Home / วาย / การันต์กันธีต์ / บทที่ 4 : นี่พระเอกหรือตัวร้าย?

Share

บทที่ 4 : นี่พระเอกหรือตัวร้าย?

Author: โบกร
last update Last Updated: 2025-10-17 00:27:21

1 สัปดาห์ต่อมา

“กูไปก่อนนะ”

กานโพล่งขึ้นหลังจากที่เขาช่วยหาข้อมูลสำหรับวิจัยของวันนี้ให้ไอ้หัวขี้จนครบหมดแล้ว โดยไม่รอฟังคำอนุญาต ฝ่ามือหนากวาดข้าวของตัวเองที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะภายในห้องสมุดลงใส่กระเป๋าผ้าในครั้งเดียว ธีต์ปรายตามองคนตรงหน้า การกระทำที่ดูรีบร้อนแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่มันเป็นเช่นนี้มาตลอดระยะเวลาร่วมอาทิตย์ที่อีกฝ่ายมาช่วยงานเขา

ซึ่งทุกครั้งตนจะทำเพียงพยักหน้ารับ ไม่ก็ทำเป็นลืมเอาหูมาด้วย เหตุเพราะไม่อยากจะอยู่ใกล้ไอ้เด็กเปรตคนนี้มาก แต่วันนี้เขาชักเริ่มหงุดหงิดที่มันมาช่วยทำวิจัยแบบลวก ๆ เหมือนมาขายผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ เท่านั้น

“มีไรวะ ถึงเวลานี้ทีไรรีบร้อนจะไปทุกที”

“กูไม่ได้บ้านรวยเหมือนคนแถวนี้ ต้องไปทำงานหาเงินมากินมาใช้”

“บอกกี่ทีแล้วเวลาพูดกับกู อย่ามาขึ้นกูมึง เป็นเด็กเป็นเล็ก”

แต่แทนที่คนฟังจะถามกลับว่าอีกคนทำงานอะไร เขาดันเลือกให้ความสนใจเรื่องสรรพนามที่มักจะถูกคนน้องเรียกแทนด้วยคำว่ากูมึงอยู่เสมอ

“ทีมึงยังพูดกูมึงได้เลย เป็นรุ่นพี่ทำตัวไม่น่าเคารพ ใครเขาจะอยากนับถือกันวะ”

“แต่ยังไงมึงก็อายุน้อยกว่ากูตั้งหลายปีนะ”

“แล้วไง กูตัวเท่ามึง เตะปากมึงยังได้”

“ไอ้กาน!”

“ทำไมรึขอรับ”

น้ำเสียงยียวนกวนประสาทถูกส่งกลับไปพร้อมกับใบหน้าที่ไม่สะทกสะท้านอะไร แม้รู้ว่าประโยคเรียกชื่อของเขาเมื่อครู่นั้น ไอ้หัวขี้มันเรียกด้วยความโมโหก็ตาม “เสียงดังวะ ไร้มารยาท นี่ห้องสมุดนะ” ว่าออกไปพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โต๊ะอีกครั้งเพื่อเช็กว่าตนเองนั้นลืมของอะไรหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีจึงรีบหมุนตัวแล้วเดินจากไปโดยไม่อยู่รอฟังเสียงก่นด่าไล่ตามหลังมา

“เด็กเปรต! ใครได้มึงเป็นแฟน กูละสงสารเขาฉิบหาย”

ธีต์สบถด่าตามหลังด้วยความลืมตัว แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าตนตกเป็นเป้าสายตาของคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ จึงรีบปิดหน้าหนังสือลงอย่างไว ก่อนจะเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วลุกพรวดออกไปจากเก้าอี้เช่นกัน

เขาเดินออกมาจากห้องสมุดจนมาถึงด้านหน้าตึกเรียน ร่างสูงหยุดเดินแล้วล้วงมือไปหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนแบรนด์ดังตัวโปรด ก่อนจะกดโทรออกหาเพื่อนรักทันที รอไม่นานปลายสายก็กดรับ

“โหลหมุด มึงอยู่ไหนวะ”

“อยู่แถวเดอะซีนกับไอ้โย”

“ไปทำไรวะ”

“มาห้างให้พวกกูมาตากผ้ามั้ง ซื้อของดิวะ”

“หิวข้าววะ แถวนั้นมีไรกิน เดี๋ยวกูขับรถไปหา”

“งั้นพี่มึงมาร้านเจ๊ตุ้มข้าวต้มปลาเมืองชลนะ ร้านอยู่ตรงข้าม KFC เดอะซีน ไอ้โยมันอยากมาซดไรร้อน ๆ”

“อ้อ ร้านที่มึงบอกกูว่าลูกสาวเจ้าของร้านสวยนะเหรอ ไปแดกข้าวต้มหรือจะไปจีบสาว”

“แดกข้าวต้มโว้ย รีบมา ๆ”

“เค”

ตู้ด ตู้ด ตู้ด

เขากดตัดสายแล้วเดินตรงไปยังลานจอดรถที่มีลูกรักจอดเด่นสง่าอยู่เพียงแค่คันเดียว ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตหรูได้ดังกระหึ่มขึ้นไปทั่วบริเวณเมื่อเจ้าของกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ารถคันนี้สมรรถนะและแรงม้าสูงมากขนาดไหน ทว่าธีต์กลับขับมันด้วยความเร็วเพียงแค่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะขณะนี้เขายังอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัย

ถึงแม้ว่าผู้ชายสุดหล่อพ่อรวย อีกทั้งยังมีมรดกหลายร้อยล้านอย่างไอ้ธีต์จะดูเป็นรุ่นพี่นิสัยแย่ในสายตาของคนอื่น แต่ใครจะไปรู้ว่าเนื้อแท้ข้างในของเขานั้นมันเทพบุตรมาจุติบนโลกมนุษย์ชัด ๆ‘ใครได้เขาไปเป็นผัวบอกเลยว่าบุญกีสูงมาก’

ร้านเจ๊ตุ้มข้าวต้มปลาเมืองชล

“ร้านนี้เขาเสิร์ฟข้าวเร็วจริงวะ”

พี่ใหญ่ประจำแก๊งพูดขึ้นเมื่อลูกสาวเจ้าของร้านที่พ่วงตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟ ยันคนคิดเงินเดินถือถ้วยข้าวต้มปลาชามโตมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ ทั้งที่เขาเพิ่งจะออเดอร์ไปยังไม่ทันถึงสามนาทีเลยด้วยซ้ำ

เรียกได้ว่าสั่งที่หน้าร้านแล้วเดินเข้ามานั่งยังไม่ทันจะได้หายใจทิ้ง อาหารที่สั่งก็ถูกยกมาวางลงอยู่ตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย

“เออ กูชอบเพราะว่าร้านนี้เสิร์ฟเร็ว ไม่ต้องรอนาน แม้ว่าบางวันเจ๊แกจะลูกค้าเยอะก็เถอะ”

มหาสมุทรพูดอย่างที่ใจคิด จะเรียกว่าเขาเป็นลูกค้าขาประจำของร้านนี้เลยก็ว่าได้ เพราะตนนั้นกินข้าวต้มเจ๊ตุ้มมาตั้งแต่ร้านเจ๊แกยังขายอยู่ริมถนนจนตอนนี้เป็นเจ๊เต็มตัวย้ายขึ้นมาขายอยู่บนตึกแถวแล้ว

“ข้าวต้มแห้งรวมมิตรค่ะ”

เสียงของสาวสวยร่างเล็กผมยาวถึงกลางหลังในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนพูดขึ้น ขณะที่ในมือข้างหนึ่งถือถ้วยข้าวต้มแห้ง ส่วนมืออีกข้างประคองถ้วยใส่น้ำซุปขนาดเล็กเอาไว้ แต่เธอกลับหยุดมือค้างไว้ในอากาศ เพราะไม่รู้ว่าจะวางชามข้าวลงตรงไหนดี เนื่องจากตอนนี้บนโต๊ะไม่ได้มีเพียงถ้วยข้าวต้มของธีต์ และมหาสมุทร แต่มันยังมีถุงช้อปปิ้งวางอยู่ด้วย

“วางตรงหน้าไอ้หัวเทาเลยครับพี่”

มหาสมุทรเป็นฝ่ายบอกพี่สาวคนสวยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม เสียดายพี่แกน่าจะอายุเยอะกว่าเขา และคงไม่มองเด็กมหาลัยเป็นแน่ ‘เห้อ ไอ้หมุดอยากเกิดเร็วกว่านี้สัก 10 ปี เผื่อได้เลื่อนขั้นจากลูกค้าเป็นหวานใจพี่สาวคนสวย’

“ขอบคุณค้าบ”

และไอ้หมุดคนนี้ก็ไม่ลืมที่จะพูดขอบคุณพี่สาวคนสวยหลังจากที่เสิร์ฟอาหารให้พวกเขาทั้งสามคนจนครบ แต่มันจะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่พูดไม่จา อาหารมาก็ทำเพียงหยิบช้อนขึ้นมาตักกินเงียบ ๆ จนเขาอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่ออกไป

“ไอ้โยวันนี้มึงพูดถึงสามคำยัง”

“.....”

“กูถามจริงเถอะ มึงไม่มีเรื่องอยากจะพูดกับคนอื่นบ้างหรือไง วัน ๆ มีแต่อืม ๆ”

“.....”

“มึงจะไปเอาอะไรกับมันไอ้หมุด ยังไม่ชินอีกเหรอ”

“พี่มึงดูดิ คนเป็นอินโทรเวิร์ตยังไม่โลกส่วนตัวสูงเท่าไอ้โยเลยมั้ง”

แม้ว่ามหาสมุทรจะบ่นเพื่อนรักที่เลือกนั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขามากแค่ไหน แต่เจ้าของชื่อที่อยู่บนหัวข้อสนทนาหาได้สนใจ วาโยยังคงก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มในถ้วยของตัวเองโดยไม่พูดจาอะไรออกมาราวกับว่าบนโลกใบนี้มีเพียงชายหนุ่มอยู่คนเดียว

“พอ ๆ แดกข้าวได้แล้ว บ่นไปใช่ว่ามันจะเปิดปากมาพูดกับมึง”

พี่ใหญ่เป็นฝ่ายห้ามปราม ใช่ว่าเขาจะไม่อยากได้ยินเสียงของไอ้โย แต่ไอ้บื้อนี่มันพูดเสียที่ไหน วัน ๆ เห็นเล่นแต่กับงู รักงูเป็นชีวิตจิตใจขนาดที่ตามเนื้อตัวของมันยังเต็มไปด้วยรอยสักงู มากไปกว่านั้นไอ้โยยังเปิดฟาร์มขายงูอีกด้วย

ว่ากันตามความเป็นจริง ตั้งแต่รู้จักกันมาไอ้โยน่าจะพูดภาษางูมากกว่าภาษาคนกับพวกเขา

“ก็ได้วะ”

มหาสมุทรรับคำเสียงอ่อย ก่อนจะหยุดให้ความสนใจกับวาโย สามหนุ่มต่างพากันลงมือกินข้าวต้มของใครของมันเงียบ ๆ โดยไม่มีใครพูดคุยเรื่องอะไรขึ้นมาอีก จนกระทั่งเสียงคุ้นหูของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหลังของธีต์ ร่างสูงเอี้ยวตัวไปมองอย่างรวดเร็ว

“เจ๊ ข้าวมาแล้ว ให้หุงเลยไหม”

กานในชุดเสื้อยืดตัวเก่งสวมกางเกงผ้าร่มขายาวเดินแบกถุงข้าวขนาด 5 กิโลกรัมจำนวน 3 ถุงไว้บนบ่า เขาตะโกนถามเจ๊ตุ้มเสียงดังมาจากประตูด้านหลังของร้าน หลังจากที่เพิ่งขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อข้าวสารมาเพิ่ม โดยไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ เพราะถุงข้าวบังเอาไว้จนมิด

“หุงเลยกาน”

“รับทราบ”

เมื่อได้รับคำสั่งให้จัดการข้าวสารได้เลย กานจึงเดินแบกถุงข้าวไปวางลงใกล้ ๆ กับหม้อหุงข้าวขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณหน้าร้าน โชคยังดีที่เหล่าแก๊งหัวสีนั่งอยู่ด้านในสุด ทำให้ชายหนุ่มไม่ทันเห็นศัตรูคู่อาฆาต

“พี่ยุ้ยตอนกานไปซื้อของลูกค้าเยอะไหมครับ”

ชายหนุ่มเดินไปนั่งยังเก้าอี้สำหรับใช้นั่งพักของพนักงานในร้าน หลังจากหุงข้าวให้เจ๊ตุ้มตามคำสั่งเสร็จแล้ว

“มาเรื่อย ๆ แต่ปลาน่าจะใกล้หมดแล้ว”

“แบบนี้เราก็ได้เก็บร้านเร็วดิพี่”

“น่าจะนะ”

“ดีเลย วันนี้ผมจะได้กลับไปนอนให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้มีเรียนช่วงบ่าย สบาย ๆ”

ว่าจบพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า เห็นทีวันนี้เขาจะได้เลิกเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้กว่าจะขายของหมดและเก็บร้านก็กินเวลาไปเกือบเที่ยงคืน ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยฉิบหายของเขาเลยก็ว่าได้ จากเดิมที่เลิกเรียนแล้วจะต้องมาทำงานพิเศษที่ร้านเจ๊ตุ้ม กลับต้องแวะไปช่วยงานไอ้หัวขี้นั่นก่อน ค่าแรงที่เคยได้ก็ลดลงตามไปด้วย เพราะเขามาช่วยงานได้ไม่เต็มที่อย่างเคย

แม้ว่าเขาจะเป็นนักศึกษาทุนได้เรียนฟรี แต่สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งค่ากิน ค่าหอ ยังต้องพึ่งพางานพิเศษเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในส่วนนี้ ชีวิตที่ต้องดิ้นรนส่งตัวเองเรียนโดยไม่มีคนข้างหลังให้คอยกลับไปหา สำหรับเขานั้น มีบ้างที่รู้สึกเหงา แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อตัวคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ละนี่กินข้าวยัง”

เสียงถามด้วยความเอ็นดูจาก ‘ยุ้ย’ ลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ๊ตุ้มดังเรียกสติของพนักงานเสิร์ฟพาร์ทไทม์ให้หลุดออกจากความคิด ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาแทนคำตอบ

“ไปทำข้าวกินไป อย่าลืมทำกลับไปกินที่ห้องด้วยนะ”

“จ้า ขอบคุณนะพี่”

สองมือพนมยกขึ้นไหว้เพื่อทำความเคารพแก่คนตรงหน้าที่เปรียบเสมือนพี่สาวของเขา โชคยังดีที่เจ๊ตุ้มรับเขาเข้าทำงาน นอกจากจะได้ประหยัดค่าข้าวเย็นไปแล้ว เจ๊แกยังอนุญาตให้ทำข้าวกลับไปกินในตอนเช้าได้อีกด้วย กานตั้งท่าจะลุกขึ้นไปทำข้าวกิน แต่เสียงเรียกเก็บเงินของลูกค้าดังขึ้นเสียก่อน

“เก็บเงินครับ”

น้ำเสียงคุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาททำขนที่ต้นแขนลุกซู่ เพราะเสียงเรียกเก็บเงินนั้น มันคล้ายกับเสียงของใครบางคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้า ‘ขออย่าให้เป็นคนที่กูคิดเลยเถอะ’

แต่ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่เป็นใจ เมื่อหันไปตามเสียงเรียกแล้ว ภาพของผู้ชายสามคนที่แต่ละคนนั้นมีสีผมโดดเด่นมาแต่ไกลเป็นคำตอบที่เขาไม่อยากพบเจอในเวลานี้

“พะ พี่-”

ยังไม่ทันที่จะได้บอกกล่าวให้พี่ยุ้ยไปเป็นคนเก็บเงิน ลูกค้าก็เข้าร้านมาพอดี ทำให้ผู้ช่วยชีวิตเพียงคนเดียวของเขาในเวลานี้ต้องลุกจากเก้าอี้ไปช่วยเจ๊ตุ้มทำอาหาร

แล้วหน้าที่เก็บเงินจะเป็นของใครไปไม่ได้ หากไม่ใช่ ‘ไอ้กาน’

แล้วหน้าที่เก็บเงินจะเป็นของใครไปไม่ได้ หากไม่ใช่ ‘ไอ้กาน’

“อ้าวน้องเด็กเสิร์ฟ หูตึงเหรอครับ โต๊ะพี่เรียกเก็บเงิน”

ธีต์พูดซ้ำอีกรอบ ด้วยระดับเสียงที่ดังขึ้นมากกว่าเดิม ส่งผลให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านต่างพากันเบนความสนใจมามองที่กานเป็นตาเดียว จนในที่สุด เขาจำต้องยอมเดินหน้างอเข้าไปหาไอ้หัวขี้

“เงินเก็บนะ”

“ใช่”

“ทั้งหมด 360 บาท”

“กูเพิ่งรู้นะหนิ ว่าที่มึงรีบร้อนออกมาทุกเย็นเพราะมาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟกระจอก ๆ”

แทนที่ธีต์จะส่งเงินในมือในกับรุ่นน้อง เขากลับพูดจาถากถางอีกฝ่าย

“360 บาทครับคุณลูกค้า”

กานได้ยินถ้อยคำดูถูกทุกคำ แต่เลือกที่จะไม่ใส่ใจ และเน้นย้ำเรื่องราคาอาหารมื้อนี้ออกไปอีกครั้ง

“อะ!”

“เห้ยพี่มึง!”

มหาสมุทรร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ ไอ้พี่ธีต์ที่ควรจะส่งเงินค่าข้าวใส่มือเด็กนั่น แต่มันดันโยนเงินแบงก์ห้าร้อยในมือลงพื้นร้าน นี่เพื่อนเขามันจะจงเกลียดจงชังน้องมันอะไรนักหนา

“เก็บสิ”

ธีต์ไม่สนใจเสียงร้องของเพื่อน แต่เขายังเลือกทำกิริยาไร้มารยาทต่อโดยไม่แคร์สายตาคนอื่น ทางด้านกานได้แต่กำมือแน่นด้วยความโกรธที่ตนถูกคนตรงหน้าดูถูกมากขนาดนี้ เขากัดฟันพูดเสียงเข้ม

“เข้าใจได้ครับว่าแก่แล้วกล้ามเนื้อแขนขามันอ่อนเปลี้ยเป็นธรรมดา”

“ไอ้-”

“ยังไงรบกวนพี่ ๆ ช่วยซื้อวิตามินให้พี่เขาด้วยนะครับ นี่ขนาดอายุยังไม่สามสิบ สมรรถภาพทางร่างกายเสื่อมได้ขนาดนี้ ถ้าไม่รีบกินวิตามินเสริมเร็ว ๆ ผมกลัวว่าจะมีอายุอยู่ไม่ถึง 40 เอาได้”

พูดจบจึงโน้มตัวลงเก็บเงินแบงก์พันแล้วหมุนตัวเดินกลับออกไป โดยไม่สนใจจะอยู่ฟังคำพูดของอีกฝ่าย

“ตั้งแต่รู้จักกับพี่มึงมา วันนี้กูเห็นแล้วว่ามีคนล้มมึงได้จริง ๆ วะ” มหาสมุทรยกมือลูบไปที่ไหล่กว้างของคนพี่ด้วยความขำกับสถานการณ์เมื่อครู่ ไอ้พี่ธีต์ที่ว่าแน่ แม่งยังเถียงสู้เด็กนั่นไม่ได้ ตลกฉิบหาย “ไอ้โย มึงว่าเราซื้อแคลเซียม หรือวิตามินไรให้ไอ้พี่ธีต์มันดีวะ” เขาหันไปขอความคิดเห็นจากเพื่อนรักอีกคน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงมันก็ไม่ตอบกลับมา

“แคลเซียม”

ผิดคาดเมื่อวาโยดันเห็นดีเห็นงามกับคำถามของมหาสมุทรและพูดตอบด้วยประโยคอื่นนอกจากคำว่า ‘อืม’ ทำเอาคนฟังยกยิ้มอย่างพึงพอใจ เพราะนั่นหมายความว่าไอ้โยมันให้ความสนใจรุ่นน้องคนนี้ด้วยเช่นกัน

“พี่มึงต้องดีใจนะ ขนาดไอ้โยยังยอมปริปากบอก”

“พวกมึงสองตัวหยุดเลย เด็กเปรต!”

ไม่พูดเปล่าเขายกมือไปปัดฝ่ามือของเพื่อนที่แตะไหล่อยู่ให้พ้นทางด้วยความหงุดหงิด สายตาคมกริบจ้องมองไปยังร่างของกานที่กำลังนับเงินทอนอยู่หน้าตู้ใส่เงินด้วยแววตาเขม็ง

“ให้มันรู้ไปสิว่าคนอย่างไอ้ธีต์จะเอาคืนมันไม่ได้”

มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อในหัวของเขาผุดแผนร้ายขึ้นมาใหม่ ถ้าการดูถูกเด็กเปรตนั่นไม่สำเร็จ คนอย่างเขามันมีวิธีอื่น ๆ มาแกล้งอยู่แล้ว รู้จักกันธีต์น้อยไป

“เงินทอนครับคุณลูกค้า”

กานเดินเข้ามาพร้อมกับวางเงินทอนลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินกลับไปทำหน้าที่ตัวเองต่อ แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไปได้เกิน 3 ก้าว เสียงร้องด้วยความตกใจของไอ้หัวขี้ดังขึ้นลั่นร้าน

“เห้ย เงินทอนไม่ครบ นี่มึงโกงกูเหรอ”

“อะไรวะ ใครโกง ค่าข้าว 360 บาท จ่ายมา 500 ทอน 140 ก็ถูกแล้วนี่” กานสวนกลับทันควัน

“กูให้แบงก์พันไปนะ”

“คุณลูกค้าจ่ายแบงก์ห้าร้อยมาครับ เผื่อสมองปลาทอง ผมจะช่วยย้ำเตือนให้”

กานเลือกที่จะตอบออกไปเสียงเบา เพราะไม่อยากให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านแตกตื่นตามไปด้วย ตรงกันข้ามกับลูกค้าเจ้าปัญหาของเขา ที่ตอนนี้มันเปลี่ยนจากบอกกล่าว มาเป็นตะโกนเสียงดังมากกว่าเดิม

“กูจ่ายแบงก์พัน จะมาแบงก์ห้าร้อยอะไร นี่มันโกงกันชัด ๆ เจ้าของร้านอยู่ไหนวะ ทำไมปล่อยให้ลูกจ้างโกงเงินทอนลูกค้าได้”

“แบบนี้มันปรักปรำกันนี่หว่า มึงจ่ายแบงก์ห้าร้อย ใช่ไหมพี่”

ท้ายเสียงกานหันไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่หัวสีเทา แต่อีกฝ่ายกลับนั่งเงียบไม่พูดไม่จา เขาเลยส่งสายตาขอร้องไปยังรุ่นพี่หัวสีแดงแทน

“ไอ้พี่ธีต์-”

“มึงไม่ต้องไปช่วยคนผิดเลยไอ้หมุด มึงก็เห็นว่ากูจ่ายแบงก์พัน”

“ตะ แต่-”

“พอเลย ไปเรียกเจ้าของร้านมาคุยดิวะ”

ธีต์ไม่ปล่อยโอกาสให้เพื่อนรักได้ช่วยรุ่นน้อง เขาชิงพูดสวนขึ้นทันทีโดยไม่เหลือช่องว่างให้ไอ้หมุดมันแทรกขึ้นได้

“เจ๊ เจ้าของร้านอะ เด็กเสิร์ฟเจ๊โกงเงินผม”

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ทำเอาเจ๊ตุ้มและยุ้ยต้องวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ สองแม่ลูกเดินตรงปรี่เข้ามาหาลูกค้าหนุ่มด้วยสีหน้าฉงน

“เกิดไรขึ้นคะ” เจ๊ตุ้มเป็นฝ่ายถาม

“เด็กนี่มันทอนเงินผมไม่ครบ แล้วมาหาว่าผมจ่ายแบงก์ห้าร้อย ทั้งที่ผมจ่ายแบงก์พันไป”

“ใจเย็น ๆ นะคะ กานไปหยิบเงินมาทอนลูกค้าอีกห้าร้อย”

หากใครเป็นลูกค้าร้านเจ๊ตุ้มจะรู้ดีว่าเจ๊แกเป็นคนที่ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับพวกลูกค้าที่มักวนเวียนมีเรื่องปวดหัวมาให้ ในยามที่เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเจ๊แกจึงเลือกที่จะยอม ๆ เพราะไม่อยากให้เรื่องราวมันบานปลาย

แม้ว่าสมัยยังสาวเจ๊จะเคยกระโดดถีบอกคนเมาเพราะมาลัดคิวแล้วขึ้นเสียงใส่ลูกค้าก็ตาม…

“แต่เจ๊ ลูกค้าเค้าจ่ายแบงก์ห้าร้อยมานะครับ” กานรีบแย้งไม่ทันไร แต่เจ๊ตุ้มยังคงพูดเสียงดุ ๆ เป็นเชิงกดดัน

“ไปหยิบเงินมาทอนลูกค้า”

“แบบนี้เราก็ขาดทุนสิเจ๊”

“กาน!”

เจ๊ตุ้มเรียกชื่อพนักงานเสิร์ฟที่เธอเอ็นดูเหมือนลูกชายเสียงเข้ม ทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงรีบก้มหน้าหลบสายตา แต่ก่อนที่เรื่องราวจะใหญ่โตไปมากกว่านี้ ลูกค้าเจ้าปัญหาอย่างธีต์กลับเลือกที่จะตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างกับตนเองเป็นผู้ถูกกระทำ

“ไม่เป็นไรหรอกเจ๊ ผมไม่เอาหรอก ถือเสียว่าทำทานให้มัน”

“ไม่ได้ค่ะคุณ”

“จริง ๆ เจ๊ ผมไม่อยากเอาความเด็กมันแต่ว่า…”

เขาทิ้งท้ายด้วยแววตาลุ่มลึกที่คงมีแต่กานคนเดียวเท่านั้นที่มองออก ทุกอย่างที่ผู้ชายหัวส้มแสดงออกมา มันคือตัวร้ายในละครหลังข่าวดี ๆ นี่เอง

“ว่ายังไงคะ”

“ผมคิดว่าร้านเจ๊ไม่ควรจ้างเด็กคนนี้ต่อนะครับ ขนาดเงินลูกค้าเขายังโกงได้หน้าด้าน ๆ เจ๊ไม่กลัวเขาขโมยเงินในร้านหรือไปทำกับลูกค้าคนอื่น ๆ เหรอครับ”

คราวนี้เจ๊ตุ้มชะงักไปทันที เธอรู้ดีว่ากานเป็นเด็กนิสัยอย่างไร และพอรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้นั้น เป็นเพราะลูกค้าจงใจอยากจะแกล้งเด็กมัน แต่ด้วยไม่อยากให้เรื่องราวมันไปไกลกว่านี้ จึงเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ แม้ว่าจะขัดใจของลูกสาวที่ตอนนี้กำลังดึงแขนเสื้อผู้เป็นแม่ไม่หยุดก็ตาม

“แม่ แต่-”

“ไม่ต้องพูด” เจ๊ตุ้มหันไปตวาดลูกสาว ก่อนจะเบนความสนใจมาหาลูกค้าต่อ “กานมันทำงานที่นี่มานานแล้ว วันนี้น้องมันอาจจะหลงลืมไปบ้าง อย่าให้ต้องไล่มันออกจากงานเลยนะคุณ”

“โหย แล้วแบบนี้ผมจะกล้ากลับมากินที่ร้านเจ๊อีกเหรอ ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าเด็กเสิร์ฟจะมาขโมยของจนไม่ต้องกินข้าวกันพอดี”

ประโยคยาวเหยียดของธีต์ทำเอาคนที่เหลือในร้านเริ่มพูดคุยกันขึ้นมา ดูเหมือนว่าลูกค้าคนอื่น ๆ จะกลัวเรื่องความปลอดภัยของทรัพย์สินตนเอง จนมีหลายโต๊ะเรียกเก็บเงินทั้งที่ยังกินข้าวไม่เสร็จด้วยซ้ำ

กานไม่สนใจสายตาของคนอื่น ๆ ที่กำลังจับจ้องมาที่เขา แต่ที่เขาสนใจคือเจ๊ตุ้ม ผู้มีพระคุณของเขาต่างหาก แน่นอนว่าเขาไม่อยากนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ร้าน ไม่ว่าจะมาจากทางไหนก็ตาม

“ไม่เป็นไรเจ๊ ผมลาออกเองครับ ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้เจ๊ช่วยผมและดูแลผมมาเป็นอย่างดีนะครับ”

เขายกมือไหว้เจ๊ตุ้มแล้วหันไปส่งยิ้มจาง ๆ ให้กับพี่ยุ้ย โดยไม่สนใจรุ่นพี่ทั้งสามว่าตอนนี้จะมองเขาด้วยแววตาแบบไหน ร่างสูงโปร่งเดินไปหยิบถุงผ้าที่วางเอาไว้ใกล้กับประตูหลังร้าน แล้วก้มหน้าก้มตาเดินออกไปทันที โดยไม่ทันอยู่ฟังเสียงร้องเรียกของเจ๊ตุ้มและลูกสาว

ชีวิตเขาแค่จนก็แย่อยู่แล้ว ยังต้องมาเหนื่อยสู้รบตบมือกับไอ้เวรพวกนั้นอีก

พวกคนรวยที่มันไม่เห็นหัวคนจน อาศัยอยู่บนยอดปราสาทท่ามกลางความสะดวกสบายและมองเรื่องปากท้องของคนจนเป็นเรื่องตลก ‘ครั้งนี้มันแกล้งกันเกินไปจริง ๆ ’

“แค่นี้ไม่ตายหรอก”

คำพูดปลอบใจตัวเองดังขึ้นเบา ๆ ขณะเสียบกุญแจไปยังไอ้นวลลูกรัก จู่ ๆ เขาก็กลายเป็นคนตกงานทั้งที่ค่าหอจวนใกล้เข้ามาถึงเวลาที่จะต้องจ่าย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ หากยังดึงดันอยู่ที่ร้านเจ๊ตุ้มต่อ คนที่จะเดือดร้อนไปมากกว่านี้คงไม่พ้น ‘เจ๊ตุ้มและพี่ยุ้ย’ ซึ่งเขายอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นไม่ได้หรอ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • การันต์กันธีต์   ตอนจบ : วันเกิดปีนี้พี่ธีต์ไม่ต้องฉลองคนเดียวอีกต่อไปแล้วนะ

    “ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 48 : ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอสินะ

    “ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 47 : แม่ยายและว่าที่ลูกสะใภ้หมายเลขหนึ่ง

    ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 46 : คำบอกรักจากพี่ธีต์ที่ไปไม่ถึงคนฟัง

    “กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 45 : ความรักของพ่อ ความรักของแฟน

    “คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 44 : ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

    โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status