LOGINร่างบางขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยค่อย ๆ ลืมขึ้นทีละนิด ดาริณกวาดตามองห้องนอนที่จะเรียกว่าคุ้นเคยก็ไม่เชิงเพราะเธอเพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งที่สองเท่านั้น
“ตื่นแล้วเหรอ”
เจ้าขุนนั่งลงบนเตียงนอนมองคนที่กำลังทำหน้างุนงง
“นายเป็นคนช่วยฉันไว้เหรอ”
“แล้วคิดว่าไงล่ะ”
สมองพอจดจำได้เลือนรางว่าก่อนหมดสติไปเหมือนได้ยินเสียงคนเคาะประตูเรียกเธอ แต่ตอนนั้นเธอไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับตัวหรือขานตอบจึงได้แต่นอนนิ่ง และไม่นานก็มีเสียงคนทะเลาะกัน และหลังจากนั้นเธอก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว
สงสัยเจ้าขุนจะเป็นคนช่วยเธอออกมาสินะ
“ขอบคุณนะ”
ขยับตัวลุกนั่งพร้อมกับพูดคำขอบคุณอย่างซาบซึ้ง ทว่าจู่ ๆ ใบหน้าสวยก็พลันบูดบึ้งหลังจากสำรวจร่างกายของตัวเอง เธอสวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของใครก็ไม่รู้แถมยังไม่ได้ใส่ชุดชั้นในอีกต่างหาก
หญิงสาวเงยหน้าถลึงตาใส่คนข้าง ๆ
“ไอ้คนฉวยโอกาส”
ตวาดเสียงดังไม่พอดาริณยังหยิบหมอนขึ้นมาฟาดเขาไม่ยั้ง
คนถูกกระทำรู้สึกงวยงง อยู่ดี ๆ เธอก็เกรี้ยวกราดแถมยังทำร้ายร่างกายเขาอีกต่างหาก ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนนักหนาอ๋อหรือว่าได้นอนพักเต็มอิ่มมาทั้งคืนแล้ว
“ดาริณ หยุด!”
ออกคำสั่งเสียงแข็งแต่ใช่ว่าหญิงสาวจะยอมฟัง นอกจากเธอจะฟาดหมอนใส่เขาไม่ยั้งยังเริ่มใช้กำปั้นทุบตีเขาอีกต่างหาก
ชายหนุ่มเริ่มโมโหจึงจับแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ จากนั้นก็กดร่างเล็กนอนลง ร่างหนาขึ้นคร่อมนัยน์ตาดุดันจ้องเขม็งคนใต้ร่าง
“เป็นบ้าอะไรของเธอ”
“ก็นายฉวยโอกาสกับฉัน”
“ฉวยโอกาสอะไรวะ”
“ก็ถ้านายไม่ได้ฉวยโอกาสแล้วเสื้อผ้าของฉันจะหายไปไหน หรือนายจะบอกว่านายไม่ได้เป็นคนถอด”
ใบหน้าเรียบนิ่งจดจ้องคนที่แว้ดเสียงใส่เขาฉอด ๆ ก็แค่ถอดเสื้อผ้าไม่รู้จะโวยวายอะไรนักหนาใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นสักหน่อย
“อืม”
ตอบอืมสั้น ๆ ไม่รู้หมายความว่าไง ดาริณสงสัยรีบเอ่ยถาม
“อืม...คือนายไม่ได้เป็นคนถอด?”
“ฉันถอดเองแหละ”
มุมปากยกยิ้มแล้วพูดเสียงอ่อย ดาริณผลักเขาอย่างแรงตั้งท่าจะง้างฝ่ามือขึ้นฟาดอีกครั้ง
คนตัวโตรีบยกมือขึ้นมาป้องกัน หดคอสั้นพร้อมทั้งหลับตาปี๋
นี่กูกลัวขนาดนี้เลยเหรอวะ
บ้าเอ๊ย! เสียภาพลักษณ์หมด
“ฉันก็แค่เช็ดตัวให้ไม่ได้ทำอะไรเธอสักหน่อย”
รีบแก้ตัวไม่อย่างนั้นยัยดาริณคงตีโพยตีพายไม่หยุด
หญิงสาวหยุดทุบตีเขาแล้วดึงคอเสื้อออก ก้มมองสภาพเรือนร่างตัวเองภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง
“แน่ใจนะว่านายไม่ได้ทำอะไรฉัน”
“ไม่ได้ทำ”
ตอบเสียงแข็งก่อนจะขยับตัวออกมาเล็กน้อย เดี๋ยวโดนยัยนี่ทุบตีอีก
ร่างสูงเหยียดกายลุกยืนพร้อมทั้งบ่นพึมพำว่า
“ทำอย่างกับว่าฉันไม่เคยเห็นของเธออย่างนั้นแหละ”
คนบนเตียงถลึงตาใส่เขา
ไอ้คนปากเสีย
ดวงตาคู่คมจ้องมองร่างเล็กที่นั่งทำหน้ากระเง้ากระงอดอยู่บนเตียงนอนแล้วพูดกับเธอว่า
“ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าว วันนี้เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
ออกคำสั่งประหนึ่งว่าเธอเป็นลูกน้องอีกคน
ดาริณเบ้ปากใส่เขาแล้วลุกจากเตียงตั้งท่าจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ลืมไปว่าตัวเองไม่มีเสื้อผ้าใส่จึงหันไปทางเจ้าของห้องแล้วพูดขึ้นว่า
“ฉันไม่มีเสื้อผ้าใส่”
ร่างสูงเดินไปหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้องจากนั้นก็ยื่นมันให้เธอ ข้างในนั้นมีของใช้ส่วนตัวที่เขาเป็นคนสั่งให้ลูกน้องไปซื้อมาไว้ให้เธอตั้งแต่เช้า
หลังรับถุงกระดาษจากเจ้าขุนดาริณก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำทันที
เวลาต่อมา
คนนั่งรออยู่ตรงโต๊ะรับประทานอาหารเทียวยกแขนขึ้นมาดูเวลา นี่ผ่านไปชั่วโมงกว่าดาริณก็ยังไม่ลงมาสักทีไม่รู้จะอาบน้ำนานไปไหน
ตั้งท่าจะลุกไปตามหญิงสาวบนห้องทว่าเพียงขยับขาเธอก็เดินลงมาพอดี
เจ้าขุนหายใจฟืดฟาดทำท่าทางหงุดหงิดขณะมองหน้าเธอ
“นายมีอะไรจะคุยกับฉัน”
“กินข้าวก่อนค่อยคุย”
“ฉันยังไม่หิว”
“ไม่หิวเธอก็ต้องกิน” ทำเสียงดุแกมข่มขู่
ดาริณมองชายหนุ่มด้วยแววตาไม่พอใจ ไม่รู้ทำไมเขาชอบบังคับเธออยู่เรื่อย
เออ! กินก็ได้วะ
หญิงสาวทำหน้าเง้างอขณะตักข้าวคำแรกเข้าปาก
คนแอบมองลอบยิ้มจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทานข้าว
หลังทานอิ่มหญิงสาวก็เดินตามเขาไปที่โซฟา ดวงตากลมโตเพ่งมองแผ่นหลังกว้างด้วยความฉงน เมื่อนั่งลงบนโซฟาจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน
“นายมีอะไรจะคุยกับฉัน”
“ตอนนี้ครอบครัวของเธอกำลังมีปัญหาใช่ไหม”
“...”
คนฟังนิ่งเงียบแล้วเบือนหน้าหนี เธอไม่อยากเอาเรื่องไม่ดีของครอบครัวมาเล่าให้คนอื่นฟัง ชีวิตลูกคุณหนูที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างตั้งแต่เกิดอย่างเธอไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่ได้
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเริ่มไม่เหมือนเมื่อก่อน ฐานะทางการเงินของครอบครัวเริ่มสั่นคลอนตั้งแต่ที่ผู้เป็นพ่อหันไปลงเล่นการเมืองแล้วเปลี่ยนให้พี่ชายมาบริหารงานในบริษัทแทน แต่จะให้เธอพูดเรื่องน่าอายให้คนอื่นฟังได้ยังไงกัน
เธอไม่เล่าเด็ดขาด
“เธอเล่าความจริงมาเถอะดาริณ อะไรที่มันเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้”
“นายจะอยากรู้ไปทำไม”
“ฉันจะได้ช่วยเธอแก้ปัญหาไง”
“นายช่วยฉันไม่ได้หรอก”
“แล้วเธอจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้เหรอ รู้ไหมว่าเมื่อคืนพี่ชายของเธอขายเธอให้ไอ้เจ้าของผับนั่น ถ้าฉันไปช่วยไม่ทันป่านนี้เธอโดนไอ้นั่นปู้ยี่ปู้ยำไปแล้ว”
ตวาดหญิงสาวเสียงดังนัยน์ตาดุดันจริงจังดูเหมือนว่าเจ้าขุนไม่ได้พูดเล่น
แววตาขุ่นเคืองจ้องหน้าชายหนุ่ม จะให้เธอเชื่อเรื่องที่เจ้าขุนพูดได้ยังไงกันในเมื่อดาวิทย์คือพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ เขาไม่มีวันทำแบบนั้นแน่
“ไม่จริง พี่ดาวิทย์ไม่ทำแบบนั้นแน่ ฉันไม่เชื่อนายหรอก”
มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะเข้าข้างไอ้สารเลวนั่นอีก เจ้าขุนถอนหายใจอย่างแรงเหนื่อยจะอธิบายให้ดาริณเข้าใจ มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากนั้นก็เปิดคลิปวิดีโอให้หญิงสาวดู
“ดูซะ”
อากาศยามค่ำของบ้านพักตากอากาศริมทะเลมีลมพัดโชยสร้างความรู้สึกเย็นสบาย แสงไฟสีอบอุ่นส่องสว่างติดตามแนวรั้วไม้ของบ้านช่วยเพิ่มความโรแมนติก ดาริณเดินเล่นอยู่ริมชายหาดเพียงลำพัง ดวงตาเป็นประกายทอดมองไปยังสุดขอบฟ้า ร่างหนาเดินเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง สันจมูกโด่งคมเคลื่อนไล้ไปตามแก้มเนียนแล้วหอมเธอฟอดใหญ่ ก่อนจะถามคนที่ยืนมองท้องฟ้าราวกับคนเหม่อลอย “คิดอะไรอยู่” พูดชิดแก้มนุ่มจากนั้นริมฝีปากหยักก็ขบกัดตรงใบหูเล็ก ก่อนจะจับร่างเล็กให้หันมาสบตากัน “คิดถึงเรื่องของเราน่ะ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าเราสองคนจะมีวันนี้ได้” เจ้าขุนคลี่ยิ้ม แววตาลึกล้ำจดจ้องใบหน้าหญิงคนรักแล้วพูดว่า “เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม” “...” หญิงสาวเลิกคิ้วรอฟัง “พรหมลิขิตให้เราได้กลับมาเจอกับคนที่เราเฝ้าตามหามาสิบปี” “นายหมายถึงใคร” “จำกันไม่ได้จริง ๆ เหรอเนี่ย น่าน้อยใจจัง” พูดพลางดึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอดก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าผากสวยได้รูป จากนั้นก็จับเธอผละออกเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายมองสำรวจใบหน้าขอ
ริมฝีปากหยักเคลื่อนไซ้ไปตามท้ายทอยและซอกคอหอมกรุ่น กดจูบและขบเม้มสร้างความกระสันเสียว ร่างเล็กบิดส่ายเร่าร้อนมือสองข้างเกาะอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วแกร่งเกี่ยวรั้งกางเกงชั้นในตัวจิ๋วลงมากองอยู่บนพื้น “เสียบเลยได้ไหม” เสียงพูดชิดอยู่ตรงริมแก้มเนียน ก่อนที่ริมฝีปากจะจูบซับพวงแก้มระเรื่อขณะรออีกฝ่ายเอ่ยตอบ “ไม่ไหวแล้วเหรอ” “ไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็ถอดเสื้อยืดออกจากทางศีรษะ มือหนาเร่งปลดตะขอกางเกงแล้วรูดรั้งลงไปพร้อมกับกางเกงในบอกเซอร์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สลัดมันออกจากปลายขาอย่างไม่ไยดี ก่อนที่ร่างสูงจะขยับมายืนประกบอยู่ด้านหลังคนตัวเล็ก ปลายนิ้วหนาบดบี้ส่วนที่เป็นติ่งเสียวของหญิงสาว นิ้วกร้านแหย่แยงเข้าไปในร่องรักเพื่อเบิกทางเพิ่มน้ำหล่อลื่น ร่องสวาทเปียกแฉะไปด้วยน้ำหวานที่ผลิตออกมาอย่างล้นหลาม เจ้าขุนจับท่อนเอ็นใหญ่ถูไถตรงสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วทำหน้าที่แหวกให้ร่องรูเบิกกว้าง จากนั้นก็เอาส่วนปลายหยักไปจ่อไว้ตรงปากทางแล้วดันเข้าไปรวดเดียวมิดด้าม ปลายลิ้นหนาแลบเลียตามแนวกระดูกสันหลังด้วยความหื่นกระหาย
@โรงพยาบาล ว่าที่คุณพ่อนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจเลือด ใบหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มเมื่อรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาต้องถูกแทงเข็มฉีดยาเข้าไปในร่างกาย ลูกผู้ชายตัวโตเรื่องปืนผาหน้าไม้ไม่เคยเกรงกลัว แต่พอเป็นเข็มฉีดยากลับกลายเป็นคนใจเสาะใจปลาซิวขึ้นมาเสียได้ ดาริณหัวเราะกระซิก รู้สึกขบขันมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทว่ากับกลัวเข็มฉีดยาอันเล็กกระจิ๋วหลิ๋ว คนหน้าเข้มใช้สายตาดุดันเพ่งมองใบหน้าสวยของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากหนาแนบชิดใบหูเล็กแล้วพูดกระซิบ “หัวเราะเยาะเหรอ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยนะ” “ไม่กลัว” เธอยิ้มแป้นแล้นล้อเลียนเห็นแล้วมันน่าจับฟัดแก้มชะมัด มือหนายกขึ้นบีบแก้มดาริณด้วยความมันเขี้ยว ขณะนั้นคุณพยาบาลก็ออกมาเรียกเขาเข้าห้องเจาะเลือดพอดี “เชิญคุณภัทรดนัยค่ะ” คนถูกเรียกเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนเข้าไปก็ไม่ลืมหันมามองคาดโทษคนที่หัวเราะเยาะเขาไม่หยุด คืนนี้เธอโดนแน่ดาริณ เวลาต่อมา ดาริณนอนอยู่บนเตียงตรวจโดยมีเจ้าขุนนั่งอยู่ด้านข้าง ม
“พวกมึงคิดจะทำอะไรหลานกู” คนมีอำนาจตวาดเกรี้ยวกราดมือข้างหนึ่งยกปืนขึ้นจ่อขมับคนที่คุกเข่าอยู่ เปลวไฟแห่งโทสะลุกโชนอยู่ในดวงตาสีเทาอ่อน ดวงตาดุดันจ้องเขม็งคนตรงหน้าราวกับอยากฆ่าให้ตาย ภาพชวินนั่งตัวสั่นเทาทำให้ดาวิทย์เริ่มหวาดกลัว เขานั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าขุนก้มหัวกราบกรานร้องขอชีวิต “เจ้าขุนฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว นายไว้ชีวิตฉันด้วย สัญญาว่าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก ต่อไปนี้ฉันจะกลับตัวเป็นคนดี ไว้ชีวิตฉันด้วยนะ” แค่นหัวเราะให้กับคำพูดของดาวิทย์ เขาไม่เชื่อสักนิดว่าคนอย่างดาวิทย์จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ ถ้ามันอยากกลับตัวจริง ๆ มันคงทำไปตั้งนานแล้ว “ยูจะเอาไง” เจ้านายใหญ่หันมาถามหลานเมีย ตอนแรกเขาไม่คิดจะทำร้ายดาวิทย์ แต่มาคิด ๆ ดูแล้วถ้าปล่อยดาวิทย์ไปอีกครั้งมันต้องสร้างปัญหาอีกแน่ และที่เขากังวลมากที่สุดคือคนอย่างดาวิทย์มันต้องใช้ลูกกับเมียของเขาเป็นเครื่องมือต่อรอง เจ้าขุนยกยิ้มมุมปากจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องให้ถึงตายนะ ทำให้พิการตลอดชีวิตและพูดไม่ได้ก็พอ” บอกความต้องการเรียบร้อยก็หันหลังให
“ปล่อยตัวประกันมาก่อน แล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะได้หลงเชื่อตั้งแต่แรกว่าดาวิทย์ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ จึงให้ออสตินเป็นคนถือกระเป๋าที่บรรจุเงินสดสามสิบล้านเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นดังนั้นชวินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้าเหี้ยมโหดแดงก่ำด้วยแรงโทสะ “มึงคิดจะเล่นตุกติกกับกูเหรอ” “ถ้ากูอยากเล่นตุกติกกับมึงกูโทรแจ้งตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าอยากได้เงินก็ปล่อยตัวประกันออกมาก่อนแล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” ชวินทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางมือขวาคนสนิทแล้วเอ่ยสั่ง “ไปเอาตัวไอ้ดาวิทย์มา” “ครับนาย” ดาวิทย์ถูกลากออกมาจากในตึกร้าง มือสองข้างถูกมัดไพล่หลัง สภาพเหมือนคนปกติไม่ได้ถูกซ้อมจนน่วมเหมือนคนที่ถูกจับตัวมา ลูกน้องคนหนึ่งแกะเชือกให้ดาวิทย์ “ทีนี้มึงบอกกูได้รึยังว่าเงินอยู่ที่ไหน” “เงินอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าทางเข้า” เมื่อรู้ที่ซ่อนเงินชวินก็คลี่ยิ้มจนกว้าง เขาส่งซิกให้ลูกน้องสองคนไปเอากระเป๋าเงินตรงจุดที่เจ้าขุนบอก พอรู้ที่ซ่อนเงินแน่ชัดสองหนุ่มเพื่อนซี้ก็หันมาส่
รถสปอร์ตคันงามแล่นไปตามท้องถนนด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปที่บ้านของท่านรัฐมนตรี ร่างสูงโปร่งก้าวฉับ ๆ เข้าไปในบ้านของว่าที่พ่อตาอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นหน้าลูกเขย คนร้อนใจก็รีบร้อนเข้าไปหาทันที “พวกมันติดต่อมารึยังครับ” “ติดต่อมาแล้ว มันบอกว่าให้เอาเงินไปให้มันที่นี่” ท่านรัฐมนตรียื่นกระดาษที่จดสถานที่นัดหมายให้กับเจ้าขุน เขาหยิบมันมาดูแล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนอายุมากแล้วเอ่ยถาม “พวกมันต้องการเงินเท่าไหร่ครับ” ความจริงก็ได้ยินที่ดาริณอุทานแล้วล่ะ แต่ก็อยากถามให้แน่ใจอีกครั้ง ท่านรัฐมนตรีมีสีหน้าหวั่นวิตก ริมฝีปากขบเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับพูดเสียงอ่อย “สามสิบล้าน” ได้ยินแค่นั้นเจ้าขุนก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วรีบโทรหาจรณ [ครับนายน้อย] “คุณช่วยเอาเงินมาให้ผมที่บ้านท่านรัฐมนตรีนพดลหน่อย” [ได้ครับ นายน้อยจะเอาเท่าไหร่ครับ] “สามสิบล้าน” [ได้ครับ ผมจะรีบไป] หลังวางสายจากลูกน้องเขาก็กดโทรหาเพื







