LOGIN
ร่างผอมบางในชุดราตรีตื่นขึ้นมาบนแคร่ไม้ไผ่อย่างสลึมสลือที่เกิดจากฤทธิ์ยาสลบ พอเธอหันไปมองรอบๆ ก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน "ที่นี่ที่ไหนกัน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" หญิงสาวถามตัวเองในใจแล้วพยายามนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ และพอเธอเริ่มมีสติจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรก็รีบลุกจากแคร่ไม้ไผ่อย่างไม่ทันระวังตัวจนโซ่เส้นเล็กที่ติดอยู่กับข้อเท้าดังกระทบกับพื้น
“ตายแล้ว!”หญิงสาวอุทานพร้อมกับเอามือปิดปากด้วยความตกใจเมื่อรู้ตัวว่าได้ทำพลาดจนอาจทำให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยินเข้า “กึกๆๆ”และก็เป็นจริงอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้เมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินขึ้นมาบนกระท่อมหลังเล็ก หัวใจดวงเล็กเต้นตุบๆเมื่อเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันดังจนถึงหน้าประตูหญิงสาวจึงค่อยๆโน้มตัวลงนอนอย่างระมัดระวังก่อนจะแกล้งสลบ “ที่แท้ก็หูฟาดไปนี่เอง”เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาแล้วพบกับร่างผอมบางที่ยังคงนอนแน่นิ่งจึงค่อยๆเดินเข้าหาเธอที่ในตอนนี้เริ่มมีเหงื่อซึมตามไรผม “Rrrr.. ในขณะที่ชายหนุ่มย่อตัวลงแล้วกำลังจะสัมผัสตัวหญิงสาว จู่ๆก็มีสายเรียกเข้าที่ดังมาจากกระเป๋ากางเกง ร่างสูงโปร่งตัดสินใจลุกขึ้นยืนจากนั้นก็รีบนำโทรศัพท์ที่ดังอย่างต่อเนื่องออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างพึงพอใจพร้อมกับยิ้มตรงมุมปากก่อนจะกดปุ่มวางสายทันที “นั่นมันโทรศัพท์ฉัน!”ส่วนทางด้านหญิงสาวที่แกล้งสลบได้ไม่นานก็รีบลุกขึ้นเพื่อแย่งโทรศัพท์จากชายหนุ่มเมื่อได้ยินสายเรียกเข้าที่คุ้นเคย “คิดว่าฉันโง่จนดูไม่ออกรึไงว่าเธอกำลังแกล้งสลบ”ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกแขนขึ้นสูงจนหญิงสาวไม่สามารถเอื้อมโทรศัพท์ของตัวเองได้ “พ่อคะ พ่อช่วยหนูด้วย พ่อต้องมาช่วยหนูนะ”หญิงสาวตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นพ่อผ่านโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของชายหนุ่มด้วยท่าทีร้อนรน “ตะโกนให้ตายพ่อของเธอก็ไม่มีวันได้ยินหรอกเพราะฉันไม่ได้รับสายตั้งแต่แรก”ชายหนุ่มกล่าวอย่างต้องการเยาะเย้ยพร้อมกับนำโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกง จากนั้นเขาก็อุ้มหญิงสาวกลับไปไว้ที่แคร่ไม้ไผ่แล้วนำเทปกาวที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้จะจัดการมือมัดเท้าของเธอ และก่อนชายหนุ่มจะเดินจากไปเขาก็ไม่ลืมที่จะจัดการปิดปากของหญิงสาวเพื่อกันไม่ให้เธอส่งเสียงโวยวาย ในขณะที่ชายร่างสูงกำลังจะพ้นประตูออกไปแววตาคู่สวยก็มองตามหลังเขาอย่างสิ้นหวังจนน้ำตาคลอเบ้า เมื่อชายหนุ่มเดินพ้นกระท่อมหลังเล็กไปแล้วจึงนำโทรศัพท์ที่ดังอย่างต่อเนื่องออกมาจากกระเป๋ากางเกง “สวัสดีครับ”ชายหนุ่มเริ่มบทสนทนาด้วยการกล่าวทักทายคนปลายสายอย่างสุภาพด้วยสีหน้าของคนที่ถือไผ่เหนือกว่า “แกเป็นใคร!แล้วลูกสาวฉันอยู่ที่ไหน?”ก่อนหน้าผู้เป็นพ่อกระวนกระวายเมื่อออกตามหาลูกสาวจนทั่วงานแล้วไม่พบ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังปิดเครื่องมือติดต่อสื่อสาร ในขณะที่เขาเตรียมจะโทรแจ้งตำรวจจู่ๆก็มีข้อความเด้งกลางหน้าจอว่าสามารถติดต่อหมายเลขปลายทางได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้เป็นพ่อไม่คิดรอช้าจึงรีบโทรหาลูกสาวในทันที แต่แล้วอีกฝ่ายกลับตัดสายทิ้งจนเขายิ่งมั่นใจว่ามีต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับลูกสาวอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงกระหน่ำโทรหาลูกสาวแบบรัวๆ และทันทีที่ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงชายปริศนามันยิ่งทำให้เขาแสดงอาการบ้าคลั่ง “คุณอยากรู้จริงๆหรอว่าผมเป็นใคร” “บอกมาว่าแกต้องการอะไร ต้องการเงินเท่าไหร่”ชายผู้เป็นพ่อถามคนที่ลักพาตัวลูกสาวของเขาด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างเห็นได้ชัด “ผมบอกคุณเมื่อไหร่ว่าต้องการเงิน”ส่วนอีกฝ่ายที่เห็นดังนั้นก็แสดงสีหน้าพึงพอใจ “ถ้าไม่ต้องการเงินแล้วแกต้องการอะไร” “ต้องการลูกสาวคุณ” “ไอ่โจรโรคจิต ไอ่สารเลว! ฉันจะเอาตำรวจไปลากคอแกมาเดี๋ยวนี้”ชายผู้เป็นพ่อของหญิงสาวเริ่มคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จึงกะโกนด่าชายคนที่ลักพาตัวลูกสาวเขา “ถ้าเรื่องนี้ถึงหูตำรวจเมื่อไหร่ คุณจะได้เห็นลูกสาวอีกครั้งในร่างที่ไร้วิญญาณแน่”ชายหนุ่มข่มขู่บุคคลที่อยู่ปลายสายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วทำไมต้องเป็นลูกสาวฉันด้วย”ชายผู้เป็นพ่อของหญิงสาวพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเพื่อเจรจาต่อรองกับชายปริศนาที่ลักพาตัวลูกสาวของเขาอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่เขาพอทำได้ “ก็เพราะลูกสาวของคุณทั้งขาวทั้งสวยแถมขาเรียวยาวของเธอนั้นช่างเย้ายวนชวนให้เกิดอารมณ์อย่างไม่อาจห้ามใจได้”ชายหนุ่มโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราวกับชายโรคจิตเพื่อยั่วยุให้อีกฝ่ายเกิดอารมณ์คลุ้งคลั่ง และมันก็ได้ผลอย่างที่เขาคาดหวัง “ไอ่ชาติชั่ว! ถ้าแกกล้าทำอะไรลูกสาวฉันแม้แต่นิดเดียวฉันจะส่งแกลงนรกแน่”ชายผู้เป็นพ่อของหญิงสาวข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับกัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น “คุณคงคิดว่าตัวเองสามารถส่งใครก็ได้ลงนรกเหมือนกับที่เคยทำกับพี่สาวผมอ่ะหรอ”ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรีบเฉลยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองทั้งที่ก่อนหน้าตั้งใจจะไม่บอกอีกฝ่าย “แกพูดเรื่องอะไรของแกฉันไม่เข้าใจ” “คุณทำอะไรกับใครไว้ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ” “ไม่ ฉันไม่เคยฆ่าใคร และถ้าแกคิดแบบนั้นมันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิด” “งั้นช่วยบอกผมทีว่าใครเป็นคนฆ่าพี่สาวผม” “แกพูดเรื่องอะไรของแกวะ!”ชายวัยห้าสิบต้นๆที่เริ่มหมดความอดทนจึงตะโกนด่าคนที่อยู่ปลายสายผ่านโทรศัพท์อย่างไม่อาจข่มอารมณ์เอาไว้ได้ “แล้วเมื่อไหร่คุณจะเลิกเสแสร้งทำเหมือนไม่เคยสั่งเก็บคนมาก่อน” “ไม่ ฉันไม่เคยฆ่าใครและไม่เคยสั่งเก็บใครด้วย” “นี่คุณกำลังปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนสั่งฆ่าพี่สาวผมสินะ” “ใครพี่สาวแก บอกมาสิวะว่าใครคือคนที่แกกำลังพูดถึง” “อันดา คราวนี้คุณยังจะปฏิเสธอยู่มั้ยว่าไม่รู้จักเธอ” “ไม่จริง พี่สาวแกฆ่าตัวตายเอง” “อย่ามาปากแข็งหน่อยเลย” “ก็หล่อนฆ่าตัวตายจริงๆจะให้ฉันพูดว่ายังไง” “พี่สาวผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย เธอถูกฆาตกรรม และคุณรู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรกับเธอไว้” “พูดบ้าอะไรของแก ฉันบอกไม่ได้ทำก็คือไม่ทำและไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้นด้วย” “ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานคุณก็ยังทำเป็นผู้ร้ายปากแข็งอยู่ตลอดเวลา” “แล้วมีหลักฐานอะไรที่ชี้ว่าฉันเป็นคนฆ่าพี่สาวแก” “ไอ่หลักฐานอ่ะผมมีอยู่แล้ว”ชายหนุ่มกล่าวอย่างมั่นใจในหลักฐานที่ตัวเองมี ซึ่งมันก็มีมูลมากพอที่จะชี้ชัดว่าพี่สาวของเขานั้นไม่ได้ฆ่าตัวตายอย่างที่ใครๆคิด “ถ้าแกมีหลักฐานแล้วทำไมถึงไม่เอาไปมอบให้ตำรวจเลยหล่า” “ก็เพราะมันจะมีตำรวจชั่วๆแอบแฝงอยู่ทั่วทุกสำนักงาน ดังนั้นผมจึงรู้ดีว่าหลักฐานพวกนี้คงไมไม่่มีประโยชน์อะไร และมันอาจจะทำให้ผมตกอยู่ในอันตรายก็ได้ดังนั้นผมจึงรอเวลานี้มานานแสนนาน” “พูดบ้าอะไรของแกวะ! ฉันบอกไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำและอย่าเอาลูกสาวฉันเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!” “ถ้าคุณยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการตายของพี่สาวผม งั้นก็หาตัวฆาตกรมาให้ได้แล้วเราค่อยมาคุยกัน” “ได้ ฉันจะช่วยสืบหาฆาตกรมาให้แก แต่มีข้อแม้คือต้องปล่อยตัวลูกสาวฉันออกมาก่อน “หึ ปล่อยก็โง่แล้ว” “งั้นแกต้องสัญญากับฉันก่อนว่าจะไม่ทำอะไรลูกสาวฉัน” “ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำตามข้อตกลงระหว่างเราหรือเปล่า” “ข้อตกลงอะไร” “ห้ามให้เรื่องนี้ถึงหูตำรวจเด็ดขาด ไม่งั้นผมไม่รับรองความปลอดภัยของลูกสาวคุณ”แม้ชายหนุ่มมั่นใจว่าคนที่อยู่ปลายสายนั้นเป็นฆาตกรแต่เขาก็เลือกที่จะยื้อเวลาตามแผนการที่ตัวเองได้วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ “ได้ ฉันจะทำตามที่แกขอ” “งั้นได้ตัวฆาตกรเมื่อไหร่ค่อยติดต่อมา”พูดจบเขาก็ตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องทันที “โถ่โว้ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!”ชายวัยห้าสิบต้นๆแสดงอาการหัวร้อนเมื่อไม่สามารถติดต่อหาอีกฝ่ายได้“นายไม่ไปทำงานตั้งหลายวันแล้วไม่กลัวโดนไล่ออกหรอ”หญิงสาวตัดสินใจถามในสิ่งที่สงสัยเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ไปทำงานติดต่อกันได้สี่วันถ้านับวันที่เขาลาด้วย“ก็ลาออกไปแล้ว”ชายหนุ่มเงยหน้าตอบหญิงสาวในขณะที่เขากำลังประคบเย็นตรงข้อเท้าให้กับเธอ“ห๊า นายพูดจริงหรือพูดเล่น”หญิงสาวแสดงสีหน้าตกใจเมื่อได้รู้ความจริงว่าชายหนุ่มได้ลาออกจากงานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่ปักใจเชื่อ“พูดจริง”ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ“นี่ฉันทำนายตกงานหรอ ขอโทษ”“ถ้าฉันไปทำงานแล้วใครจะดูแลเธอ กว่าข้อเท้าเธอจะหายคาดว่าต้องใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์”“ต่อไปฉันจะไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อนอีก”“ช่างมันเถอะ แค่เธอไม่เป็นอะไรมากก็ดีแค่ไหนแล้ว”“ทำไมนายดูเป็นห่วงเป็นใยฉันทั้งที่มันไม่ควรเป็นแบบนั้นนี่”ตลอดระยะสองวันที่ผ่านมาชายหนุ่มดูแลเอาใจใส่หญิงสาวในยามที่เธอมีไข้และคอยประคบเย็นให้เธอทุกวันแถมยังอุ้มเธอห้องน้ำวันละหลายรอบอย่างไม่มีบ่น นั่นจึงทำให้หญิงสาวเกิดความสงสัยว่าเขาทำดีกับเธอไปเพื่ออะไร “ที่ฉันเป็นห่วงเธอและดูแลเธอเป็นอย่างดีก็เพราะว่าฉันรู้สึกผิดที่ทำเธอเจ็บตัว”“ไม่ นายอย่าคิดแบบนั้น”“ทำไมถึงไม่อยากให้ฉันคิดแบบน
ชายหนุ่มพยายามเร่งมือในการซ่อมแซมหลังคาเพื่อที่จะได้กลับมาดูแลหญิงสาวต่อ แต่แล้วเขากลับพบว่าเธอนั้นได้หลับไปแล้ว “ทำไมมันปวดขนาดนี้เนี่ย!”หญิงสาวตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บปวดจากการที่ข้อเท้าของเธอเริ่มบวมช้ำ “ตื่นสักที แล้วนี่เธอหิวหรือยัง อาการเป็นยังไงบ้าง”เมื่อชายหนุ่มรู้ว่าหญิงสาวตื่นแล้วจึงรีบกลับเข้ามาในห้องจากนั้นเขาก็รีบเข้าไปดูข้อเท้าข้างที่ได้รับบาดเจ็บ“มันเจ็บกว่าเดิมอีก”หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหลออกมา“เดี๋ยวฉันจะไปเอานำแข็งมาประคบให้อีกรอบ”พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาหาหญิงสาวอีกครั้งพร้อมกับถือชามข้าวกับน้ำแข็งที่ถูกห่อด้วยผ้า “เธอทานข้าวไข่เจียวไปก่อนเดี๋ยวฉันจะคอยประคบข้อเท้าให้”ชายหนุ่มยื่นข้าวไข่เจียวที่อยู่ในจานให้หญิงสาวก่อนที่เขาจะค่อยๆนั่งคุกเข่าเพื่อทำการประคบเย็นข้อเท้าข้างที่บวม“ไม่ต้อง เดี๋ยวทานข้าวเสร็จฉันจะประคบเอง”ส่วนหญิงสาวที่เห็นดังนั้นจึงรีบปฏิเสธไม่ให้ชายหนุ่มประคบเย็นให้“เจ็บเอวด้วยไม่ใช่หรอ ถ้าก้มบ่อยๆมันจะยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่”ชายหนุ่มให้เหตุผลที่ไม่ต้องการให้หญิงสาวประคบเย็นด้วยตัวเองหญิงสาวนั่งตัวตรงแล
“โอม มานั่งพักได้แล้วเดี๋ยวก็เป็นลมตายพอดี”ผู้เป็นพี่สาวตะโกนบอกน้องชายวัยสิบห้าที่กำลังพรวนดินอย่างขยันขันแข็ง“พี่อันพักคนเดียวเถอะ เดี๋ยวน้องจะพยายามพรวนดินให้เสร็จเราจะได้กลับบ้านไวๆ”“แต่ว่าโอมยังไม่ได้พักเลยทั้งที่พี่มานั่งพักแล้วตั้งสองรอบ”“ก็พี่เป็นผู้หญิงส่วนผมเป็นผู้ชาย อีกอย่างผมไม่อยากให้พี่เหนื่อย”ผู้เป็นพี่สาวทราบซึ้งในความเสียสละของน้องชายดังนั้นเธอจึงจัดสินใจออกไปช่วยผู้เป็นน้องเพื่อที่จะให้งานเสร็จไวๆแล้วน้องชายของเธอจะได้พัก และสองพี่น้องก็ช่วยกันทำงานกลางทุ่งนาโดยปราศจากเงาของผู้เป็นแม่ที่วันๆเอาแต่กินเหล้าและออกไปเล่นการพนันจนสองพี่น้องต้องดูแลกันเพียงลำพัง “ถ้าพี่ไม่เอาอนาคตตัวเองมาทิ้งไว้กับผม ป่านนี้พี่คงได้ไปเป็นดาราไปแล้ว”ผู้เป็นน้องอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษตัวเองเมื่อเห็นว่าพี่สาวมีโอกาสหลายครั้งที่จะได้ไปเป็นดาราแต่พี่สาวของเขากลับปฏิเสธ“การจะเป็นดาราได้มันไม่ง่ายขนาดนั้น อีกอย่างเรามีกันแค่สองคนพี่ไม่อยากทิ้งโอมไว้กับแม่ ถ้าโอมอยู่กับแม่พี่กลัวว่าโอมจะไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด”ส่วนผู้เป็นพี่สาวก็ให้เหตุผลกับน้องชายอย่างต้องการให้น้องชายเข้าใจเธอ“ไม่หรอกพี่ ผ
เช้าวันรุ่งขึ้น..“ตื่นได้แล้ว!”“ฉันเพิ่งได้นอนไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”กว่าอาการปวดท้องของหญิงสาวทุเลาก็ปาไปเช้ามืดของอีกวันและนั่นจึงส่งผลให้เธอนอนไม่เต็มอิ่ม “ฉันไม่สน”พูดจบเขาก็ลากหญิงสาวลุกจากที่นอน“เดี๋ยวฉันไปเอง”หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงเบาก่อนที่เธอจำใจลงไปหุงข้าวเช้าให้เขาตามปกติแม้จะอยากนอนต่อก็ตาม ความลำบากที่หญิงสาวพบเจอทำให้เธอคิดถึงชีวิตที่สุขสบาย เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้น้ำตาคลอ “วันนี้ฉันกลับดึกนะ พอดีต้องไปงานวันเกิดเพื่อน”ชายหนุ่มกล่าวกับหญิงสาวก่อนจะเดินจากไป ส่วนหญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็ทำได้แค่พยักหน้ารับทราบแม้จะไม่เห็นด้วยกับเขาก็ตาม และพอรถกระคันเก่าขับแล่นออกไปแล้ว หญิงสาวจึงรีบซักผ้าต่อให้มันแล้วเสร็จจากนั้นเธอก็กลับขึ้นไปบนห้องพร้อมกับลากโซ่เล็กเส้นสาวขึ้นไปด้วย เมื่อถึงที่นอนร่างเล็กไม่รอช้าที่จะทิ้งตัวนอนลงด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียจากการที่เธอพักผ่อนไม่เพียงพอ ใกล้ค่ำหญิงสาวก็ปิดประตูหน้าต่างแล้วนอนคดตัวโดยที่เอาผ้าห่มคลุมหัวจรดเท้า เธอรอคอยให้ชายหนุ่มกลับมาแต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีวี่แววของเขาจนกระทั่งตกดึกเกือบเที่ยงคืน เสียงรถกระบะอันคุ้นเคยทำให
เช้าวันต่อมา..“กรี๊ด!”เสียงกรีดร้องของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มตกใจจนวิ่งออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ยังไม่ทันได้แปรงฟัน“เกิดอะไรขึ้น?”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังฝึกหุงข้าวด้วยตัวเอง แต่โชคร้ายโดนน้ำซาวข้าวลวกใส่แขน“น้ำแข็งๆขึ้นไปเอาน้ำแข็งมาให้ฉันหน่อย”หญิงสาวยื่นแขนที่โดนน้ำซาวข้าวร้อนๆลวกให้ชายหนุ่มดู ส่วนเขาที่เห็นดังนั้นจึงวิ่งขึ้นไปหยิบน้ำแข็งจากบนบ้านจากนั้นเขาก็ค่อยๆประคบน้ำแข็งบริเวณแผลที่บวมแดงของหญิงสาว “ฮือๆๆๆฉันเจ็บ”หญิงสาวร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อยเมื่อไม่สามารถทนต่อความรู้สึกแสบร้อนบริเวณแขน ส่วนชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นจึงพาเธอขึ้นไปบนห้อง “ร้องไห้เป็นเด็กไปได้”ชายหนุ่มกล่าวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเรียบๆในขณะที่กำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับเธอ“ก็มันทั้งเจ็บทั้งแสบร้อน ใครมันจะไปทนได้”หญิงสาวกล่าวด้วยความน้อยใจ“ก็เข้าใจว่ามันปวดแสบแต่ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งขนาดนั้น”ส่วนชายหนุ่มแม้จะบ่นกับหญิงสาวแต่ในใจลึกๆเขาก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้เช่นกัน“แล้วใครกันที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้”หญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งน้อยใจเข้าไปใหญ่จนอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษเขาแบบทางอ้อม“ฉันไม่ได้เอา
ณ กระท่อมหลังน้อย“นายซื้ออะไรมาเยอะแยะเต็มรถเลย”หญิงสาวถามชายหนุ่มด้วยความสงสัยเมื่อเห็นข้าวของเต็มท้ายกระบะ “ก็เห็นอยู่ว่าของเยอะทำไมถึงได้นั่งดูเฉยๆไม่คิดจะช่วยกันขนของเข้าบ้าน”“ก็เดี๋ยวนายจะหาว่าฉันยุ่งเลยขออยู่เฉยๆดีกว่า อีกอย่างฉันโดนล่ามโซ่อยู่”เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าใกล้ค่ำแล้วเขาจึงตัดสินใจไขกุญแจให้หญิงสาว จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันขนของที่อยู่ท้ายกระบะเข้าไปไว้ในบ้าน และในขณะที่ชายหนุ่มยกฟูกที่นอนเข้าไปไว้ในบ้านอย่างทุลักทุเลหญิงสาวจึงใช้โอกาสนั้นแอบหยิบกุญแจรถกระบะคันเก่าอย่างระมัดระวังไม่ให้เขารู้ตัว เมื่อได้กุญแจมาแล้วเธอก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีค่อยๆไขประตูรถกระบะ ส่วนชายหนุ่มที่จัดการวางฟูกที่นอนบนแคร่ไม้ไผ่เสร็จก็รีบเดินออกจากห้องเพื่อช่วยหญิงสาวขนของต่อ แต่แล้วเขาก็พบว่าเธอกำลังพยายามจะสตาร์ทรถยนต์เพื่อหนี “ให้ตายเถอะมันขับยังไงเนี่ย!”หญิงสาวหายใจเข้าออกลึกๆแล้วตั้งสติเพื่อคิดหาวิธีสตาร์ทรถกระบะคันเก่า โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากระกระทำของเธอนั้นอยู่ในสายตาของเขา “ให้ฉันสอนวิธีสตาร์ทมั้ย”ชายหนุ่มเปิดประตูรถออกแล้วยืนดูการกระทำของเธออย่างใจเย็น “ไอ่บ้า! ฉันตกใจหมด”ส่วนหญิง







