”
อารีย์หันไปถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงแฝงความห่วงใย “สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างอิง ลูกอยู่ที่นี่สบายใจดีไหม”
หญิงสาวอึกอัก ริมฝีปากขยับจะตอบ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ภีมวัชก็เอ่ยขึ้นแทนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ชัดเจน
“เราสนิทกันขึ้นมากครับคุณลุงคุณป้า ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย” คำตอบนั้นทำเอาอิงลดาถึงกับหันขวับไปมองเขา ตาโตนิดๆ อย่างงุนงง แต่ภีมวัชเพียงแค่หันมายิ้มให้ รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้ใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง และยังไม่หยุดแค่นั้น
“จริงๆ แล้วผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องรอสามเดือนหรอกครับ” เขาหันกลับไปพูดกับผู้ใหญ่ด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ผมกับอิงเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด ผมอยากจัดงานแต่งในเดือนหน้าเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอให้ยืดเยื้อไปกว่านี้” คำพูดนั้นทำเอาทั้งพิทักษ์และอารีย์หันมามองหน้ากันด้วยความพอใจ
เธอถึงกับยกมือขึ้นแตะอกเบาๆ อย่างโล่งใจ “โอ้ย ป้าล่ะดีใจจริงๆ หมอภีมนี่พูดให้ชื่นใจตลอด”
ในตอนนั้น อิงลดาหน้าแดงก่ำ เธอเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตาใครเลยในตอนนี้ แต่ภีมวัชเพียงแค่ยิ้มบางๆ มองเธอด้วยแววตาที่แฝงความหมายชัดเจน
ค่ำคืนนั้นในบ้านกุลธาราวงศ์ เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมพัดแผ่วเบานอกหน้าต่าง อิงลดาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ใส่เสื้อคลุมตัวบาง เดินไปเช็ดผมอยู่ข้างเตียงอย่างสบายใจ ก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น
เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเดินไปแง้มประตู เผยหน้าออกไปเล็กน้อย เห็นภีมวัชยืนพิงกรอบประตูอย่างสบายๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่บนใบหน้าเย็นชานั้น
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” อิงลดาถามเสียงเบา มือจับประตูแน่นไม่ยอมเปิดเต็มที่ กลัวเขาจะเข้ามาทำตัวรุ่มร่าวอย่างเช่นเมื่อคืนวานอีก
ภีมวัชมองเธออย่างขบขัน “ไม่คิดจะเปิกประตูให้ว่าที่สามีตัวเองเลยเหรอ”
“ยังไม่ใช่สามีซะหน่อย พรุ่งนี้แค่หมั้น” เธอกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ
เขาแค่หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “แต่หลังจากหมั้น เราก็จะเป็นคู่หมั้นกันอย่างเป็นทางการ และอีกไม่นาน...เราจะแต่งงานกันจริงๆ พี่ไม่อยากรอสามเดือนแล้ว เดือนหน้าก็แต่งเลยดีไหม”
หญิงสาวเบิกตากว้าง รีบถามกลับอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เดือนหน้า เร็วขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
เขาพยักหน้าช้าๆ ดวงตาคมสบกับดวงตาของเธออย่างตรงไปตรงมา
เธอกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะกลั้นใจถาม “แล้วถ้าอิงเปลี่ยนใจตอนนี้...ยังทันไหมคะ”
ภีมวัชยิ้มบางๆ แต่ดวงตากลับแน่วแน่ไม่ไหวเอน
“สายไปแล้วอิง” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบเบาๆ จนลมหายใจอุ่นๆ กระทบข้างแก้มของเธอ
“เธอเดินเข้ามาในชีวิตพี่แล้ว จะถอยกลับไปง่ายๆ อีกครั้งแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“อีกครั้งเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้างุนงง คำว่าอีกครั้งของเขาหมายถึงตอนไหนกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาเพิ่งเคยเจอกันหรือ
“อืม อีกครั้ง” เขายิ้มแต่ยังไม่เล่าอะไรในตอนนี้
อิงลดาเม้มปากแน่น ใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ในสายตาของเขาเธอเห็นทั้งความอบอุ่นและการผูกมัดที่หลีกหนีไม่พ้น
“หลับฝันดีนะ ว่าที่เจ้าสาวของพี่” เขาทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ก่อนจะผละออกไปอย่างใจเย็น ทิ้งให้หญิงสาวยืนพิงประตู ใจเต้นรัวอย่างหาคำอธิบายไม่ได้
************************
เช้าวันอาทิตย์ ครอบครัวของอิงลดาที่กำลังเตรียมตัวเดินทางกลับภาคเหนือ หญิงสาวสวมชุดเรียบง่ายแต่ดูดี เธอสวมกอดบุพการีทั้งแน่นด้วยแววตาอาลัย“ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก มีอะไรก็โทรหาพ่อกับแม่ได้เสมอ” อารีย์ลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน“ค่ะ แม่” อิงลดายิ้มบางๆ ทั้งที่ในใจแอบหวั่นไหวกับสิ่งที่ต้องเผชิญหลังจากนี้ภีมวัชยืนข้างๆ รอจนพ่อแม่ลูกกอดลากันเสร็จ เขาก้าวออกมายืนข้างอิงลดา มองไปที่อารีย์กับพิทักษ์ที่กำลังจะขึ้นรถตู้ซึ่งจอดรออยู่หน้าบ้านพิทักษ์หันมามองเขา สีหน้าแสดงความไว้ใจ “ฝากอิงด้วยนะภีม อย่าปล่อยให้เธอเหงา หรือมีเรื่องให้ไม่สบายใจ”“ผมจะดูแลอิงให้ดีที่สุดครับ แล้วขอฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่สุดด้วย ผมไม่อยากรอนาน” ภีมวัชพยักหน้ารับด้วยแววตาจริงจัง คำพูดของเขาทำเอาอารีย์ถึงกับยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ เธอมองลูกสาวอย่างเอ็นดู“ย้ำสองรอบแบบนี้ คงอยากแต่งมากแล้วจริงๆ วัยรุ่นก็แบบนี้... ตกลงจ้ะ แม่จะให้คนดูฤกษ์ให้เร็วที่สุด ยังไงเดี๋ยวแจ้งกลับมา”“ขอบคุณครับ” เขายิ้มกว้างแล้วเดินไปเป
กลางดึก ความเงียบของบ้านกุลธาราวงศ์ปกคลุมไปทั่วทุกห้อง แสงไฟสลัวจากทางเดินทอดยาวมาถึงหน้าห้องของอิงลดา เสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่หญิงสาวจะเดินมาเปิดประตูแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความสับสนและเหนื่อยล้าในวันนี้ภีมวัชยืนอยู่ตรงหน้า สวมชุดนอนสบายๆ แต่สีหน้ากลับจริงจังอย่างเห็นได้ชัด“มีอะไรคะ”เขามองเธอด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา ไม่หลบเลี่ยงเหมือนทุกครั้ง“พี่อยากแต่งงานกับเธอจริงๆ นะอิง” เสียงทุ้มต่ำกล่าวช้าๆ ชัดเจนทุกถ้อยคำอิงลดาชะงักไปชั่วครู่ หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับยังนิ่งเฉย เธอสูดหายใจลึกแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้ในใจจะว้าวุ่น“อิงดีใจไหม” เขาถามเธอแล้วลอบมองดูปฏิกิริยาของคู่หมั้นสาว“พี่ภีมอย่าลืมสิคะ ว่าเราแต่งงานกันเพราะอะไร อิงต้องดีใจอยู่แล้วที่จะหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวาย ไม่ใช่ดีใจเพราะจะได้แต่งกับพี่นะ” ประโยคนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลงกลางใจของภีมวัชอย่างไม่ทันตั้งตัวชายหนุ่มนิ่งเงียบไปทันที ดวงตาคมที่เคยแฝงรอยอ่อนโยนเมื่อครู่กลับกลายเป็นความเศร้าลึก เขากะพริบตาช้าๆ ก้มหน้
ภายในร้านอาหารสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ ที่ถูกจัดตกแต่งอย่างครึกครื้นด้วยบรรยากาศงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนร่วมรุ่นในมหาวิทยาลัยของณัชชามารวมตัวกันราวแปดคน พวกเขาต่างหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายชนิด เสียงเพลงคลอเบาๆ กับแสงไฟสลัวๆ สร้างบรรยากาศชวนผ่อนคลายให้กับทุกคนยกเว้นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกเอ็นจอยกับบรรยากาศและการพบปะเพื่อนฝูงในครั้งนี้หญิงสาวในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ม นั่งเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งของโต๊ะ มือเรียวยกแก้วไวน์ขึ้นจิบช้าๆ ดวงตาคมที่เคยเปล่งประกายความมั่นใจ กลับเหม่อลอยราวกับล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกลเธอไม่ได้หัวเราะตามบทสนทนาของเพื่อนๆ ไม่ได้สนใจมุกตลก หรือการพูดคุยของเพื่อนร่วมรุ่น ในหัวของเธอมีแต่ภาพของภีมวัช ชายหนุ่มที่เธอหมายมั่นปั้นมือจะเชื่อมความสัมพันธ์ให้ได้ในวันนี้ แต่กลับไม่ได้มาณัชชาวางแก้วลงกับโต๊ะเบาๆ แต่แรงกำมือกลับแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนข้อนิ้วขึ้นสีขาวเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ดังแว่วอยู่ข้างๆ แต่สำหรับเธอ มันกลับเงียบงันราวกับอยู่คนเดียวในห้องที่ไม่มีใคร“เป็นอะไรน่ะหมอนัท ไม
หลังจากเขากลับไป อิงลดานั่งพิงหัวเตียงในชุดนอนสีอ่อน ผมนุ่มสยายลงบนบ่า มือเรียวกอดเข่าของตัวเองเอาไว้แน่น สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแสงจันทร์เลือนรางหัวใจของเธอไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่ได้แบบนี้เลยสักครั้ง“นี่มันอะไรกัน... ทำไมต้องรู้สึกใจเต้นเวลาเขาเข้ามาใกล้”เธอไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะหนีมาแต่งงานเพื่อแค่หลบภัย แค่ต้องการฉากบังหน้า แต่ไม่ทันถึงสัปดาห์ หัวใจของเธอก็เหมือนจะทรยศตัวเองไปเสียแล้วคำพูดของเขายังวนเวียนอยู่ในหัว“สายไปแล้วอิง เธอเดินเข้ามาในชีวิตพี่แล้ว จะถอยกลับไปง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก”อิงลดาถอนหายใจยาว พยายามสลัดความรู้สึกฟุ้งซ่านออกจากหัว“คนแบบเขา...พูดจริงหรือแค่หยอกเล่นกันแน่” เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเอาหมอนมากอดแนบอกแต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ภาพรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปนอบอุ่นของเขาก็ไม่ยอมหายไปจากหัวเสียทีใครบอกกันว่าเขาเย็นชาและไม่ชอบผู้หญิง ที่แสดงกับเธอมันตรงกันข้าม เขาดูเจ้าเล่ห์
ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดาเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลังอิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”อารีย์
ช่วงเช้าในบ้านกุลธาราวงศ์ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มปลาหมึกแห้งสูตรของยุพินและยุพาที่นำเสนอจนกลายเป็นอาหารเช้ามื้อหลักที่ต้องมีในทุกสัปดาห์“ข้าวต้นปลาหมึกแห้ง สูตรของสองสาวเขา อิงลองชิมนะลูก”“ค่ะ คุณแม่” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายดาริกามองว่าที่สะใภ้ก็ยิ้มกริ่ม อิงลดาเป็นคนสมัยใหม่ แต่ว่านอนสอนง่าย พูดจาตรงไปตรงมาแต่นอบน้อม แม้จะแสดงเจตนาจะแต่งงานกับลูกชายเธอเพราะความจำเป็น แต่เธอเริ่มมองเห็นว่าทุกอย่างมันเริ่มลึกซึ้งและมีความผูกพันกันเกิดขึ้นทีละน้อย“จริงสิตาภีม แม่ลืมบอกไป” เธอหันไปทางลูกชายที่กำลังโรยหอมเจียวเพิ่มในข้าวต้ม“ครับแม่”“พ่อแม่ของอิงจะเดินทางมาถึงตอนเย็นวันนี้นะภีม พรุ่งนี้เป็นวันดี ฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับพิธีหมั้น พวกเราเตรียมงานไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกกับหนูอิงตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเชิญแขกมาเพิ่มไหม เผื่อเปลี่ยนใจแม่จะได้สั่งห้องอาหารให้เตรียมอาหารเพิ่ม”ภีมวัชเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้ม ดวงตาสงบนิ่งแต่แวววาวอย่างพอใจ“ครับแม่ ผมรับทราบ&rdquo