ログインกล้ามเนื้อหน้าท้องแบนราบเรียบขมวดมุ่น สั่นสะท้านไหวยะเยือกไปทั้งกาย ทั้งความเย็นราวถูกเกล็ดหิมะพัดมาแตะต้องเรือนกายพร้อมกับไฟร้อนผ่าวโอบรายรอบ ก้อนเนื้อนุ่มไหวราวต้นหญ้าที่โบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามกระแสลม ปลายยอดทับทิมหดเกร็งตามเรียวลิ้นอุ่นชื้นที่ลากไล้ทั่ว
“ไม่นะคุณ! หยุด ฉันยอมแล้ว” สายน้ำผึ้งเอ่ยตอบไปอย่างลนลาน รับปากไปก่อน เพื่อพาตัวออกจากเหตุระทึกชวนหวั่นไหวพาทำอะไรไม่ถูกนี่แล้วค่อยหนี แต่นั่นต้องเป็นหลังจากที่เธอเอาคืนไอ้ผู้ชายสารเลว ที่ยังไม่ทันฟังอะไรก็ยัดเยียดข้อกล่าวหาที่ไม่ได้ทำให้หน้าด้านๆ
“มาพูดตอนนี้ มันสายไปแล้วล่ะ...เผอิญฉันกำลังมีความต้องการ อยากสนองความ...!”
สายน้ำผึ้งน้ำตาตกไหลย้อนกลับไปในอก มีคนไม่ชอบมากมายที่พูดจาหยาบคายใส่หน้า แต่ไม่เคยถึงขั้นถูกด่าใส่หน้าจนเย็นเป็นชา น้ำตาเริ่มร่วงพรูลงมาราวกับน้ำไหลจากก๊อก เล็บแหลมยาวจิกลงไปในผิวเนื้อนุ่ม แต่ก็ไม่เจ็บเท่าหัวใจที่ถูกเหยียดหยาม จะไม่ว่าเลยถ้าเขารู้จักเธอดีพอ แต่นี่ไม่รู้จักกันสักนิด กลับกล่าวหาและมองเธอเป็นของสกปรกโสโครก
“ไม่!!!”
เสียงห้ามกลายเป็นเสียงกระอึกกระอักในลำคอ เมื่อมีกระแสลมอุ่นๆ เคลื่อนไหวกึ่งกลางช่องท้อง ก่อนพุ่งลิ่วราวจรวดไหลลามไปทั่วกาย จนเธอต้องรีบขบกัดฟันบนกลีบปาก เพราะไม่ต้องการให้มีเสียงแปลกๆ หลุดออกไป ศีรษะทุยสะบัดแรงๆ จนเส้นผมที่ขมวดไว้อย่างดีหลุดลุ่ยออกจากมวย พยายามบังคับตัวเองไม่ให้รู้สึกหวั่นไหวไปกับสัมผัสร้อนผ่าวคลุกเคล้าด้วยความวาบหวามซาบซ่าน ทว่าแผ่นหลังแบบบางกลับแอ่นโค้งเข้าหาอุ้งปากร้อนผ่าวที่ขบเคลื่อนดื่มด่ำกับปลายยอดเชอร์รี่รสหวานนุ่ม
“อือ... ‘ไม่นะ!!’
“อยู่เฉยๆ ซิ...” เขาลืมไปได้ยังไง ยังไม่มีการแนะนำตัวกันเลยนี่น่า ชายหนุ่มเลยปล่อยให้สองทรวงกลมกลึงให้เป็นอิสระชั่วคราว ขบเคลื่อนปากไล่ไปตามผิวเนื้อนวลเนียนนุ่มหอม
“อยากรู้ชื่อฉันใช่ไหม...บอกชื่อเธอมาก่อนสิ ชื่ออะไร” ไม่ได้สะเพร่า แต่เพราะไม่สนใจว่าผู้หญิงหน้าหนาที่ชอบแย่งสามีชาวบ้านชื่ออะไรต่างหาก มาถึงตอนนี้ก็ให้ชักเสียดายขึ้นมามิใช่น้อย
“ไม่!!” สายน้ำผึ้งเบี่ยงหน้าหนี ใช่...ตอนแรกเธอคิดยั่วยวนเมื่อเห็นเขาไม่สนใจ ทว่าต้องมาเจอโดนดูถูก ด่าว่าเสียๆ หายๆ ต่อให้เธอถูกตำหนิ ถูกภาคทัณฑ์ ลดเงินเดือนหรือแม้ต้องออกจากงาน เธอยอมทั้งนั้น ขอเพียงอย่างเดี๋ยว อย่าได้เจอผู้ชายหน้าไม่อาย รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้นี่อีกเลย
“หืม...” ศีรษะทุยผงกขึ้นเล็กน้อย “ฉันจำได้วันก่อนเธอขอนามบัตร อยากรู้ฉันเป็นใคร ทำอะไรอยู่ที่ไหน เมื่อกี้ก็ถามอีก...ทำไมตอนนี้ถึงไม่อยากรู้เสียล่ะ”
“ไม่อยากรู้จักผู้ชายหน้าไม่อาย รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้อย่างคุณ!”
“อืม...ยังปากดีได้อีก” พยักหน้าหงึกๆ ลูบไล้ฝ่ามือใหญ่ไปบนผิวเนื้อนวลเนียนนุ่ม ก่อนรัดรอบเอวคอดกิ่วดึงร่างเพรียวอ้อนแอ้นมาแนบชิด พลางมือใหญ่เลื่อนไล้ไปกดรั้งศีรษะทุยให้ก้มลงมา “ฉันชักอยากรู้แล้วซิ ปากอิ่มแดงสดราวกับเชอร์รี่นี่จะหวานสักแค่ไหน”
“ไอ้คนทุเรศ ไอ้คนหน้าไม่อาย ไอ้ผู้ชายหน้าหม้อรังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้” สายน้ำผึ้งก่นด่าและพยายามส่ายศีรษะหนี แต่ต้องหรี่ตาด้วยความเจ็บจากมือใหญ่ที่บีบเต็มแรง
“ขอบใจที่ชม แล้วอย่าลืมไปอัพลงในสต๊อกเธอด้วยล่ะ ไอ้ผู้ชายทุเรศคนนี้ได้เบียดกระแซะปั๊ม...ตรงไหนบนร่างเธอบ้าง” บดเบียดกายแนบชิดกับเนินเนื้ออ่อนไหว “แล้วปั๊ม...เป็นคนที่เท่าไหร่”
“ไอ้...”
“อ๊ะ...ถ้าด่าฉันอีกคำเดียวนะยาหยี เธอเตรียมตัวลงนรกได้เลย” ไม่ได้ขู่...นิ้วยาวสอดดันกระโปรงเลิกขึ้น ใบหน้าคมเข้มซ่อนยิ้มเคลือบใบมีดคมๆ มองสบตาดวงตากลมโตที่ฉายแววขลาดกลัวเมื่อเจอคนจริง
ราวสายฝนเคลือบน้ำแข็งตกลงมากระทบผิวกาย หนาวเหน็บจนฟันกระทบกันกึกๆ ไม่แพ้หัวใจที่เต้นไหวระทึกราวกับยืนอยู่บนดาบคมๆ ตากลมโตมองนิ้วที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่าง “แล้วคุณจะเอาไงกับฉัน” กัดฟันถามเสียงสั่นด้วยโกรธตัวเองที่ถูกรังแกแต่เอาคืนไม่ได้
“อืม...เอาไงดีล่ะ” เล่นลิ้นถาม พลางหัวเราะหึหึในลำคอ เมื่ออีกฝ่ายโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “เอาชื่อเธอก่อน”
“สายน้ำผึ้ง” หญิงสาวตอบกลับเสียงเขียวอย่างเสียมิได้ อึดอัดคับแค้นใจจนอยากร้องตะโกนดังๆ ทว่าก็ได้แต่มอง...ในอกร้อนด้วยเพลิงโทสะที่เผาไหม้ ฟันขาวขบกัดจนเสียงดังกรอดๆ ถ้ามือว่างเมื่อไหร่จะบีบคอให้หักหมุนได้สามร้อยหกสิบองศาเลยเชียว
“อือ ชื่อท่าทางหวานดี...แต่ไม่รู้ว่าร่างนี้จะหวานเหมือนชื่อหรือเปล่านะ หนทางเดียวที่ฉันจะได้รู้ ก็คือชิมเธอจนหมดทั้งตัวไม่ให้เหลือแม้กระทั่งกระดูกใช่ไหม...สายน้ำผึ้ง”
“บ้าแล้ว...คุณมันบ้า ปล่อยฉันนะไอ้คนบ้า ไอ้คนสติไม่เต็มเต็ง”
“ใช่เลย ฉันเป็นอย่างที่เธอว่าทุกอย่าง อย่างนี้เธอควรกลัวฉันใช่ไหม” ทาบมือบนลำคอระหง นิ้วยาวไล้คลึงเส้นเอ็นที่เต้นตุบๆ อยู่ “เพราะคนสติไม่ดีทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งบีบคอเธอทิ้ง!”
เธอเพียงแค่คิด แต่เป็นเขามีสิทธิ์ทำก่อน แม้กลัวจนหัวใจหล่นกองที่ปลายเท้า ทว่าสายน้ำผึ้งยังพยายามเรียกความกล้าในตัวขึ้นมารับมือกับไอ้บ้าหน้าตัวเมียให้จั๋งหนับ ก่อนเผ่นแนบหายเข้ากลีบเมฆ
“ก็เอาซิ คุกตะรางไม่ได้มีไว้ขังไอ้ด่างสี่ขา แต่ขังคนหมาๆ หน้าไม่อายอย่างคุณ!”
“เธอนี่เก่งนะ โดนขนาดนี้ยังปากกล้า ฉันอยากรู้ซะแล้วซิ ถ้าฉันทำอย่างที่คิดไว้ อย่างเธอจะกล้าเอาเรื่องน่าอับอายไปป่าวประกาศบอกใครเขา เวลาเขาถาม...เธอถูกฉันทำอะไรบ้าง ตรงไหนบ้าง ถ้าไม่ชอบใจแล้วทำไมถึงไม่ขัดขืน ทำไมต้องยอมให้ฉัน...”
“เพราะฉันถูกหมาบ้าอย่างคุณกัดเอาต่างหากล่ะ สู้คุณไปเห็นแต่จะเจ็บตัวอย่างเดียว ฉันเลยต้องกัดฟันยอมทำตัวเป็นท่อนไม้ให้คุณข่มเหงรังแก!”
“อย่างนี้แหละ เขาถึงเรียกว่า เกลือจิ้มเกลือ เธอไปทำร้ายคนอื่นเขาก่อน ก็ต้องยอมรับเวลาเขามาเอาคืน”
“ไม่จริง! คุณฟังความข้างเดียว ไม่คิดตรวจสอบความจริงให้ชัด ก็มาทำร้ายคนอื่น”
“พูดไปคนหน้าหนาอย่างเธอก็ไม่ยอมรับ ยังโยนความผิดให้กับคนอื่น”
“ใช่แล้วไง ฉันมันคนไม่ดี คนดีๆ อย่างคุณก็รีบถอยห่างไปซิ มายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย”
“เพราะฉันดันอยากรู้ ผู้หญิงหน้าหนาชอบแย่งผัวชาวบ้านจะรสชาติเป็นยังไงน่ะซิ จะเปรี้ยวจี๊ดปนขมปี๋จนชิมครั้งเดียวแล้วต้องอัปเปหิไปไกลๆ หรือหวานฉ่ำจนฉันต้องหม่ำกินจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก” ใบหน้าคมเข้มซุกไซ้คลอเคลียซอกคอระหง ไต่เคลื่อนปากร้อนผ่าวไปทีละนิด ขบเม้มสลับห่อเรียวลิ้นอุ่นชื้นสอดกระหวัดหยอกเย้ากับช่องหูนุ่ม โลมไล้ทรวงอกกลมกลึงจรดปลายยอดหดเกร็งไหวสู้มือ
“ถามจริง คุณแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะตกลง แล้วเกิดไม่...แม่คุณไม่หน้าแตกหรือไง” แต่แม่เธอนะหรือที่จะปฏิเสธ มีแต่จะรีบจับเธอใส่พานยกให้แม่ภาสวรโดยเร็วนะสิ ก็อยากจะให้เธอแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นจนถึงกับเคยเปรยให้เธอได้ยินอยู่ว่า ถ้ามีใครสักคนกล้าหาญมาขอเธอไปเป็นศรีภรรยาละก็...จะยกให้พร้อมกับทองสักสองสามบาท ไหนจะที่ทางอีกล่ะภาสวรส่ายศีรษะ เขามั่นใจเลว่าพ่อกับแม่จะทำสำเร็จเช่นตัวเขาเองที่ต้องสำเร็จด้วยเช่นกัน“ไม่เลย เพราะผึ้งไม่มีทางหนีมือฉันพ้น ถ้า...ป่อง” ชายหนุ่มยิ้มนัยน์ตาวาวระยับขณะสองมือวาดท้องโตขึ้นพร้อมใบหน้ารอยยิ้มละมุนละไม นัยน์ตาเข้มดุวามวาวเป็นประกายแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้เต็มพิกัด ที่คนเห็นถึงกับหนาวจับขั้วหัวใจ “ผึ้งจะยอมอาย ไม่แต่งงานกับฉันได้หรือ” “ป่องเองสิยะ ไม่ย่ะ ฉันไม่ป่อง” “มีสิทธิ์เลือกหรือจ๊ะผึ้งจ๋า...ฉันปล่อยเชื้อไว้เต็มที่ทุกครั้งที่เราปั่มปั๊มกัน ใครจะไปรู้ ตอนนี้ผึ้งอาจมีผึ้งตัวเล็กๆ ซุกอยู่ในท้องแล้วก็ได้ แต่ถ้าผึ้งยังไม่มั่นใจ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันซ้ำให้นะจ๊ะเมียจ๋า” ภาสวรช้อนร่างนุ่มนิ่มขึ้นไปวางบนเตียงนอนพร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าจากสองกายหลุดออกไปอย่างเร็วแทบเป
“ความจริงผึ้งควรดีใจนะที่เกิดเหตุการณ์นั้น เพราะทำให้ฉันมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง” ไม่เข้าใจ ศีรษะทุยเอียงเล็กน้อย ไอ้ที่เขาพูดมาหมายความว่ายังไงภาสวรยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “ฉันแค่อยากมั่นใจ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ไม่ใช่แค่ความผูกพันทางกาย แต่เป็นสายใยเชื่อมใจสองดวง เชื่อมคนสองคนให้ร่วมจับมือฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค เติมเต็มความสุขพร้อมสร้างสุขด้วยกันตลอดจวบจนแก่เฒ่า” สายน้ำผึ้งไม่รู้เลยว่าตอนนี้หัวใจของเธอเริ่มละลายจากการกระทำและคำพูดที่จริงใจและเปี่ยมด้วยรักที่หัวใจรับรู้“ฉันขอโทษที่ฟังความเพียงข้างเดียว แล้วปรักปรำและทำร้ายเธออย่างไม่น่าอภัย ฉันรู้ว่าทำใจลืมยากกับการถูกข่มเหงร่างกายโดยไม่ยินยอม ฉันไม่เถียงที่ส่วนหนึ่งคืออยากลบล้างความรู้สึกผิดที่เกาะกุมใจ แต่ที่มากกว่านั้นคืออยากเติมความรู้สึกผูกพันและรักใคร่ระหว่างกัน พร้อมอยู่ดูแลกันด้วยรักไปตลอดตราบจนชั่วชีวิต” ภาสวรดันร่างเพรียวพาลงไปยืนบนพื้น ขณะที่เขาทรุดกายคุกเข่า “ทำอะไรน่ะคุณภาส” พยายามดึงเอาร่างใหญ่ให้ลุกขึ้น แต่กลับสู้แรงเขาไม่ได้และยังถูกจับมือเอาไว้“ก่อนที่ฉันจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตได้ก็ต้อง... บอกรักและขอแ
“บางครั้งคนเราก็ทำอะไรที่ไม่ชอบลงไปจากความเข้าใจผิดของตัวเอง ฉันเป็นหนึ่งในนั้น ที่ยังดื้อดึงดันลุยไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด” ขนาดรู้ว่าไม่ใช่ เขาก็ยังไม่ยอมหยุด...“คุณจะพูดยังไงก็ได้ เพราะคุณเป็นฝ่ายได้เปรียบ” ให้เขาพูดดีและจริงใจแค่ไหน ทว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะลบเลือนได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ เพราะทุกการกระทำของเขา คือลิ่มเหล็กตอกย้ำความเจ็บช้ำและปวดร้าวฝังตรึงอยู่ในใจมิรู้คลาย “ปล่อยฉันเถอะคุณภาส ถ้าคุณรักฉันอย่างที่พูด ช่วยปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยให้ฉันไปมีชีวิตของฉัน” สายน้ำผึ้งอ้อนวอนเสียงสั่นพร่าและแหบเครือ“ไม่!!” ภาสวรผวากอดสายน้ำผึ้งเต็มรัก แค่เธอจากมาไม่กี่วันเขารู้สึกคล้ายรอบกายว่างเปล่า มองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่มืดมนจนมองแทบไม่เห็นทาง “ไม่! ไม่มีวันที่ฉันจะปล่อยเธอไป” เขารัดร่างนุ่มนิ่มแนบอก “แม้ต้องบังคับให้เธออยู่ด้วย...ฉันก็จะทำ!” อยากผลักไส แต่เรี่ยวแรงกลับแห้งเหือดหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เธอจึงได้แต่อยู่ในอ้อมกอดที่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บออกไปจนหมดสิ้น แต่สายน้ำผึ้งก็ยังพยายามเรียกเอาคำพูดและการกระทำของภาสวรที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงไร้ค่า ไร้ศักดิ์ศรีขึ้นมากลบ “
ภาสวรคลี่ยิ้มปากกว้าง “คุณเลยหวังใช้มือผมจัดการสั่งสอนสายน้ำผึ้งว่างั้นเถอะ” เจสันหัวเราะกลั้วคอ “ผมเอาคืนเล็กน้อย แต่คุณได้ประโยชน์เต็มๆ แล้วอย่างนี้จะตกลงรับข้อเสนอผมไหมล่ะ” ถ้าเขาไม่รับก็ต้องใช้เวลาควานหาตัวสายน้ำผึ้งที่ยังทำตัวดำดินมุดอยู่ในรูอีกนาน ในเมื่อมีคนพาตัวเธอมาเสิร์ฟให้ถึงมือ มีหรือจะไม่เอา“แล้วคุณมีแผนการยังไงบ้าง” ภาสวรเอ่ยถามและรับฟังด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น แม้ต้องอดทนที่ต้องมองสายน้ำผึ้งอยู่ไกลๆ แต่เพื่อวันแห่งความสุขเขาจำต้องยอมอดกลั้นที่เธอรู้สึกคล้ายถูกมองและถูกตามเมื่อสองสามวันก่อน...ก็เป็นอีตาหมีควายนี่น่ะสินะ แต่แปลกในเมื่อเขาเจอเธอแล้วทำไมถึงได้ไม่จับตัวไว้ตั้งแต่วันนั้นละ เชื่อได้หรือว่าเขาปล่อยเธอให้ลอยนวลโดยไม่ลากเข้าห้องแล้วขย้ำขยี้ให้แหลกละเอียดยิ่งกว่าแก้วที่ถูกตกลงบนพื้นแล้วถูกรถทับซ้ำอีกครั้ง ภาสวรยิ้ม “ถูกแล้วผึ้ง ฉันตามติดแต่ยอมอดทนตามที่เจสันแนะนำ เพราะกลัวเธอหนีไปอีกครั้งจนหาไม่เจอ รู้ไหมฉัน...หงุดหงิดแทบเป็นบ้าที่ต้องทำอย่างนั้น” เขาหงุดหงิดแทบเป็นบ้าเลยจริงๆ แต่ช่วงเวลาที่ห่างหายไม่ได้อยู่ใกล้กันก็มีส่วนดีด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้เขาล่วงรู้ความ
เธอพกความช้ำชอกรวดร้าวกับขาดรอนและน้ำตากลับบ้าน ที่เพียงย่างเท้าเหยียบลงไปบนพื้น แข้งขาก็อ่อนแรง แต่จำต้องกัดฟันพาเรือนกายอ่อนระโหยโรยแรงก้าวเดินเข้าไปภายใน เพื่อเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น รีบเดินทางออกจากบ้าน หาเช่าที่พักใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราว ก่อนภาสวรรู้ตัวและตามล่าเอาตัวกลับไปทรมานให้ตกนรกทั้งเป็นจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด หลบหนีรอดอุ้งมือมาได้ตั้งหลายวัน จนตอนนี้เคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยและจะเดินทางกลับบ้านก่อนต่อด้วยเดินทางไปหางานทำยังดินแดนที่ได้ขึ้นชื่อว่าไข่มุกแห่งอันดามัน ซึ่งเธอได้โทรติดต่อสอบถามบ้างแล้ว แต่ใครจะคาดคิดเล่าภาสวรดักรอเหมือนกับรู้ล่วงหน้าอย่างนั้นแหละ แม้หวาดหวั่นกริ่งเกรงจากรัศมีสายตาของคนตัวใหญ่ จนใบหน้าขาวนวลผุดผ่องค่อนไปทางซีดเผือด ทว่าสายน้ำผึ้งก็ยังเชิดขึ้นสูง ไม่ยอมมองพ่อหมีควายตัวโคร่งที่ยืนสอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าเข้มกรุ้มกริ่ม สายตาคู่นั้นฉายแวววามวาวที่เธอคุ้นเคย และรีบสาวเท้าเป็นวิ่งเดินเลี่ยงไปที่ลิฟต์ซึ่งเปิดพอ“อะไรกันสายน้ำผึ้ง เจอหน้าผัวเก่าทั้งที นอกจากไม่ถามไถ่ไม่เจอกันหลายวัน คิดถึงกันบ้างไหม แล้วเป็นไงบ้างสบายดีหรือเปล่า ยังคิดห
“ถ้าพี่สรไม่รังเกียจ...หนูเอมจะยอมปวารณาตัวเป็นทาส...รัก” แม้เป็นเสียงกระซิบ แต่ก็ดังเข้าไปถึงหัวใจเจสันจนเขาต้องจดจำคำนี้ไม่มีวันลืม “ทาสเสน่หา...ทาสรักของพี่สรตลอดไปค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นเราต้องรีบบอกแม่หนูเอม แล้วไปจดทะเบียนกันนะ” เขาอยากมั่นใจ แค่สายใจสายสัมพันธ์สวาทผูกรัดเธอไว้ไม่พอ ยังต้องใช้ฐานะทางกฎหมายและสังคมมัดเธอไว้อีกชั้น ผู้หญิงดีๆ มีความอดทน ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งได้พบลาภก้อนใหญ่ มีค่าดังราวกับเพชรในโคลนตม อย่างนี้มีหรือที่เขาจะปล่อยทิ้งไปได้นะ เป็นอย่างนั้นนะ...โง่บรมแล้วล่ะ “แล้วพี่สรจะบอกรักหนูเอมทุกๆ วันใช่ไหมคะ” ก็แหม...คำรักหวานๆ เธออยากฟังซ้ำหลายๆ ครั้งนี่น่า“ไม่ล่ะ คำนี้ถ้าพูดทุกวัน เดี๋ยวจะไม่มีความหมาย คล้ายไม่จริงใจมากกว่า ไว้ใช้ในโอกาสสำคัญๆ ดีกว่านะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ” เขารีบบอกดักคอไว้ก่อน เพราะไม่อยากเห็นหน้าเศร้าๆ จากคนตัวเล็ก “ความรักไม่จำเป็นต้องเอ่ยพูด แต่แสดงออกทางความรู้สึก...ที่หนูเอมลืมไปเลย ฉันเอ่ยบอกรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” “ค่ะ...หนูเอมจะรอดู” เฌอเอมทาบมือบนท่อนแขนกำยำ เอนกายอิงอกกว้าง อบอุ่นวาบไปทั้งร่างกายและหัวใจ หลังจากบอกมารดาเป็นที่เรียบร้







