อิงลดาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว ผมที่ยังคงเปียกอยู่ถูกรวบขึ้นอย่างหลวมๆ เธอนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบไดร์เป่าผมมา ภีมวัชที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงก็วางหนังสือลง แล้วเดินมาช่วยภรรยาเป่าผม เธออมยิ้มมองเขาที่มาเอาใจเธอ
จนผมเธอเริ่มแห้งเขาก็เก็บไดร์เป่าผมแล้วมองเธอที่นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
“เดี๋ยวนี้กล้าพันผ้าผืนเดียวต่อหน้าพี่แล้วเหรอ จงใจยั่วพี่ไหม”
“หลังจากเมื่อคืนนี้ อิงไม่อายแล้วค่ะ อีกอย่างอิงรู้ว่ายังไงคืนนี้พี่ภีมก็คงไม่ให้อิงใส่อะไรนอนอยู่แล้ว” เธอพูดจาท้าทายปนยั่วยวนเขาหน่อยๆ
“รู้งาน... งั้นนอนเลยนะ” เขาพูดเสียงพร่า
อิงลดายังไม่ทันได้ตอบ ภีมวัชก็ดันร่างของเธอไปที่เตียงแล้วถอดชุดนอนของเขาออกอย่างรวดเร็ว แล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของเธอไว้ จัดการถอดผ้าเช็ดตัวที่พันรอบกายของเธอออกอย่างช้าๆ
ใบหน้าของอิงลดาแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ภีมวัชก็ประกบริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของเธออย่างดูดดื่ม
หญิงสาวหลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม เธอรับรู้ได้ถึงรสชาต
ในห้องพักแพทย์ยามบ่าย หมอณัชชานั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงช้ำ เธอแทบไม่พูดคุยกับใครหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าห้องทำงานของภีมวัชประตูเปิดออกเบาๆ ก่อนที่หมอนุ่นจะเดินเข้ามา เธอวางแฟ้มลงบนโต๊ะใกล้ๆ แล้วหันไปมองเพื่อนร่วมงานที่นั่งกอดอกแน่นเหมือนกำลังหาที่พึ่ง“หมอนัท…” นุสราเอ่ยเรียกเบาๆ น้ำเสียงแฝงความห่วงใย“เราขอนั่งด้วยได้ไหม”ณัชชาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆเธอนั่งลงข้างๆ หันตัวเข้าหาเพื่อนเต็มที่ “ฉันรู้เรื่องเมื่อกี้แล้ว พยาบาลเล่าให้ฟัง”ณัชชากัดริมฝีปากแน่น เสมองไปทางอื่น ไม่อยากเผชิญกับความจริง“หมอนัท ช่วงนี้เธอเปลี่ยนไปมาก รู้ตัวไหม” หมอนุ่นพูดเสียงเรียบแต่หนักแน่น“เปลี่ยนเหรอ” ณัชชาเอ่ยแผ่วเบา“ใช่” หญิงสาวพยักหน้า“แต่ก่อนเธอเป็นหมอที่มั่นใจ เก่ง เป็นที่นับถือของทุกคน แต่ตอนนี้เธอเหมือนคนที่สติไม่อยู่กับตัว ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองเลย โดยเฉพาะสิ่งที่กำลังทำในตอนนี้”ณัชชานิ
ในห้องพักแพทย์เงียบสงบ เสียงเปิดปิดแฟ้มดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศ หมอณัชชาเดินวนหาภีมวัชอยู่สองสามรอบก็ไม่เจอ“หมอภีมหายไปไหน ทำไมวันนี้ไม่เข้ามาที่นี่เลย” เธอขมวดคิ้ว“เขาคงหลบหน้าใครบางคนมั้งครับ” หมอธนินทร์ที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้เงยหน้ามามองณัชชาหันขวับไปทันที “หมอธนินทร์ พูดอะไรของคุณ”ชายหนุ่มยักไหล่ ไม่ตอบ“เอาเถอะ ไปกินข้าวกันเถอะ ผมเองก็หิวแล้ว”ณัชชากัดริมฝีปาก แต่ก็จำต้องเดินตามไปกับเขา ระหว่างทางหมอนุ่นหรือนุสราก็โผล่มาสมทบ“ไปกินข้าวเหรอ รอด้วยสิ ฉันกำลังจะลงไปเหมือนกัน”ทั้งสามเดินมาที่โรงอาหาร พอเข้ามาก็เห็นร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งเพียงลำพัง ภีมวัชกำลังรับประทานอาหรด้วยท่าทางสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง“นั่นไง...หมอภีม” นุสรารีบเดินนำไปทันที ก่อนจะนั่งลงข้างๆ อย่างคุ้นเคยภีมวัชเหลือบตามอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “เชิญนั่งสิครับ”ทั้งสามคนเลยนั่งลงร่วมโต๊ะ บรรยากาศเหมือนจะเงียบไปชั่วขณะ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องนอน อิงลดาลืมตาตื่นก่อน หันไปเห็นภีมวัชยังนอนกอดเธอแน่น ใบหน้าหล่อเหลาซุกอยู่ตรงไหล่ของเธอ เสียงหายใจสม่ำเสมออย่างคนนอนหลับสนิท“พี่ภีม ตื่นได้แล้วค่ะ” เธอเอื้อมมือเขย่าแขนเขาเบาๆ“อืม...” เขาครางในลำคอ แต่กลับกอดเธอแน่นกว่าเดิม“ขอนอนกอดอีกนิดนะ”“ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้ต้องไปทำงานแล้วนะคะ” อิงลดาพูดเสียงจริงจัง พลางพยายามดันตัวเขาออกเล็กน้อยภีมวัชลืมตาขึ้นมาช้าๆ ดวงตาคมยังเปล่งประกายขี้เล่น “งานไม่หนีไปไหนหรอก แต่เมียนี่สิ...ถ้าลุกออกจากเตียงไปแล้ว พี่ก็อดกอด”อิงลดาถอนหายใจ ทำตาดุใส่เขา “พี่ภีม พี่ต้องเปลี่ยนโหมดแล้วนะ กลับมาเป็นหมอที่จริงจังกับงานได้แล้ว”“งั้น...ขอกำลังใจก่อนสิ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ทำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็ก เธอเม้มปากอย่างอาย แต่ก็ยอมโน้มตัวลงไปหอมแก้มเขาเบาๆ“พอใจหรือยังคะ” ภรรยาสาวถามเสียงขุ่นน้อยๆแต่ยังไม่ทันลุกออก ภีมวัชกลับพลิกตัวรวบเอวเธอเข้ามาแนบชิดแล้วพลิกเธอให้นอนหงาย“ไม่พอ...” เสียงทุ้มพร่ากระซิบใกล้ใบหูจนเธอขนลุกซู่“เมียให้แค่ห
หลังจากพุดคุยกันได้สักพัก อิงลดาก็ขอตัวจากแม่สามี“คุณแม่คะ อิงขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวลงมาทานข้าวค่ะ”“จ้าลูก ไปเถอะ” ดาริกายกมือแตะหลังอิงลดาเบาๆ ส่งสายตาเอ็นดูสุดหัวใจพอร่างบอบบางเดินขึ้นบันไดไปจนลับสายตา ดาริกาก็หันมาทางลูกชายทันที สีหน้ายังเปื้อนยิ้ม แต่แววตาแฝงความจริงจัง“ภีมมานั่งคุยกับแม่หน่อยสิ”ภีมวัชยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนเดินไปทรุดตัวนั่งข้างมารดาอย่างว่าง่าย“ครับแม่ มีอะไรหรือเปล่า”“แม่อยากถามให้ชัดๆ สรุปว่าการแต่งงานที่ตอนแรกเหมือนจะเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกๆ เพื่อแก้ปัญหานั่น ตอนนี้มันจะกลายเป็นเรื่องถาวรแล้วใช่ไหม” ดาริกามองลูกชายตรงๆ น้ำเสียงตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนเองคาดหวัง“ครับแม่ มันไม่ใช่การแต่งงานหลอกๆ อีกแล้ว อิงกับผมเรารักกันจริงๆแล้วครับ” ภีมวัชตอบด้วยสีหน้าเรียบแต่แฝงรอยยิ้มอ่อน ดวงตาคมทอดต่ำเล็กน้อย“แน่ใจแล้วนะลูก” ดาริกาถามย้ำ แววตาเปี่ยมความหวัง“แน่ใจที่สุดครับ แม่ก็รู้ผมไม่เคยเปิดใจให้ใคร ผมเย็นชากับผู้หญิงทุกคนมาตลอด เพราะหัวใจของผมมันมีเจ้าของอยู่แล้ว อิ
ทันทีที่ประตูปิดลง อิงลดาก็หันมามองสามีเต็มตา ดวงตาเป็นประกายทั้งโกรธ ทั้งหึง ทั้งโล่งใจ“พี่ภีม...พูดแรงมากเลยนะคะ”ภีมวัชถอนหายใจยาว ดึงภรรยาเข้ามากอดไว้แน่น“พี่พูดเท่าที่จำเป็น เพื่อให้เธอรู้ขอบเขต ไม่งั้นเธอจะไม่หยุดสักที”อิงลดาซุกหน้าลงกับอกกว้างของสามี เสียงเธอเบาแต่สั่นเครือ“ขอบคุณนะคะ อิงยอมรับตรงๆเลยว่าตั้งแต่ที่เราเปิดใจกัน อิงก็รักพี่ภีมมากขึ้นทุกวันและไม่อยากมีใครมาแทรกกลางระหว่างเราแล้วจริงๆ” ประโยคนั้นทำเอาคนฟังยิ้มกริ่ม ยิ่งได้ยินคำว่ารักหัวใจที่เย็นชาต่อคนทั้งโลกก็ยิ่งอ่อนไหวต่อคนตรงหน้า“จะไม่มีใครมาแทรกได้ เพราะพี่เลือกอิงแล้ว” เขากดจมูกลงบนเส้นผมของเธออิงลดายังซุกอยู่ในอ้อมกอดสามี แต่สายตาเธอเงยขึ้นสบตาคมคายที่ทอดมองมาอย่างมั่นคง ความลังเลยังค้างอยู่ในหัวใจจนเธอต้องถามออกไปเสียงเบา“พี่ภีม... อิงถามตรงๆ ได้ไหมคะ”“ได้สิ” ภีมวัชก้มลงแตะปลายจมูกกับหน้าผากเธอเบาๆ สีหน้าอ่อนโยน“พี่เคยมีใจให้หมอนัทบ้างไหม”ภีมวัชนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมยังคงจ้องเธออย่างจริงจัง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ“ถ้าพี่รักหมอนัท เราคงไม่เป็นเพื่อนกันมาได้สิบกว่าปีหรอกอิง”อิงลดากะพริบตาถี่ หัวใจเธอเต
“ใครโทรมาคะ” อิงลดาที่อยู่ข้างๆ ชะโงกหน้ามองสามีภีมวัชหันมามองหน้าภรรยา สีหน้านิ่งแต่ดวงตาเหมือนจะขอโทษ “คุณแม่บอกว่าหมอนัทมารออยู่ที่บ้าน”อิงลดาชะงัก ฝีเท้าหยุดกะทันหัน เธอหันหน้ามามองเขาเต็มๆ ดวงตาเริ่มแข็งกร้าวขึ้นทันที“หมอนัท”“อืม” เขาพยักหน้าเบาๆอิงลดากอดอกแน่น ปากเม้มจนเป็นเส้นตรง ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความขุ่นเคือง “ภาณุเพิ่งสงบไปได้ไม่นาน หมอนัทก็ตามมารบกวนพี่ภีมอีกเหรอคะเนี่ย”“อิง...ใจเย็นๆ” ภีมวัชเอื้อมมือไปแตะไหล่ภรรยาอย่างปลอบโยน“จะให้ใจเย็นได้ยังไงคะพี่ภีม” เสียงเธอสูงขึ้น ดวงตาเริ่มมีน้ำใสๆ คลอ “อิงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงต้องโดนแบบนี้ตลอด คนหนึ่งก็ภาณุที่ไม่เลิกรา อีกคนก็หมอณัชชาที่ไม่รู้จักคำว่าเกรงใจ”ภีมวัชมองใบหน้าที่บึ้งตึงของภรรยาแล้วถอนหายใจเฮือก เขาโน้มตัวลงใกล้ๆ เอียงหน้าเข้าไปใกล้จนเธอต้องหลบสายตา“อิงฟังพี่นะ”อิงลดาเงียบแต่เม้มปากแน่นกว่าเดิม“ต่อให้ณัชชาจะตา