จูฟางหรงสาวเท้าขึ้นรถม้าตามเขาไป ไม่นานทั้งสองก็เข้ามานั่งเผชิญหน้ากันอีกหนในรอบหลายสัปดาห์ กระทั่งล้อไม้เคลื่อนบดไปเบื้องหน้าตามรายทาง เสียงเล็กจึงเอ่ยเพื่อทำลายบรรยากาศ
“ท่านอ๋อง เราจะไปไหนกันหรือเพคะ”
“เจ้าอย่ามาทำไขสือหน่อยเลย ในเมื่อเจ้าเป็นพระชายาที่ฝ่าบาทเลือกมาเอง ยังไม่รู้อีกหรือว่าเราจะไปที่ใด”
จูฟางหรงยิ้มหวาน ทว่าในใจกลับลอบค่อนขอด
ข้าเป็นเทพเซียนกระมัง นอนป่วยอยู่ก็ล่วงรู้ทุกสิ่ง
“หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อ…”
นัยน์ตาคมปลาบตวัดมองเข้ม “เจ้าจะบอกว่าเป็นเพราะข้าจองจำเจ้างั้นหรือ”
แล้วไม่จริงหรือไง
“เปล่าเพคะ ก็หม่อมฉันไม่ได้สติถึงเจ็ดวัน จะทราบได้อย่างไรเล่าเพคะ”
“มารยาสาไถย”
จูฟางหรงอยากกรีดร้อง และฟาดแก้มของเขาให้เลือดกบปาก พร้อมสลักรอยนิ้วทั้งห้าเอาไว้ยิ่งนัก บางทีสุนัขจะได้กระเด็นออกมาเสียบ้าง
หลงโหย่วอี้เห็นจูฟางหรงนั่งเหม่อก็เอ่ยเสียงแข็ง
จูฟางหรงสาวเท้าขึ้นรถม้าตามเขาไป ไม่นานทั้งสองก็เข้ามานั่งเผชิญหน้ากันอีกหนในรอบหลายสัปดาห์ กระทั่งล้อไม้เคลื่อนบดไปเบื้องหน้าตามรายทาง เสียงเล็กจึงเอ่ยเพื่อทำลายบรรยากาศ“ท่านอ๋อง เราจะไปไหนกันหรือเพคะ”“เจ้าอย่ามาทำไขสือหน่อยเลย ในเมื่อเจ้าเป็นพระชายาที่ฝ่าบาทเลือกมาเอง ยังไม่รู้อีกหรือว่าเราจะไปที่ใด”จูฟางหรงยิ้มหวาน ทว่าในใจกลับลอบค่อนขอดข้าเป็นเทพเซียนกระมัง นอนป่วยอยู่ก็ล่วงรู้ทุกสิ่ง“หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อ…”นัยน์ตาคมปลาบตวัดมองเข้ม “เจ้าจะบอกว่าเป็นเพราะข้าจองจำเจ้างั้นหรือ”แล้วไม่จริงหรือไง“เปล่าเพคะ ก็หม่อมฉันไม่ได้สติถึงเจ็ดวัน จะทราบได้อย่างไรเล่าเพคะ”“มารยาสาไถย”จูฟางหรงอยากกรีดร้อง และฟาดแก้มของเขาให้เลือดกบปาก พร้อมสลักรอยนิ้วทั้งห้าเอาไว้ยิ่งนัก บางทีสุนัขจะได้กระเด็นออกมาเสียบ้างหลงโหย่วอี้เห็นจูฟางหรงนั่งเหม่อก็เอ่ยเสียงแข็ง
อรุณรุ่งมาเยือน วันนี้จูฟางหรงได้รับอิสระจากการปลดโซ่ตรวน และจูฟางหรงกำลังคิดหากลวิธีหลีกหนีจากการจองจำเดิมเป่าชุนใช้หวีไม้ขัดลายวิจิตรบรรจงสางผมอันนุ่มสลวยด้วยความเบามือ“พระชายา หลายวันมานี้ท่านคงอึดอัดแย่แล้ว ยามนี้ท่านอ๋องยินยอมพาท่านออกไปพักผ่อนนอกราชวัง ดูเหมือนท่านอ๋องคงโปรดปรานพระชายาแล้วนะเพคะ”จูฟางหรงยิ้มเยาะเสียงแผ่ว นัยน์ตาหงส์จดจ้องเงาสะท้อนบนคันฉ่องสีอำพัน “เป่าชุน เจ้าเลิกคิดเรื่องที่เขาโปรดปรานข้าได้เลย เจ้ารู้หรือไม่ข้าเกือบสิ้นใจต่อหน้าเขาทั้งที่ข้าอุตส่าห์ปกป้องเขา เขายังไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยข้าเลยสักนิด คนไม่รู้คุณคน”“แต่…”“พระชายาพร้อมหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”เสียงทุ้มดังขึ้นตัดบท จูฟางหรงและเป่าชุนจึงยุติบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้นเป่าชุนตอบกลับ “องครักษ์เฉิน อีกครู่จะตามไปนะเจ้าคะ”“ได้ แต่ตอนนี้ท่านอ๋องรอพระชายามาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว”เป่าชุนเบิกตากว้าง ส่วนจูฟางหรงยังมีท่าทีเรียบเฉย ไม่ตระหนกตื่นแต่อย่างใด นางเองก็อยากกลั่น
จูฟางหรงถูกคุมขังอยู่ในตำหนักรองหนึ่งสัปดาห์เต็ม หลังจากวันนั้นหลงโหย่วอี้แทบไม่โผล่หน้ามาพบนางเลยสักเสี้ยว เว้นเพียงส่งองครักษ์ของตนเข้ามาเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของจูฟางหรงอยู่ตลอด“พระชายาเสวยหน่อยนะเพคะ เดี๋ยวประชวรเอาได้”จูฟางหรงเบือนหน้าหนี เพราะไม่อาจยอมรับความจริงที่ตนต้องตกอยู่ในสภาพสุดอนาถ ต้องถูกอ๋องปีศาจล่ามโซ่ดั่งสุนัขตนหนึ่งตำแหน่งพระชายาอันไร้ประโยชน์นี้จูฟางหรงไม่ต้องการอีกต่อไป เขาข่มเหงกันมากไปหน่อยแล้ว สักวันนางจะหาหนทางหลบหนีจากกรงขังของเขาให้ได้“ข้าไม่หิว เอาออกไปเถิด”“แต่ท่านองครักษ์เฉินยังเฝ้าอยู่นะเพคะ หากพระชายาไม่เสวยเลยท่านอ๋องอาจเกิดโทสะได้”จูฟางหรงแค่นยิ้ม “เป็นเขาที่อยากให้ข้าตายไม่ใช่หรือเหตุใดต้องมาบังคับข้า หรือยังทรมานข้าไม่สาแก่ใจจึงไม่ปล่อยให้ข้าตาย ข้าจะอดข้าวประท้วงเขา เอาให้ตายกันไปข้าง!”เฉินกงที่ยืนเฝ้าหน้าประตูอย่างเงียบเชียบทอดถอนใจเขารู้ว่าหลงโหย่วอี้ทำเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้อง ทว่าสถานะของจูฟางหรงที่ได้สืบทราบมานางก็ถือเป็นก
ท่อนขาแกร่งสาวเท้าเข้ามาในตำหนักส่วนตัวของฮ่องเต้ สีหน้าของเขาเรียบเฉยเย็นชากระทั่งเข้ามาถึงด้านในก็พบกับบุรุษเรือนร่างกำยำ สวมเครื่องแต่งกายในสภาพหลุดลุ่ย“น้องรอง เจ้ามาแล้วหรือ”หลงโหย่วอี้ประสานมือค้อมศีรษะ “ถวายบังคมฝ่าบาท”จอกสุราในมืออีกฝ่ายถูกวางลง ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มพราวระยับ “ไม่ต้องมากพิธีถึงเพียงนั้น”หลงโหย่วอี้ลุกยืนเต็มความสูง หากไม่จำเป็นเขาไม่อยากเหยียบเข้ามาที่นี่แม้เพียงครึ่งก้าว เพราะหลงโหย่วอี้ทราบดีว่าพี่ชายของตน ต่อให้เป็นถึงฮ่องเต้ ทว่าเขาไม่เคยเอาใจใส่ดูแลราษฎรสักกระผีกริ้น ซ้ำยังละเลยการว่าราชการเป็นวรรคเป็นเวร ไม่เพียงเท่านั้นยังเคล้าสุรานารีขลุกอยู่ในตำหนักหรือไม่ก็ลอบออกไปหอโคมเขียวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยามนี้ก็เช่นกัน นางในทั้งหลายล้วนอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเปล่าล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด“น้องรอง สักหน่อยหรือไม่” ฮ่องเต้หลงอี้เซียวเอ่ยพร้อมหยิบจอกสุราขึ้นมาเป็นเชิงชักชวนหลงโหย่วอี้กวาดสายตามองบรรยากาศอึมครึมโดยรอบด้วยความระอิดระอา เหล่าสตรีต่าง
ดวงตะวันทอประกายเจิดจ้า ม่านโปร่งแสงปลิวไสวตามสายลมที่พัดโกรกเข้ามา สตรีร่างระหงนอนทอดกายอยู่บนเตียงนอนหนานุ่ม ปลายนิ้วเรียวกระดิกแผ่วเบาข้าตายอีกครั้งหรือยังนะเปลือกตาบางแง้มเปิดแช่มช้า นัยน์ตาหงส์กะพริบถี่เพื่อปรับม่านดวงตาให้เข้ากับบรรยากาศ“พระชายา ฟื้นแล้วหรือเพคะ”คิ้วสวยขมวดแน่น จูฟางหรงอยากเปล่งเสียง ทว่าเมื่อลองขยับปากกลับรู้สึกว่าลำคอช่างแห้งผากเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่อาจเปล่งเสียงจูฟางหรงจึงเลือกพยักหน้าเป็นคำตอบคิดว่าตายไปแล้วซะอีกจูฟางหรงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางอยากตายไปให้จบ ๆ จริงนั่นล่ะ เหตุใดปรโลกจึงไม่แง้มประตูต้อนรับนางเสียทีหรือนางเป็นคนบาปหนาแม้แต่นรกสวรรค์ก็ไม่มีใครต้องการ จูฟางหรงแอบคิดไม่ได้ว่าบางทีโลกหลังความตายอาจไม่น่ากลัวเท่ากับการที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับความเลวร้ายจากจิตใจคนดูเหมือนเหตุการณ์ยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น จูฟางหรงคงต้องหาทางอธิบายกับหอหงฮวา ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องคอยแถไถเพื่อเอาตัวรอดจากสวามีอีกเ
จูฟางหรงผละจากระเบียงเรือ หลงโหย่วอี้สังเกตบทสนทนาของสตรีทั้งสองอยู่ตลอดเพื่อรอจับพิรุธ ไม่นานร่างระหงก็ย่างกรายออกไปที่ลานด้านหน้าไม่ห่างจากเขามากนัก นัยน์ตาคมกริบปรายมองเรือนร่างระหงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าชิ! อย่าตาค้างแล้วกัน ข้าควรส่งสัญญาณให้พวกเขาสังหารท่านไปเสียเลยดีหรือไม่เสียงบรรเลงจากคงโหวดังขึ้นอีกครั้ง จูฟางหรงยอบกายลงแช่มช้า นางค่อย ๆ ร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย หลงโหย่วอี้ยังนั่งนิ่งประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็ง ทั้งที่ภายในใจของเขามันเต้นเร้าโครมคราม ไยนางจึงทำให้อกซ้ายเขามันคันยุบยิบอยู่เรื่อย จูฟางหรงทำราวกับนางมีเสน่ห์จิ้งจอกอยู่ บางคราก็ทำให้เขาเผลอไผลโดยไร้สาเหตุจูฟางหรงหมุนตัวเพื่อลอบสบตาสตรีบนเรือสำราญอีกฝั่ง นางสังเกตหาเงาของมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือลำนั้น ทำนองของดนตรีเริ่มเพิ่มจังหวะความเร็ว จูฟางหรงพยายามควบคุมลวดลายการวาดมือ และเคลื่อนไหวเรือนร่างอรชรเข้าใกล้หลงโหย่วอี้อย่างแนบเนียนเดิมทีหลงโหย่วอี้แทบไม่คิดเหลือบแลนางสักเสี้ยวเพราะกำลังเร่งสงบใจ แต่ยามนี้จูฟางหรงสามารถทำให้เขาต้องย้ายสายตามาชมการแสดงได้แ