ตอนที่
[3] เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์ “ไจ้หลิน!” นางเรียกบ่าวรับใช้เสียงดัง เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคล้ายยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “เร็วเข้า! เราต้องไปขอความช่วยเหลือ!” หลี่ซ่างเอินไม่รอช้า รีบโยนกระบี่ในมือทิ้งเข้าไปในพงหญ้าหนาทึบจนมองไม่เห็น จากนั้นก็จงใจใช้มือที่เปื้อนเลือดลูบใบหน้าของตนเองและไจ้หลินให้ดูมอมแมมและน่าเวทนายิ่งขึ้นไปอีก แล้วค่อยดึงทึ้งเสื้อผ้าของตนให้ขาดรุ่งริ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันไปจับไหล่ของไจ้หลินที่ยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่เขย่าเบา ๆ “ฟังข้านะไจ้หลิน” นางกระซิบเสียงรอดไรฟัน แต่แววตากลับจริงจังจนน่ากลัว “จากนี้ไป ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรหรือทำอะไร เจ้ามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือร้องไห้ ร้องไห้ให้ดูน่าสงสารที่สุด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่ร้องไห้แล้วพยักหน้าตามข้า เข้าใจหรือไม่!” คำสั่งที่แฝงมาในรูปแบบของคำพูดที่ตื่นตระหนกทำให้ไจ้หลินได้แต่พยักหน้ารับอย่างงุนงง “ดีมาก!” หลี่ซ่างเอินกล่าวจบก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นหวาดกลัวสุดขีดในทันที นางฉุดมือไจ้หลินให้วิ่งทะลุป่าออกมายังถนนสายหลัก ภาพแรกที่เห็นคือขบวนเดินทางอันโอ่อ่าและน่าเกรงขาม ทหารองครักษ์ในชุดเกราะสีเงินวาววับนับร้อยนายตั้งขบวนอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางคือรถม้าคันใหญ่ที่แกะสลักอย่างวิจิตร หรูหราเกินกว่าจะเป็นของขุนนางทั่วไป ธงสัญลักษณ์พยัคฆ์ขาวที่โบกสะบัดอยู่ทำให้หัวใจของหลี่ซ่างเอินเต้นระรัว... เซวียอ๋อง... ดี! ยิ่งใหญ่กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก! “หยุด! พวกเจ้าเป็นใคร!” ทหารองครักษ์แถวหน้าชักดาบออกมาทันทีที่เห็นสตรีสองนางในสภาพมอมแมมวิ่งพรวดพราดออกมาจากป่า ปลายดาบแหลมคมชี้มาที่พวกนาง ทำให้ไจ้หลินกรีดร้องด้วยความตกใจและทรุดตัวลงกับพื้นทันที ซึ่งนับว่าเป็นการแสดงที่สมจริงโดยไม่ต้องเสแสร้ง หลี่ซ่างเอินรีบทรุดกายนั่งลงไปกับพื้นเช่นกัน นางโอบกอดบ่าวรับใช้ไว้แน่น แสดงบทบาทของคุณหนูผู้บอบบางที่กำลังปกป้องคนของตนอย่างเต็มที่ นางเงยหน้าขึ้นมองเหล่าทหารด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “พวก... พวกเราหนีโจรมาเจ้าค่ะ! ได้โปรด... ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย” ในตอนนั้นเองที่หยางซานฉี รองแม่ทัพคนสนิทของเซวียอ๋องควบม้าออกมาดูสถานการณ์ด้วยตนเอง เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นสภาพของสตรีทั้งสอง “เจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด” “ข้า... ข้าชื่อหลี่ซ่างเอิน... เป็นบุตรสาวของรองเจ้ากรมพิธีการหลี่ซู่เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงสั่น “บุตรสาวของรองเจ้ากรมพิธีการหลี่ซู่เหตุใดจึงได้มาอยู่กลางป่ากลางเขาในสภาพเช่นนี้” หยางซานฉีเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางลอบประเมินสองสตรีตรงหน้า “เรากำลังจะไปไหว้พระ แต่... แต่ถูกโจรดักปล้น พวกมันฆ่าคนขับรถม้า... ช่วย... ช่วยพวกเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ ท่านผู้มีพระคุณ!” เสียงร้องขอความช่วยเหลือของหลี่ซ่างเอินเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดผวาอย่างแท้จริง นางจงใจเรียกพวกเขาว่า ‘ท่านผู้มีพระคุณ’ เพื่อแสดงให้เห็นว่านางไม่รู้จักยศถาบรรดาศักดิ์ของพวกเขา และเพียงแค่มองหาผู้มีเมตตาที่จะช่วยชีวิตเท่านั้น ภายในรถม้าพระที่นั่ง… ซ่งเว่ยหลิงนั้นได้ยินทุกอย่างชัดเจน คิ้วกระบี่ของเขาขมวดมุ่นด้วยความรำคาญใจ อีกแล้ว... คุณหนูตระกูลขุนนางที่สร้างเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจ เขาคิดอย่างเย็นชา “จัดการไล่ไปให้พ้นทาง” ก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย หยางซานฉีรับคำสั่ง กำลังจะเอ่ยปากไล่ แต่แล้วคนในรถม้าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปฏิกิริยาของสตรีผู้นั้น... นางไม่ได้พยายามชะเง้อมองมาทางรถม้า ไม่ได้แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นหรือมีจริตใด ๆ สายตาของนางมีเพียงความหวาดกลัวต่อคมดาบของทหารเท่านั้น เมื่อเห็นว่าเหล่าทหารยังคงนิ่งเฉย สีหน้าของหลี่ซ่างเอินก็แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์แบบ นางก้มหน้าลงซบกับไหล่ของไจ้หลิน เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังขึ้น “พวกเรา... คงจะรบกวนท่านแล้ว ไปเถิดไจ้หลินเราไปกันเถอะ...” นางทำท่าเหมือนจะพยุงตัวเองและบ่าวรับใช้ลุกขึ้น เพื่อเดินจากไปอย่างไร้จุดหมาย เป็นภาพของสตรีผู้น่าสงสารที่ถูกปฏิเสธความช่วยเหลือจนต้องยอมรับชะตากรรมอย่างไม่มีทางเลือกทว่า… “เดี๋ยวก่อน”ตอนที่ [7] พยัคฆ์ซ่อนเล็บ ไจ้หลินใช้เวลาไม่นานนักก็กลับมาถึงเรือนเล็กพร้อมกับห่อผ้าเล็ก ๆ ในมือ นางทำทุกอย่างตามที่คุณหนูสั่งอย่างระมัดระวังที่สุด และมอบห่อผ้าให้หลี่ซ่างเอินโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก หลี่ซ่างเอินเปิดห่อผ้าออกอย่างแผ่วเบา ภายในคือกล่องไม้เล็ก ๆ ที่บรรจุเข็มเงินเนื้อดีสิบกว่าเล่ม แต่ละเล่มบางเฉียบและแวววาวกว่าเข็มเงินทั่วไป มันคือเครื่องมือชั้นดีที่จะใช้ขัดขวางแผนการร้ายของสองแม่ลูกอสรพิษ นางเก็บกล่องเข็มเงินไว้ในที่ลับอย่างดี ก่อนจะหันมามองไจ้หลินที่ยืนรอคำสั่งอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ไจ้หลิน จากนี้ไป อาหารทุกอย่างที่มาจากครัวใหญ่ หรือที่ถูกส่งมาจากเรือนของฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่ เจ้าจะต้องนำมาให้ข้าตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ห้ามให้ข้ากินหรือดื่มอะไรโดยที่ข้ายังไม่ได้อนุญาตเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะคุณหนู!” ไจ้หลินรับคำอย่างหนักแน่น แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็รู้ว่าคุณหนูต้องกำลังป้องกันตัวจากอันตรายบางอย่างเป็นแน่ “ดีมาก” หลี่ซ่างเอินพยักหน้าอย่างพอใจ นางรู้ดีว่าแผนการวางยาพิษจะต้องเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน เพราะสองแม่ลูกนั่นคงทนรอให้นางมีชีวิตที่ดีต่อไป
ตอนที่[6]หมากตัวแรกในกระดานเมื่อกลับมาถึงเรือนเล็กของตนเอง หลี่ซ่างเอินก็รีบสั่งให้ไจ้หลินไปต้มน้ำอาบทันที นางต้องการชำระล้างคราบเลือดและกลิ่นคาวสกปรกออกไปให้หมดสิ้น ขณะแช่กายอยู่ในถังไม้หอมกรุ่น ความคิดของนางก็แล่นไปไกลถึงแผนการในอนาคตการเผชิญหน้ากับสองแม่ลูกอสรพิษเมื่อครู่ทำให้นางมั่นใจว่าพวกมันจะต้องลงมืออีกครั้งในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลี่ซวงอี๋... พี่สาวผู้แสนดีของนางหลี่ซ่างเอินแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ นางรู้ดีว่าเหตุใดหลี่ซวงอี๋จึงร้อนรนอยากจะกำจัดนางนักหนา อีกไม่ถึงสามเดือนข้างหน้า คือวันมงคลที่พี่สาวของนางจะได้แต่งเข้าตำหนักองค์ชายรองซ่งซือเหยียน แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งพระชายารอง แต่สำหรับหลี่ซวงอี๋ผู้ทะเยอทะยาน มันคือก้าวแรกสู่การเป็นใหญ่ในวังหลังด้วยนิสัยขี้อิจฉาและหวาดระแวงเป็นทุนเดิม หลี่ซวงอี๋ย่อมไม่อาจทนเห็นน้องสาวต่างมารดาที่งดงามกว่าตนยังคงอยู่ในจวนได้ แม้บิดาจะดูเมินเฉย แต่ลึก ๆ แล้วหลี่ซู่ก็ยังคงมีความรู้สึกผิดต่อมารดาของนางอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหาคู่ครองที่ดีพอสมควรให้นางเพื่อเป็นการไถ่โทษ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลี่ซวงอี๋ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!กา
ตอนที่[5]สองแม่ลูกอสรพิษหลี่ซ่างเอินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ปรับเปลี่ยนสีหน้าจากเยือกเย็นกลับมาเป็นคุณหนูผู้อ่อนแอและตื่นกลัวในชั่วพริบตา นางหันไปพยักหน้าให้ไจ้หลิน ก่อนจะเดินออกจากเรือนเพื่อไปยังเรือนใหญ่ของฮูหยินใหญ่ระหว่างทาง นางจงใจเดินก้มหน้าก้มตา ตัวสั่นเล็กน้อยราวกับยังขวัญเสียไม่หาย ทำให้บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างลอบมองด้วยความสงสัยระคนสมเพชเมื่อมาถึงโถงรับรองของเรือนใหญ่ ก็พบหลี่ฮูหยินหรือหวังฮุ่ยจี้และหลี่ซวงอี๋นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เห็นสภาพมอมแมมเปรอะเปื้อนเลือดของหลี่ซ่างเอิน สองแม่ลูกก็รีบปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความ ‘ตกใจ’ และ ‘เป็นห่วง’ อย่างถึงที่สุด“เอินเออร์! นี่มันเกิดอะไรขึ้น! เหตุใดเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้!” หลี่ซวงอี๋เป็นคนแรกที่เปิดฉากละคร นางคว้าแขนของน้องสาวไว้แน่น ดวงตางามเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พลางสำรวจร่างกายน้องสาวอย่างรวดเร็วหลี่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น “แล้วพวกโจรเล่า เหตุใดเจ้าถึงกลับมาได้ แล้วรถม้าของเจ้าเล่าอยู่ที่ใด”คำถามที่ยิงมารัว ๆ นั้นแฝงไปด้วยความคาดคั้นอยู่ในที สองแม่ลูกต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะเห็นผลงานชิ้นเอกของพวกนางโดยที่ไม่ได้เอ
ตอนที่[4]สตรี(ซื่อ)บื้อในสายตาพยัคฆ์ทันทีที่ประตูรถม้าปิดลง หลี่ซ่างเอินก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ร่างที่เคยสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวพลันกลับมานิ่งสงบในทันที นางปล่อยมือจากไจ้หลินแล้วเอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลายไจ้หลินมองผู้เป็นนายด้วยความสับสนระคนทึ่ง “คุณหนู... เมื่อครู่นี้... ท่าน...”“ชู่ว...” หลี่ซ่างเอินยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้เงียบเสียงลง นางเหลือบมองไปนอกหน้าต่างเล็กน้อย แม้จะอยู่ท้ายขบวนแต่ก็ไม่อาจประมาทได้ “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอธิบาย รอให้เรากลับถึงจวนก่อน”ไจ้หลินได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เมื่อเห็นแววตาที่นิ่งสงบและเฉียบคมของคุณหนูของตน นางก็รู้สึกได้ถึงความน่าเชื่อถือและปลอดภัยอย่างประหลาด ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงความอยากรู้อยากเห็นว่าคุณหนูของนางจะทำสิ่งใดต่อไปขบวนเดินทางเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนตามสองข้างทางต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องต้อนรับเซวียอ๋อง แต่ไม่มีผู้ใดสนใจรถม้าคันเล็กซอมซ่อที่อยู่ท้ายขบวน ซึ่งนั่นเป็นไปตามที่หลี่ซ่างเอินต้องการเมื่อขบวนเดินทางมาถึงหน้าจว
ตอนที่[3]เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์“เดี๋ยวก่อน”เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังออกมาจากรถม้าพระที่นั่ง แม้จะราบเรียบ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจจนทำให้ทุกคนต้องหยุดการกระทำทั้งหมดหลี่ซ่างเอินชะงักฝีเท้า นางแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองอย่างช้า ๆ หัวใจเต้นระรัวด้วยความลิงโลด แต่นัยน์ตากลับแสดงออกเพียงความสับสนและมีความหวังริบหรี่ม่านรถม้าถูกเลื่อนเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ภายใน แสงแดดสาดส่องขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนของเขาดูเจิดจ้าจนน่าพรั่นพรึง รัศมีแห่งความสูงศักดิ์และเย็นชาแผ่ออกมาจนอากาศรอบกายดูจะหนาวเหน็บลงถนัดตาวินาทีที่ได้สบตากับเขา หลี่ซ่างเอินก็แสร้งทำเป็นหยุดหายใจไปชั่วขณะ นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงต่ำทันที ไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ ปฏิกิริยานั้นดูเหมือนการก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวต่อบุรุษแปลกหน้าผู้ทรงอำนาจอย่างแท้จริงซ่งเว่ยหลิงหรี่ตามองภาพนั้นอย่างพิจารณา “หยางซานฉี ส่งคนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ”“พ่ะย่ะค่ะ!” หยางซานฉีรับคำและส่งสัญญาณให้ทหารสองนายควบม้ากลับไปทางที่สตรีทั้งสองวิ่งออกมาทันทีสายตาเย็นชาของซ่งเว่ยหลิงกวาดมองร่างที่เปื้
ตอนที่[3]เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์“ไจ้หลิน!” นางเรียกบ่าวรับใช้เสียงดัง เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคล้ายยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “เร็วเข้า! เราต้องไปขอความช่วยเหลือ!”หลี่ซ่างเอินไม่รอช้า รีบโยนกระบี่ในมือทิ้งเข้าไปในพงหญ้าหนาทึบจนมองไม่เห็น จากนั้นก็จงใจใช้มือที่เปื้อนเลือดลูบใบหน้าของตนเองและไจ้หลินให้ดูมอมแมมและน่าเวทนายิ่งขึ้นไปอีก แล้วค่อยดึงทึ้งเสื้อผ้าของตนให้ขาดรุ่งริ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันไปจับไหล่ของไจ้หลินที่ยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่เขย่าเบา ๆ“ฟังข้านะไจ้หลิน” นางกระซิบเสียงรอดไรฟัน แต่แววตากลับจริงจังจนน่ากลัว “จากนี้ไป ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรหรือทำอะไร เจ้ามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือร้องไห้ ร้องไห้ให้ดูน่าสงสารที่สุด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่ร้องไห้แล้วพยักหน้าตามข้า เข้าใจหรือไม่!”คำสั่งที่แฝงมาในรูปแบบของคำพูดที่ตื่นตระหนกทำให้ไจ้หลินได้แต่พยักหน้ารับอย่างงุนงง“ดีมาก!” หลี่ซ่างเอินกล่าวจบก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นหวาดกลัวสุดขีดในทันที นางฉุดมือไจ้หลินให้วิ่งทะลุป่าออกมายังถนนสายหลักภาพแรกที่เห็นคือขบวนเดินทางอันโอ่อ่าและน่าเกรงขาม ทหารองครักษ์ในชุดเกราะสีเงินวาววับนับร้อยนายตั้งขบวนอย่างเป็นระ