LOGIN
“ไหวไหมคะพี่น้ำผึ้ง” เฌอเอมเอ่ยถามอย่างเป็นคนขับรถ ซึ่งท่าทางอาการดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ด้วยเห็นมือเล็กที่จับพวงมาลัยรถเริ่มสั่นและจิกเกร็งจนเห็นเส้นเอ็นผุดขึ้นมาตามข้อ ดวงหน้าเรียวรูปไข่นวลเนียนแม้มีเครื่องสำอางปิดปังอยู่ ทว่าก็ยังสามารถมองทะลุไปเห็นความซีดของผิวหน้าได้
“ไหวจะ” สายน้ำผึ้งกัดฟันตอบกลับ นัยน์ตากลมโตขมวดนิ่ว เมื่อรอบบริเวณกระบอกตาร้าวคล้ายถูกลิ่มเหล็กตอกย้ำ จนเจ็บทะลุออกท้ายทอย เรื่องงานไม่ได้ทำให้เธอเครียดเลย หนักหนาแค่ไหนรับไหว แต่ไอ้เรื่องเครียดพาปวดศีรษะจนแทบแตกก็มาจาก...ผู้ชาย!
บ้าชะมัด! ทำไมชีวิตเธอถึงได้ซวยหนักก็ไม่รู้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องผจญอยู่กับผู้ชายปากว่ามือถึงตลอด ตั้งแต่เรียนมัธยมจวบจนจบมหาวิทยาลัยก็นึกว่าจะพ้นเรื่องบ้าๆ นี่เสียที กลับยิ่งหนักกว่าเก่าเมื่อเข้าทำงาน แม้เธอสามารถดำรงตนคงเส้นคงวาไม่หลงไปในข้าวของที่ถูกหยิบยื่นให้ แล้วยังพาตัวเลี่ยงไปไม่ให้เกิดเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวได้อีก ทว่ามาบัดนี้...
นอกจากความเบื่อหน่ายแล้วยังรำคาญถึงขั้นอยากหนีหายด้วยการลาออกไปซะ! ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หน้าตาท่าทางก็ดูดี สมาร์ต มาดแมนแอนด์แฮนซั่ม เรียกว่าถึงขั้นหล่อเกินหน้าเกินตาดาราหนุ่มสมัยนี้หลายคนเชียวแหละ ฐานะทางบ้านก็คงดีเอาการถึงได้เช่าห้องโรงแรมนอนตลอดไม่ยอมกลับบ้าน เสียแต่...
พูดจาไม่รู้เรื่องเอาซะเลย เธอบอกว่าไม่! เน้นย้ำชนิดที่ว่าหากไปถึงหูแล้วตะโกนกรอกลงไปได้ก็ทำแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกรู้สา ยังพาหน้าหนาๆ และร่างใหญ่อย่างกับยักษ์มาสร้างความรำคาญให้กับเธออย่างต่อเนื่อง ตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน คอยส่งดอกไม้และข้าวของน่ารักราคาสูงพร้อมร่างสูงใหญ่มาเสนอ จนเธอแทบไม่เป็นอันทำงาน
ผู้ชายที่เคยแวะเวียนเมียงมองกระเซ้าแหย่กันบ้างพอให้ชุ่มชื่นหัวใจก็เริ่มห่างหาย ในขณะที่เพื่อนสาวๆ ที่เคยพูดจาถามไถ่เรื่องราวหยิกแกมหยอก ประมาณปะทะคารมลับฝีปากและหาเรื่องประเทืองปัญญาให้สมองไม่ฝ่อจนเกินไปนัก ก็เริ่มมองเห็นเป็นศัตรูอยู่เนืองๆ โดยมีสองสาวในห้องทำงานเดียวกับเธอ เปิดเผยตัวเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง เพียงแค่เดินผ่านหน้า ก็หาเรื่องพูดจาแขวะกัดคล้ายเจ้าสี่เท้าถูกเหยียบหางเห่า ให้หนวกหูและรำคาญใจ
คิดถึงสายตาเพื่อนร่วมงานที่มองมาแล้วสายน้ำผึ้งถึงกับกัดฟันกรอด สองมือกำพวงมาลัยรถเอาไว้แน่น เพลิงโทสะคุกรุ่นราวไฟที่หลงเหลือควัน พร้อมอาการปวดศีรษะแล่นลิ่วราวกับรถไร้เบรกด้วยเรื่องที่เพิ่งประสบพบเจอมา
อีตารูปหล่อแต่ด้านราวกับมีใครใช้ปูนอย่างหนาโบกทับเอาไว้ มาพร้อมช่อดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ มาถึงก็ไม่คุยเล่นหยิกแกมหยอกอย่างทุกครั้ง แต่เอ่ยบอกรักหน้าตาเฉย เล่นเอาเธองงราวกับถูกไม้ฟาดเข้าที่ทัดดอกไม้ ด้วยเมื่อแรกเห็นทว่าหนีไม่ทันก็เลยเตรียมคำไว้ด่าเพียบ กลับกลายเป็นอ้าปากค้างด้วยความอึ้งตะลึงงันแทน ก็แหม...แม้จะมีชายมาจีบมากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกรักนี่น่า
เหลียวมองรอบกาย มีเสียงแบ่งแยกแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งตะโกนเชียร์ให้รับ แต่อีกฝั่งหนึ่งคือแม่สาวที่คิดว่าตัวเองสวยเลยเชิดไม่คบกับใครนอกจากพวกหลงตัวเองเหมือนกันเอ่ยกระแทกกระทั้น
“เล่นตัวให้เขาง้อ รอให้เขาบอกรักและขอแต่งงานอวดเพื่อนร่วมงาน หน้าไม่มียางอายเสียเลย”
เธอนี่อยากสวนกลับให้หน้าหาย แต่ตอนนั้นสมองมันตื้อ คิดอะไรไม่ออกเอาเสียจริง ได้แต่มองคนที่ยื่นแหวนและดอกกุหลาบให้หน้าแดงปลั่ง นัยน์ตาวาววับ สลับเหลือบมองหนึ่งสาวเพื่อนร่วมงาน ซึ่งยืนกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันมองเธอด้วยความโกรธแค้นอิจฉาราวกับถูกเพลิงไฟเผาไหม้ทรวงอก กระเหี้ยนกระหือรืออยากตรงเข้ามาผลักเธอแล้วฝากฝ่ามือประทับไว้บนวงหน้าสวยๆ ก่อนแย่งรับดอกไม้และแหวน พร้อมกับเอ่ยปากรับคำรักแทน
‘เฮอะ เอาไปเถอะ รวยจริง หล่อจริง แต่ไม่เตะขอบหัวใจให้เต้นเป็นจังหวะแทงโก้ได้ เธอไม่สนหรอก’
คิดถึงเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อสายของวันแล้ว ‘โว้ย!! ปวดหัวจริงโว้ย เมื่อไหร่จะมีใครมาสอยอีตาหน้าด้านนั้นไปให้พ้นๆ จากเธอเสียทีนะ’
“พี่น้ำผึ้งไม่ต้องมาส่งเอมก็ได้ แค่มารับเอกสารแล้วเอาไปยื่นและเขียนใบสมัครงานที่โรงแรม เอมไปเองก็ได้” เอ่ยบอกอย่างเกรงอกเกรงใจ
เธอไม่ใช่ญาติของสายน้ำผึ้งสักหน่อย เป็นเพียงแค่เด็กใกล้บ้านที่เมื่อพ่อกับแม่รู้ว่าสอบติดและต้องมาเรียนในเมืองหลวงก็กลายเป็นปัญหา ด้วยเป็นห่วงเป็นใยในทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องความปลอดภัยไปจนถึงที่อยู่ที่กิน ป้านุ้ยแม่ของสายน้ำผึ้งจึงเสนอให้มาอยู่กับลูกสาว ซึ่งอยู่คนเดียว มีเพื่อนเป็นคนบ้านเดียวกันสักคนท่านว่าจะได้อยู่ดูแลกัน เกิดเจ็บป่วยไม่สบายกลางค่ำกลางคืน จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องคนพาไปหาหมอ แล้วเธอก็ได้มาอาศัยอยู่กับพี่สาวคนเก่ง คอยดูแลในทุกเรื่องราวกับเป็นพี่สาวจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่คนรู้จัก
“ไม่เป็นไร เดินทางคนเดียวหลายตักหลายตอนอย่างนี้ไม่แค่ลำบากแต่ยุ่งยากด้วย ไหนจะเรื่องเวลาอีกล่ะ นี่ก็เข้าช่วงบ่ายแล้ว ขืนชักช้า เดี๋ยวก็ไปยื่นเอกสารและเขียนใบสมัครไม่ทัน ทำให้คนเขาว่าเราไม่รักษาคำพูด อีกอย่างเสื้อผ้าเอมก็ต้องหาเปลี่ยน หน้าตาอีกต้องเรียบร้อยแต่ดูดี”
เฌอเอมไม่ได้สวยแต่เข้าข่ายน่ารักน่ามอง ด้วยใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตรับกับจมูกเล็กโด่ง ริมฝีปากรูปกระจับ แต่งหน้าแต่งตาเล็กน้อยก็ทำให้คนหันมองได้ไม่ยาก เสียแต่ว่า...ศีรษะทุยสะบัดส่ายอย่างระอิดระอา ด้วยไม่แต่งหน้าเลย ทำให้น้องสาวคนนี้ของเธอดูเหมือนยายเพิ้ง ที่เพิ่งหลุดออกมาจากป่าไม่มีอารยธรรม
ยังมีผมซึ่งยุ่งเหยิงคล้ายไม้กวาดที่ถูกใช้งานจนเยิน ไม่รู้พบหวีบ้างหรือเปล่า กระโปรงก็สุ่มไก่ยาวกรอมเท้าอย่างไม่กลัวเดินไปสะดุดชายแล้วหัวทิ่มไปข้างหน้า เสื้อดีหน่อยที่ไม่ยาวหรือสั้นจนยกแขนที่ชายหลุดออกจากเอวกระโปรง แล้วยังสวมแว่นสายตาคันโตอีก คุณป้าโบ...โบราณมาเองเลยนะนี่
“ถามจริง คุณแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะตกลง แล้วเกิดไม่...แม่คุณไม่หน้าแตกหรือไง” แต่แม่เธอนะหรือที่จะปฏิเสธ มีแต่จะรีบจับเธอใส่พานยกให้แม่ภาสวรโดยเร็วนะสิ ก็อยากจะให้เธอแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นจนถึงกับเคยเปรยให้เธอได้ยินอยู่ว่า ถ้ามีใครสักคนกล้าหาญมาขอเธอไปเป็นศรีภรรยาละก็...จะยกให้พร้อมกับทองสักสองสามบาท ไหนจะที่ทางอีกล่ะภาสวรส่ายศีรษะ เขามั่นใจเลว่าพ่อกับแม่จะทำสำเร็จเช่นตัวเขาเองที่ต้องสำเร็จด้วยเช่นกัน“ไม่เลย เพราะผึ้งไม่มีทางหนีมือฉันพ้น ถ้า...ป่อง” ชายหนุ่มยิ้มนัยน์ตาวาวระยับขณะสองมือวาดท้องโตขึ้นพร้อมใบหน้ารอยยิ้มละมุนละไม นัยน์ตาเข้มดุวามวาวเป็นประกายแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้เต็มพิกัด ที่คนเห็นถึงกับหนาวจับขั้วหัวใจ “ผึ้งจะยอมอาย ไม่แต่งงานกับฉันได้หรือ” “ป่องเองสิยะ ไม่ย่ะ ฉันไม่ป่อง” “มีสิทธิ์เลือกหรือจ๊ะผึ้งจ๋า...ฉันปล่อยเชื้อไว้เต็มที่ทุกครั้งที่เราปั่มปั๊มกัน ใครจะไปรู้ ตอนนี้ผึ้งอาจมีผึ้งตัวเล็กๆ ซุกอยู่ในท้องแล้วก็ได้ แต่ถ้าผึ้งยังไม่มั่นใจ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันซ้ำให้นะจ๊ะเมียจ๋า” ภาสวรช้อนร่างนุ่มนิ่มขึ้นไปวางบนเตียงนอนพร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าจากสองกายหลุดออกไปอย่างเร็วแทบเป
“ความจริงผึ้งควรดีใจนะที่เกิดเหตุการณ์นั้น เพราะทำให้ฉันมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง” ไม่เข้าใจ ศีรษะทุยเอียงเล็กน้อย ไอ้ที่เขาพูดมาหมายความว่ายังไงภาสวรยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “ฉันแค่อยากมั่นใจ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ไม่ใช่แค่ความผูกพันทางกาย แต่เป็นสายใยเชื่อมใจสองดวง เชื่อมคนสองคนให้ร่วมจับมือฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค เติมเต็มความสุขพร้อมสร้างสุขด้วยกันตลอดจวบจนแก่เฒ่า” สายน้ำผึ้งไม่รู้เลยว่าตอนนี้หัวใจของเธอเริ่มละลายจากการกระทำและคำพูดที่จริงใจและเปี่ยมด้วยรักที่หัวใจรับรู้“ฉันขอโทษที่ฟังความเพียงข้างเดียว แล้วปรักปรำและทำร้ายเธออย่างไม่น่าอภัย ฉันรู้ว่าทำใจลืมยากกับการถูกข่มเหงร่างกายโดยไม่ยินยอม ฉันไม่เถียงที่ส่วนหนึ่งคืออยากลบล้างความรู้สึกผิดที่เกาะกุมใจ แต่ที่มากกว่านั้นคืออยากเติมความรู้สึกผูกพันและรักใคร่ระหว่างกัน พร้อมอยู่ดูแลกันด้วยรักไปตลอดตราบจนชั่วชีวิต” ภาสวรดันร่างเพรียวพาลงไปยืนบนพื้น ขณะที่เขาทรุดกายคุกเข่า “ทำอะไรน่ะคุณภาส” พยายามดึงเอาร่างใหญ่ให้ลุกขึ้น แต่กลับสู้แรงเขาไม่ได้และยังถูกจับมือเอาไว้“ก่อนที่ฉันจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตได้ก็ต้อง... บอกรักและขอแ
“บางครั้งคนเราก็ทำอะไรที่ไม่ชอบลงไปจากความเข้าใจผิดของตัวเอง ฉันเป็นหนึ่งในนั้น ที่ยังดื้อดึงดันลุยไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด” ขนาดรู้ว่าไม่ใช่ เขาก็ยังไม่ยอมหยุด...“คุณจะพูดยังไงก็ได้ เพราะคุณเป็นฝ่ายได้เปรียบ” ให้เขาพูดดีและจริงใจแค่ไหน ทว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะลบเลือนได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ เพราะทุกการกระทำของเขา คือลิ่มเหล็กตอกย้ำความเจ็บช้ำและปวดร้าวฝังตรึงอยู่ในใจมิรู้คลาย “ปล่อยฉันเถอะคุณภาส ถ้าคุณรักฉันอย่างที่พูด ช่วยปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยให้ฉันไปมีชีวิตของฉัน” สายน้ำผึ้งอ้อนวอนเสียงสั่นพร่าและแหบเครือ“ไม่!!” ภาสวรผวากอดสายน้ำผึ้งเต็มรัก แค่เธอจากมาไม่กี่วันเขารู้สึกคล้ายรอบกายว่างเปล่า มองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่มืดมนจนมองแทบไม่เห็นทาง “ไม่! ไม่มีวันที่ฉันจะปล่อยเธอไป” เขารัดร่างนุ่มนิ่มแนบอก “แม้ต้องบังคับให้เธออยู่ด้วย...ฉันก็จะทำ!” อยากผลักไส แต่เรี่ยวแรงกลับแห้งเหือดหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เธอจึงได้แต่อยู่ในอ้อมกอดที่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บออกไปจนหมดสิ้น แต่สายน้ำผึ้งก็ยังพยายามเรียกเอาคำพูดและการกระทำของภาสวรที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงไร้ค่า ไร้ศักดิ์ศรีขึ้นมากลบ “
ภาสวรคลี่ยิ้มปากกว้าง “คุณเลยหวังใช้มือผมจัดการสั่งสอนสายน้ำผึ้งว่างั้นเถอะ” เจสันหัวเราะกลั้วคอ “ผมเอาคืนเล็กน้อย แต่คุณได้ประโยชน์เต็มๆ แล้วอย่างนี้จะตกลงรับข้อเสนอผมไหมล่ะ” ถ้าเขาไม่รับก็ต้องใช้เวลาควานหาตัวสายน้ำผึ้งที่ยังทำตัวดำดินมุดอยู่ในรูอีกนาน ในเมื่อมีคนพาตัวเธอมาเสิร์ฟให้ถึงมือ มีหรือจะไม่เอา“แล้วคุณมีแผนการยังไงบ้าง” ภาสวรเอ่ยถามและรับฟังด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น แม้ต้องอดทนที่ต้องมองสายน้ำผึ้งอยู่ไกลๆ แต่เพื่อวันแห่งความสุขเขาจำต้องยอมอดกลั้นที่เธอรู้สึกคล้ายถูกมองและถูกตามเมื่อสองสามวันก่อน...ก็เป็นอีตาหมีควายนี่น่ะสินะ แต่แปลกในเมื่อเขาเจอเธอแล้วทำไมถึงได้ไม่จับตัวไว้ตั้งแต่วันนั้นละ เชื่อได้หรือว่าเขาปล่อยเธอให้ลอยนวลโดยไม่ลากเข้าห้องแล้วขย้ำขยี้ให้แหลกละเอียดยิ่งกว่าแก้วที่ถูกตกลงบนพื้นแล้วถูกรถทับซ้ำอีกครั้ง ภาสวรยิ้ม “ถูกแล้วผึ้ง ฉันตามติดแต่ยอมอดทนตามที่เจสันแนะนำ เพราะกลัวเธอหนีไปอีกครั้งจนหาไม่เจอ รู้ไหมฉัน...หงุดหงิดแทบเป็นบ้าที่ต้องทำอย่างนั้น” เขาหงุดหงิดแทบเป็นบ้าเลยจริงๆ แต่ช่วงเวลาที่ห่างหายไม่ได้อยู่ใกล้กันก็มีส่วนดีด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้เขาล่วงรู้ความ
เธอพกความช้ำชอกรวดร้าวกับขาดรอนและน้ำตากลับบ้าน ที่เพียงย่างเท้าเหยียบลงไปบนพื้น แข้งขาก็อ่อนแรง แต่จำต้องกัดฟันพาเรือนกายอ่อนระโหยโรยแรงก้าวเดินเข้าไปภายใน เพื่อเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น รีบเดินทางออกจากบ้าน หาเช่าที่พักใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราว ก่อนภาสวรรู้ตัวและตามล่าเอาตัวกลับไปทรมานให้ตกนรกทั้งเป็นจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด หลบหนีรอดอุ้งมือมาได้ตั้งหลายวัน จนตอนนี้เคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยและจะเดินทางกลับบ้านก่อนต่อด้วยเดินทางไปหางานทำยังดินแดนที่ได้ขึ้นชื่อว่าไข่มุกแห่งอันดามัน ซึ่งเธอได้โทรติดต่อสอบถามบ้างแล้ว แต่ใครจะคาดคิดเล่าภาสวรดักรอเหมือนกับรู้ล่วงหน้าอย่างนั้นแหละ แม้หวาดหวั่นกริ่งเกรงจากรัศมีสายตาของคนตัวใหญ่ จนใบหน้าขาวนวลผุดผ่องค่อนไปทางซีดเผือด ทว่าสายน้ำผึ้งก็ยังเชิดขึ้นสูง ไม่ยอมมองพ่อหมีควายตัวโคร่งที่ยืนสอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าเข้มกรุ้มกริ่ม สายตาคู่นั้นฉายแวววามวาวที่เธอคุ้นเคย และรีบสาวเท้าเป็นวิ่งเดินเลี่ยงไปที่ลิฟต์ซึ่งเปิดพอ“อะไรกันสายน้ำผึ้ง เจอหน้าผัวเก่าทั้งที นอกจากไม่ถามไถ่ไม่เจอกันหลายวัน คิดถึงกันบ้างไหม แล้วเป็นไงบ้างสบายดีหรือเปล่า ยังคิดห
“ถ้าพี่สรไม่รังเกียจ...หนูเอมจะยอมปวารณาตัวเป็นทาส...รัก” แม้เป็นเสียงกระซิบ แต่ก็ดังเข้าไปถึงหัวใจเจสันจนเขาต้องจดจำคำนี้ไม่มีวันลืม “ทาสเสน่หา...ทาสรักของพี่สรตลอดไปค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นเราต้องรีบบอกแม่หนูเอม แล้วไปจดทะเบียนกันนะ” เขาอยากมั่นใจ แค่สายใจสายสัมพันธ์สวาทผูกรัดเธอไว้ไม่พอ ยังต้องใช้ฐานะทางกฎหมายและสังคมมัดเธอไว้อีกชั้น ผู้หญิงดีๆ มีความอดทน ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งได้พบลาภก้อนใหญ่ มีค่าดังราวกับเพชรในโคลนตม อย่างนี้มีหรือที่เขาจะปล่อยทิ้งไปได้นะ เป็นอย่างนั้นนะ...โง่บรมแล้วล่ะ “แล้วพี่สรจะบอกรักหนูเอมทุกๆ วันใช่ไหมคะ” ก็แหม...คำรักหวานๆ เธออยากฟังซ้ำหลายๆ ครั้งนี่น่า“ไม่ล่ะ คำนี้ถ้าพูดทุกวัน เดี๋ยวจะไม่มีความหมาย คล้ายไม่จริงใจมากกว่า ไว้ใช้ในโอกาสสำคัญๆ ดีกว่านะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ” เขารีบบอกดักคอไว้ก่อน เพราะไม่อยากเห็นหน้าเศร้าๆ จากคนตัวเล็ก “ความรักไม่จำเป็นต้องเอ่ยพูด แต่แสดงออกทางความรู้สึก...ที่หนูเอมลืมไปเลย ฉันเอ่ยบอกรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” “ค่ะ...หนูเอมจะรอดู” เฌอเอมทาบมือบนท่อนแขนกำยำ เอนกายอิงอกกว้าง อบอุ่นวาบไปทั้งร่างกายและหัวใจ หลังจากบอกมารดาเป็นที่เรียบร้







