Home / วาย / การันต์กันธีต์ / บทที่ 5 : สาแก่ใจไอ้กานนัก

Share

บทที่ 5 : สาแก่ใจไอ้กานนัก

Author: โบกร
last update Last Updated: 2025-10-17 00:28:05

มหาวิทยาลัยคิงเวลส์, ตึกคณะนิติศาสตร์

 

“แล้วแบบนี้มึงจะเอาเงินที่ไหนกินวะกาน”

เสียงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงของพร้อมพบดังขึ้นขณะที่เขา ไอ้กาน และไอ้ดลพากันเดินมานั่งเล่นอยู่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้บริเวณด้านหลังตึกคณะ และที่เขาเพิ่งจะถามไอ้กานออกไปเช่นนั้น เพราะเมื่อครู่ตอนนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ในโรงอาหาร เขาจับสังเกตได้ว่าวันนี้ไอ้ตัวดีมันเงียบผิดปกติ และพอเค้นถามกันอยู่พักใหญ่ มันถึงยอมปริปากบอกว่าลาออกจากร้านเจ๊ตุ้มมาแล้วเมื่อคืน

“กูยังไม่รู้เลย แต่กูพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ถ้าภายในสิ้นเดือนนี้ยังไม่ได้งานใหม่นะ เดือนหน้ากูแย่แน่วะ”

คนที่เพิ่งตกงานมาหมาด ๆ ยังไม่ทันจะพ้น 24 ชั่วโมง สภาพในตอนนี้ไม่ต่างจากซอมบี้เดินได้ ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยดูสดใสตอนนี้ใต้ตาคล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอน แววตาหม่นหมองพร้อมกับหัวคิ้วที่ย่นจนแทบชนกันราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา

“แล้วพี่ยุ้ยกับเจ๊เขาไม่ตามมึงกลับไปทำงานเหรอวะ”

“พี่เขาก็มีไลน์มาตามแหละมึง แต่จะให้กูบากหน้ากลับไปทำงานร้านเขา มึงว่าคนจะกล้าเข้ามากินข้าวที่ร้านไหม…แม่ง!”

“เออ กูเข้าใจ รอบนี้พวกรุ่นพี่แม่งเล่นแรงจริงวะ กูละเกลียดฉิบหายพวกคนรวยรังแกคนจนเนี่ย”

พร้อมพบพยายามพูดปลอบใจเพื่อน มิหนำซ้ำยังอดไม่ได้ที่จะพูดจาค่อนขอดไอ้พวกรุ่นพี่หัวสีที่เป็นตัวการทำให้เพื่อนของเขาต้องตกงานแล้วมานั่งหน้าหงอยเป็นหมาซึมอยู่แบบนี้

“กูนึกว่าเรื่องแบบนี้จะมีแต่ในละครน้ำเน่าวะ ไม่คิดว่าชีวิตจริงเพื่อนตัวเองจะมาเจอ”

ณดลที่นั่งเงียบฟังเพื่อน ๆ มาพักใหญ่ พูดขึ้นบ้าง เขาเองก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะช่วยเพื่อนให้รอดพ้นจากสถานการณ์ทางการเงินในขณะนี้ได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองก็ย่ำแย่มีสภาพไม่ต่างจากไอ้กาน

ทั้งกลุ่มของพวกเขามีแค่ไอ้พร้อมที่บ้านรวยโคตร ๆ แต่ทำตัวติดดินคบเพื่อนรากหญ้าแบบพวกเขา โดยที่มันไม่เคยโอ้อวดหรือบอกใครเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นถึงน้องชายของดาราดังระดับประเทศ

“มึงคิดเหมือนกูใช่ไหมดล ไอ้หัวขี้แม่งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเหมือนเป็นเรื่องปกติ กูยังจำสีหน้าของมันตอนนั้นได้ดี อยากจะยกรางวัลตุ๊กตาควายเคลือบยางมะตอยให้มัน หน้าหนาฉิบ!”

“เออ จริง ๆ เรื่องที่มึงไปเฉี่ยวกระจกรถเขา ถ้าว่ากันตามตรง พี่เขาก็มีส่วนผิดนะมึง ตัวเองจะเปลี่ยนเลนถนนแต่ไม่เปิดไฟเลี้ยว กูละสงสัยจริง ๆ พวกซื้อรถแพง ๆ มันลืมซื้อไฟเลี้ยวออกมาจากโชว์รูมทุกคันเลยไหมนะ เออ! ว่าแต่วันนี้มึงต้องไปช่วยมันทำวิจัยไหมวะ”

“ไปแหละ คอยดูนะ เจอหน้ากูจะเอาคืนให้คว่ำ”

กานกัดฟันพูดด้วยความโมโห สีหน้าและแววตาดูขึงขังขึ้นทันทีที่พูดจบ

“ยังไงระวังตัวไว้ด้วยนะมึง กูเริ่มคิดแล้วว่าพวกนั้นแม่งไม่หยุดแค่นี้แน่”

“ขอบใจมึงมากดล ว่าแต่มึงเถอะไอ้พร้อม ไหวปะเนี่ย เห็นนั่งเงียบไป”

ท้ายเสียงหันไปถามเพื่อนรักอีกคน ที่เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ

“เปล่า กูยังไหว แค่คิดว่าจะช่วยมึงยังไงดี”

“ไม่เป็นไรมึง เดี๋ยวเลิกเรียนกูว่าจะไปขี่รถวนดูแถวมอเราว่ามีร้านไหนเปิดรับสมัครพนักงานไหม”

“เอางี้ไหมมึง มาช่วยงานที่ร้านป๊ากู เดี๋ยวกูบอกแกให้ ป๊าเขาเอ็นดูมึงจะตาย”

เนื่องจากล่าสุดพนักงานขายคนหนึ่งในร้านเพิ่งจะขอลาออกไปเมื่อต้นเดือน และจนกระทั่งตอนนี้ป๊าของเขาก็ยังไม่ได้รับใครเข้ามาทำงานใหม่ โดยให้เหตุผลว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ แน่นอนว่าถ้าวันนี้กลับบ้านไปเสนอชื่อไอ้กาน หัวเด็ดตีนขาดยังไงป๊าก็ช่วยอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ไอ้ตัวดีจะเป็นฝ่ายปฏิเสธเสียเอง

“เห้ยไม่ต้อง กูเกรงใจ อีกอย่างนี่มันเรื่องของกู กูไม่อยากเอาความลำบากของกูมาทำให้พวกมึงต้องลำบากไปด้วยนะพร้อม”

กานว่าออกไปอย่างที่ใจคิด เพราะเรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาจะต้องจัดการและหาทางออกด้วยตนเอง ครั้นจะให้ไปรบกวนพ่อของเพื่อนเพื่อขอทำงานแลกเงิน เขาไม่อยากทำแบบนั้น มันดูเป็นการรบกวนมากจนเกินไป แค่ทุกวันนี้ไอ้พร้อมมาคบกับเขา แถมช่วงสิ้นเดือนยังช่วยออกเงินเลี้ยงข้าวให้ก่อน แค่นี้ก็ไม่รู้จะตอบแทนมันยังไงแล้ว แม้ว่าเพื่อนรักหน้าหวานจะเอาแต่บอกว่าไม่ถือเป็นบุญคุณก็ตาม

“ได้ไงวะ เพื่อนกัน ถ้าเพื่อนลำบาก มึงจะให้กูทิ้งเพื่อนได้ลงคอเรอะ” พร้อมโพล่งขึ้นทันควัน ตามมาด้วยณดล

“จริง ถึงกูจะมีไม่มากเท่าไอ้พร้อม แต่กูก็อยากให้มึงลองรับข้อเสนอของมันไว้นะ อย่างน้อยมึงยังพอมีเงินมาหมุนใช้ชีวิตต่อ”

“แต่กูไม่อยากไปรบกวนพ่อมึง แค่ทุกวันนี้ที่มึงช่วยเลี้ยงข้าวกูก็มากเกินพอแล้ว”

“มึงอย่ามาชวนดึงดราม่าไอ้กาน คนอย่างมึงมันใจเสาะเสียที่ไหน ตกลงตามนี้เดี๋ยวเย็นนี้กูกลับไปถึงบ้านแล้วจะคุยกับเขาให้ แต่เชื่อกูเถอะลูกรักอย่างมึง พรุ่งนี้ป๊ากูคงบอกให้ไปเริ่มงานได้”

“จะดีเหรอวะมึง”

“ดีสิ ช่วงนี้พี่คนขายเขาเพิ่งลาออกไป ป๊ากูขาดคนพอดี”

“งั้นรบกวนด้วยนะมึง”

สุดท้ายกานก็พ่ายแพ้ให้กับสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยจากไอ้พร้อม จนยอมตกปากรับคำให้เพื่อนช่วยในครั้งนี้ อย่างน้อยเขายังพอมีงานให้ทำและมีค่าแรงให้เอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ แต่ถึงอย่างนั้นภายในใจยังรู้สึกไม่สู้ดีที่คิดว่าตัวเองเป็นภาระแก่เพื่อน

“ถ้ากูหางานใหม่ได้ กูจะไม่รบกวนพ่อมึงเลยพร้อม”

“จะไปหาใหม่ให้วุ่นวายทำไม ทำกับป๊ากูอะดีแล้ว ไป ๆ เลิกพูด หมดเวลาพักแล้ว ขึ้นเรียนโว้ย”

พร้อมพบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมาอยู่สองสามที แล้วเตรียมเดินกลับขึ้นไปยังห้องเรียน

“เออวะ บ่ายแล้วนี่”

กานก้มมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเรือนเก่งที่เขาสวมติดตัวไว้ทุกวัน เนื่องจากมันเป็นของขวัญจากเพื่อนรักทั้งสองที่พากันรวมเงินซื้อให้เขาเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว นาฬิกาเรือนนี้จึงถือว่าเป็นของสำคัญต่อใจของเขาเลยก็ว่าได้

ร่างสูงลุกขึ้นยืนตามเพื่อน แต่ทว่าไอ้เพื่อนรักอีกคนยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง กานจึงเอ่ยปากเรียกให้ณดลลุกขึ้นยืนตาม

“ไอ้ดลลุก”

“เออ ลุกแล้ว ไป ๆ”

สามหนุ่มตบเท้าเดินตามกันเข้าไปภายในอาคารเรียน โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเลยว่าระหว่างที่พวกเขานั่งพูดคุยกันอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้น ได้ตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคน และเขาคนนั้นก็ได้ยินทุกประโยคเมื่อครู่ชัดเจนทุกคำ

 

คอนโดหรูใจกลางทองหล่อ

“นี่มึงจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอวะ”

หลังจากวันนี้เขาเปลี่ยนสถานที่ทำวิจัยจากเดิมคือ ห้องสมุดมหาวิทยาลัย มาเป็นที่คอนโด ไอ้เด็กเปรตที่ปกติมักจะคุยจ้อเถียงคำไม่ตกฟาก วันนี้ตั้งแต่มันก้าวขาเข้ามาภายในห้อง และช่วยเขาหาข้อมูลมานับชั่วโมง อีกฝ่ายไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าสบตาหรือพูดสิ่งใดออกมา ทำเพียงพยักหน้าแล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบ ๆ

แต่เขาพอรู้แหละว่าทำไมมันถึงไม่ยอมพูดด้วย แต่ช่วยไม่ได้ มาทำตัวให้น่าหมั่นไส้เอง

“.....”

“มึงลืมเอาหูมาหรือไงวะกาน”

“.....”

“เออดี อย่าให้กูได้ยินเสียงมึงพูดแล้วกัน”

เจ้าของห้องพูดเสียงขึ้นจมูกด้วยความหงุดหงิด คนอย่างกันธีต์ที่มีแต่คนอยากวิ่งเข้าหา ทั้งชีวิตแทบไม่ต้องไปเปิดบทสนทนากับใครก่อนด้วยซ้ำ แต่ต้องมานั่งถามเด็กเปรตตรงหน้า ที่ตอนนี้นอกจากมันจะไม่ยอมนั่งบนโซฟาแล้ว ยังเชิญตัวเองไปนั่งอยู่บนพื้นพรมของห้องพร้อมทั้งตั้งหน้าตั้งตาเปิดหาข้อมูลในหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยอย่างกับของตรงหน้าคือสมบัติล้ำค่า

“.....”

ด้านกานที่เอาแต่นั่งเงียบ เนื่องจากเขาไม่อยากเสวนากับคนที่ทำให้ตนต้องตกงาน แถมยังตกที่นั่งลำบากเพราะตอนนี้ไม่มีงานใหม่ทำ จึงไม่อยากจะพูดจาให้มากความ เลยเลือกที่จะทำหน้าที่ของตัวเองคนเดียวเงียบ ๆ โดยมีไอ้หัวขี้คอยบอกสิ่งที่ต้องการให้ช่วยค้นหาอยู่เป็นระยะ ๆ

ตั้งแต่เขาถูกเปลี่ยนสถานที่นัดหมาย โดยที่อีกฝ่ายทำเพียงส่งข้อความสั้น ๆ และแชร์โลเคชันให้ตามมาหลังเลิกเรียน หากเป็นในเวลาปกติที่เมื่อคืนเขาและมันไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกัน ตัวเขาเองคงได้ตื่นตาตื่นใจไปกับความอลังการของคอนโดไอ้หัวขี้แน่ ๆ เพราะนอกจากที่นี่จะตั้งอยู่บนทำเลทองใจกลางเมืองแล้ว ภายในห้องยังโอ่อ่าและถูกตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม อีกทั้งยังอยู่บนชั้น 43 โดยบริเวณห้องโถงที่ถูกใช้เป็นห้องรับแขกที่พวกเขากำลังนั่งทำงานอยู่นี้ มันสามารถมองทะลุผนังกระจกใสออกไปเห็นวิวเมืองกรุงเทพฯ ได้ไกลสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย

แต่นั่นแหละ เขาไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งชมความงามของเมืองหลวงแต่อย่างใด เพราะแค่มาอยู่ร่วมห้องกับไอ้หัวขี้ และหายใจรับออกซิเจนร่วมกันกับมัน แค่นี้ไอ้กานอยากจะอ้วกเต็มทน

“กูหิว”

เสียงพูดสั้น ๆ ดังลอยมาเรียกสติของกาน โดยที่คนฟังยังทำเป็นหูทวนลม และไม่รู้ว่าไอ้ประโยคเมื่อครู่นั้น มันเป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำสั่งกันแน่ ‘หิวก็บอก อีกหน่อยปวดขี้ก็คงบอกเขาด้วย’ แต่ถึงอย่างนั้นกานยังคงตีมึนนั่งเปิดหน้ากระดาษไปพลาง ๆ จนเจ้าของห้องต้องทวนประโยคด้วยโทนเสียงที่ดังขึ้นอีกระดับ

“กูบอกว่าหิว นี่มึงฟังกูอยู่ไหมหนิ”

“ไร้สาระ”

แต่แทนที่กานจะตอบรับ เขากลับพูดเสียงเอื่อย ๆ ออกมาราวกับเสียงของกันธีต์คือเสียงนกเสียงกาชวนให้น่ารำคาญ

“กูจะทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่มึงพูดเมื่อกี้ แต่ช่วยหยิบบัตรเครดิตที่วางอยู่บนโต๊ะข้างประตู แล้วช่วยออกไปซื้อของที่มินิมาร์ทข้างล่างคอนโดให้กูที”

“กูไม่ได้หิว ใครหิวก็ไปซื้อเองสิ ขามีเหมือนกันไม่ได้เป็นง่อยหนิ”

“ไอ้กาน บอกกี่ทีแล้วว่าคุยกับกูช่วยพูดให้มันสมกับที่กูเป็นรุ่นพี่มึงหน่อย”

“ถ้าแค่นี้ทนฟังไม่ได้ นู่น” กานยกนิ้วชี้ไปทางผนังกระจก แต่ตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของไอ้หัวขี้เขม็ง “เอาหัวโหม่งกระจกแล้วกระโดดลงไปตายเลย คนแบบมึงอยู่ไปก็เปลืองออกซิเจนโลก” ว่าจบก็หันไปสนใจหนังสือในมือต่อ

หากเป็นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกันเช่นนี้ ไม่แคล้วคนทั้งสองคงได้ฟาดฟันกันทางสายตา แต่ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ เพราะรอบนี้ธีต์ทำเพียงส่ายหัวเบา ๆ แล้วพูดจาเย้าแหย่คนน้องเท่านั้น

“ไม่เป็นไร ถ้ากูตายไว ชีวิตมึงคงขาดสีสันแย่”

“.....”

เมื่อเห็นว่าเด็กเปรตมันไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูด จึงย้ายก้นของตัวเองจากบนโซฟาไปนั่งลงข้าง ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ จากนั้นจึงตะโกนส่งเสียงชิดใบหูของอีกฝ่ายโดยที่กานไม่ทันได้ตั้งตัว “ช่วยไปซื้อของกินให้ที กูหิวววว!!” เขาลากเสียงในตอนท้าย

แน่นอนว่าวิธีกวนส้นตีนของธีต์สำเร็จผล กานผงะตกใจจนเกือบหงายหลัง ที่จู่ ๆ ไอ้หัวขี้ก็พาตัวเองมาใกล้เขาขนาดนี้ ‘มันไม่ใช่ความรู้สึกเขินหรอกนะ แต่มันขนลุกกลัวว่าฟ้าจะผ่าใส่กบาลเอากลางวันแสก ๆ ’

“เออ ๆ จะแดกอะไรครับ ทำตัวน่ารำคาญฉิบหาย”

สุดท้ายต้องจำใจตกลงรับบทเป็นเบ้ไปซื้อของกินให้จนได้

“อะไรก็ได้”

นั่นปะไร ปากบอกว่าหิว แต่พอถามว่าอยากกินอะไร กลับบอกแค่ว่า ‘อะไรก็ได้’ เมื่อไหร่คนไทยจะเลิกตอบคำถามด้วยประโยคนี้เสียที เพราะไอ้อะไรก็ได้เนี่ย ซื้ออะไรมาไม่เห็นจะแดกสักราย

‘ไอ้กานจะเครซี่’

ร่างสูงโปร่งที่ยังคงอยู่ในชุดนักศึกษาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินตรงไปยังประตู แต่ไม่ลืมที่จะหยุดแล้วหยิบบัตรเครดิตของอีกฝ่าย แต่มือที่กำลังยื่นไปบนโต๊ะเป็นอันต้องชะงัก

“มึง บัตรเครดิตมีเป็นสิบใบ ให้ใช้ใบไหนวะ”

ส่งเสียงตะโดนถามออกไปเพราะตรงหน้าเขาที่เห็นตอนนี้มีบัตรเครดิตวางเรียงรายอยู่มากมาย ซึ่งแต่ละใบนั้นหน้าตาแปลก ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน รออยู่ไม่กี่อึดใจ เสียงร้องตอบกลับแบบส่ง ๆ ก็ลอยมาตามอากาศ

“ใบไหนก็หยิบไปเถอะ จ่ายได้หมดทุกใบ”

“แล้วเขาไม่ต้องให้เจ้าของบัตรเซ็นอะไรตอนจ่ายเหรอวะ”

“ไม่ต้อง รูดได้เลย”

“หยิบใบไหนก็ได้นะ”

กานถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซึ่งคำตอบที่ได้ยังคงเป็นการตกลงแบบส่ง ๆ จากเจ้าของห้องมาอีกเช่นเคย ครั้นเขามองไปยังต้นเสียง ไอ้เวรนั่นก็เอาแต่นั่งไขว่ห้างมือสไลด์หน้าจอโทรศัพท์โดยไม่ได้สนใจว่าเขาจะหยิบบัตรใบไหนไปซื้อของด้วยซ้ำ เห็นดังนั้นไอ้กานจึงเลือกหยิบบัตรที่ชื่อยาวกว่าใครเพื่อนขึ้นมา

‘เดอะวิสดอมกสิกรไทย วีซ่า อินฟินิท อันนี้แล้วกันชื่อยาวเวอร์ดี’

15 นาทีผ่านไป

 

“ข้าวมาแล้ว”

เสียงของกานดังขึ้นหลังจากที่เขาหายไปซื้อของกินให้กับไอ้หัวขี้ที่ตอนนี้ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมบนโซฟาไม่ต่างจากตอนที่เขาเดินออกไป กานจึงเดินหิ้วอาหารที่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี แต่ถึงอย่างนั้นก็หยิบมันมาแทบจะครบทั้งของคาว ของหวาน รวมไปถึงน้ำอัดลมและน้ำผลไม้อีกหลายยี่ห้อ เพราะเจ้าของเงินที่ให้บัตรเขาไปรูดมานั้นโยนโจทย์ซื้อของกินมาแค่ ‘อะไรก็ได้’

ทางด้านเจ้าของเรือนผมสีส้มยังคงนั่งดูคอลเลกชันรถรุ่นใหม่บนหน้าจอโทรศัพท์ถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อเขาละสายตาไปมองเด็กเปรตแล้วเห็นว่ามันหอบของกินมาจนแทบล้นสองมือ

“มึงซื้อไรมาเยอะแยะวะ”

“มึงบอกอะไรก็ได้ นี่ไง” กานยื่นถุงของกินมากมายมากองลงตรงหน้าเจ้าของห้อง “อะไรก็ได้ของมึง” พูดพร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างมาดร้าย ใจจริงเขาอยากจะซื้อมันทั้งมินิมาร์ท แต่เกรงว่าจะเป็นภาระของตัวเองที่คงจะแบกขึ้นมาไม่ไหว เลยหยิบเท่าที่แบกมาได้แทน

“เอามาวางตรงนี้” ปลายนิ้วชี้ยกไปบนโต๊ะที่มีกองเอกสารมากมายวางอยู่

ตุบ!

เสียงของถุงกระดาษที่ภายในเต็มไปด้วยอาหาร ขนม และเครื่องดื่มถูกวางลงไปไม่เบานัก

“งั้นวันนี้ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ขอตัวนะ”

กานวางของกินเสร็จจึงเอ่ยลา ร่างสูงกำลังจะเดินไปหยิบถุงผ้าขึ้นมาสะพาย ไหล่ แต่ต้องหยุดเท้าชะงักเมื่อไอ้หัวขี้มันเริ่มแผลงฤทธิ์ใส่เขาอีกจนได้

“ในนี้ไม่มีของที่กูอยากกินเลย มึงลงไปซื้อมาให้ใหม่ที แต่คราวนี้ขอเป็นร้านข้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคอนโด เอาข้าวมันไก่กับน้ำมะม่วงปั่นหวานปกติ”

ธีต์เอ่ยเสียงราบเรียบหลังจากกวาดสายตามองไปยังอาหารที่กานซื้อมา โดยไม่สนใจท่าทีของคนฟังที่หันขวับมาจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“แล้วทำไมรอบแรกไม่สั่งแบบนี้” คนพูดยืนกำหมัดแน่น

“เพิ่งนึกออกเมื่อกี้มาว่าอยากกินอะไร”

“.....”

“หรือมึงจะไม่ไปก็ได้นะ แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาช่วยกูแล้ว เดี๋ยวส่งบิลไปเรียกเก็บค่าซ่อมรถทีหลัง”

เมื่อถูกเอาเรื่องรถมาขู่ซึ่ง ๆ หน้า จำเลยอย่างไอ้กานจะรอดพ้นไปได้อย่างไร กรามแกร่งกัดเข้าหากันด้วยความโกรธ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เพราะสถานะทางการเงินของตัวเองมันไม่เอื้ออำนวยมากพอที่จะไปสู้รบตบมือกับไอ้หัวขี้

“เออ!! เอาแค่นี้นะ กูลงไปซื้อรอบเดียว กลับขึ้นมาถ้าอยากแดกอย่างอื่น มึงกดสั่งเอา เสียเวลาชีวิตฉิบหาย”

ท้ายเสียงเขาบ่นอยู่ในลำคอให้ได้ยินแค่ตัวเอง แต่ก็ยอมกระทืบเท้าเดินกลับออกไปยังทางเดิมที่ตนเพิ่งจะก้าวเท้าเข้ามาได้ไม่นาน

ธีต์มองไล่หลังของรุ่นน้องด้วยแววตานุ่มลึกจนประตูห้องของเขาปิดลงอีกครั้ง ‘หึ หน้าตาตอนโมโหตลกชะมัด’ เขาพูดลอย ๆ แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาในระดับสายตาอีกหน ก่อนจะฆ่าเวลาระหว่างรอข้าวด้วยการกดจองรถรุ่นใหม่ พร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ อย่างคนอารมณ์ดี เพราะนอกจากจะได้ของที่ถูกใจแล้ว ยังได้แกล้งใครบางคนจนอ่วมอีกด้วย

อีกด้าน

“เหมาหมดร้านเลยเหรอคะ”

เจ้าของร้านถามลูกค้าหนุ่มด้วยความดีใจ เมื่อได้ยินว่าคนตรงหน้าเธอต้องการเหมาข้าวมันไก่รวมถึงน้ำปั่นของทางร้าน

“ใช่ครับ พอดีรุ่นพี่ผมเขาชอบกินมาก วันนี้วันเกิดเขา เห็นว่าจะเหมาไปเลี้ยงเพื่อนครับ”

กานตอบออกไปด้วยใบหน้าใสซื่อ จนเจ้าของร้านอดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มขอบคุณมาให้ เพราะในเศรษฐกิจแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีลูกค้ามาเหมาอาหารที่ร้าน

“ขอบคุณนะคะ ว่าแต่จะให้ทางร้านจัดส่งที่ไหนดีคะ เราส่งให้ถึงที่ ฟรีไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ”

“คอนโดXXX แต่อีกสักประมาณ 1 ชั่วโมงค่อยโทรไปที่เบอร์รุ่นพี่ผมนะครับ เขาจะลงมารับอาหารด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เขาหิวมาก แล้วงานเขาจัดกันช่วงดึก ๆ หน่อย แกบอกว่าขอข้าวมันไก่ กับน้ำมะม่วงปั่นหวานปกติชุดนึงก่อนครับ”

“ได้เลยค่ะ ฝากไปขอบคุณรุ่นพี่ด้วยนะคะ”

“ได้เลยครับ ว่าแต่ที่นี่จ่ายบัตรได้ใช่ไหมครับ”

“ได้ค่ะ”

“นี่บัตรครับ”

กานยื่นบัตรใบเดิมที่เขาเพิ่งจะเอาไปรูดซื้อของในมินิมาร์ทมายังไม่พ้นครึ่งชั่วโมงให้กับเจ้าของร้านข้าวมันไก่ ร่างสูงฉีกยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ แล้วมองไปยังไก่หลายสิบตัวที่ห้อยระโยงระยางอยู่ในตู้โชว์หน้าร้าน โดยที่ยังมีไก่อีกนับร้อยตัวที่เจ้าของร้านตะโกนบอกให้ลูกน้องทยอยนำออกมาสับเพื่อจัดลงกล่อง ๆ ดูจากสายตาของไอ้กานแล้ว ‘ไอ้หัวขี้คงมีข้าวมันไก่กินไปถึงชาติหน้า ไม่นับน้ำมะม่วงปั่นอีกเป็นสวน สาแก่ใจไอ้กานนัก’

เขาใช้เวลารอไม่นาน เจ้าของร้านคนเดิมก็นำข้าวมันไก่ พร้อมน้ำมะม่วงปั่นมาให้ ก่อนจะส่งบัตรเครดิตคืนมา กานรับอาหารมาถือไว้แล้วไม่ลืมที่จะก้มหัวขอบคุณเจ้าของร้าน จากนั้นจึงมุ่งหน้ากลับไปยังคอนโดของไอ้คนเจ้าปัญหา ที่ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ปัญหาจะวิ่งมารอมันถึงหน้าประตู

บนห้องของธีต์

“อะ ข้าวมันไก่ ส่วนนี่น้ำมะม่วงปั่น”

“อืม”

“งั้นกูกลับแล้วนะ หมดธุระของวันนี้แล้ว”

คราวนี้กานไม่รอให้อีกคนได้โต้เถียงอะไร เขาหยิบถุงผ้ามาสะพายไหล่แล้วหมุนตัวเดินออกไปยังประตู แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูออกไป เสียงเข้ม ๆ จากเจ้าของห้องดังขึ้นเสียก่อน

“ของกินที่มึงซื้อมาก่อนหน้านี้ มึงเอากลับไปกินแล้วกัน เก็บไว้ที่ห้องกูก็รกเปล่า ๆ”

“กูไม่เอา” เขาเอี้ยวตัวไปปฏิเสธทันควัน

“เอาไปเถอะ วางไว้นี่ก็เป็นขยะ มึงไม่เอากลับไป กูก็แค่ทิ้ง”

“ทิ้งทำไมเสียดายของ ซื้อมาตั้งหลายบาท”

คนแบบเขาที่เติบโตมาจากข้าวก้นบาตรของหลวงตา อาหารจึงเป็นอีกสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถกินอะไรได้ตามใจชอบแบบไอ้หัวขี้ ชาวบ้านใส่บาตรอะไรมา แล้วหลวงตาท่านฉันเหลือเท่าไหร่ นั่นแหละถึงเป็นอาหารของตน ดังนั้น ของกินเมื่อครู่ที่เพิ่งซื้อมามันยังดี ๆ อยู่เลย ไอ้คนรวยพวกนี้กลับพูดออกมาได้อย่างง่ายดายว่าจะทิ้งเพียงเพราะไม่อยากกิน

“งั้นมึงเอาไปสิ”

“เออ ๆ เป็นคนรวยนี่มันดีอย่างนี้นี่เองนะมึง”

เขาพูดเสียงห้วน ๆ แต่ก็ยอมเดินกลับไปหิ้วถุงใส่อาหารที่ยังคงวางอยู่ที่เดิมขึ้นมาจนเต็มสองมืออีกครั้ง “กูกลับแล้ว” เขาบอกออกไปให้กับคนที่ตายังไม่ยอมละจากหน้าจอโทรศัพท์

“ผู้ใหญ่ให้อาหารมึงจะไม่ขอบคุณสักคำเลยหรือไง” ธีต์ละสายตาขึ้นมามองไปยังรุ่นน้องนิ่ง

“กูไม่ขอบคุณนะ มึงสิต้องขอบคุณกู นี่กูช่วยมึงลดการสร้างขยะอยู่นะเว้ย”

“กูละยอมใจมึงเลยกาน”

“หึ กูวางบัตรเครดิตมึงไว้ที่เดิมแล้วนะ”

กานเปลี่ยนเรื่อง แล้วเดินหิ้วอาหารออกจากห้องไป โดยไม่สนใจไอ้หัวขี้หรือแม้แต่จะบอกคำขอบคุณที่อีกฝ่ายอยากได้ยินนักหนา เพราะเห็นหน้ามันทีไร เรื่องที่เขาต้องตกงานก็ลอยมาเลย คิดแล้วมันแค้นใจ ได้แต่ภาวนาขอพรต่อสิ่งศักดิ์ว่าให้คนจนอย่างเขาได้เอาคืนด้วยการถีบยอดหน้าไอ้เวรนั่นสักทีสองที

‘ชิงหมามาเกิดยังน้อยไปสำหรับมัน’

แม้ในใจจะร้อนอย่างกับมีคนมาสุมไฟอยู่ในอก แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าของอีกฝ่ายในอีกชั่วโมงข้างหน้ากานถึงกับยิ้มร่าไปตลอดทางเดิน “หึ แค่นี้ยังน้อยไปที่ทำกูตกงาน” พูดกับเงาสะท้อนของตัวเองภายในลิฟต์ด้วยเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสะใจ

 

1 ชั่วโมงต่อมา

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องหรูดังขึ้น ขณะที่เจ้าของเครื่องกำลังนั่งตักข้าวมันไก่คำโตใส่ปาก ธีต์รีบเคี้ยวข้าวแล้วหยิบน้ำมะม่วงปั่นขึ้นมาดูดก่อนจะกดรับสาย แม้ว่าเบอร์ที่ขึ้นโชว์จะไม่ขึ้นชื่อผู้โทรเข้ามาก็ตาม

“สวัสดีค่ะ คุณธีต์ ห้องเบอร์ 13/12 คอนโด XXX หรือเปล่าคะ”

“ใช่ครับ”

“ดิฉันเป็นเจ้าของร้านข้าวมันไก่เลิศดำรงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคอนโดนะคะ”

“อ่า ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พอดีข้าวมันไก่และน้ำผลไม้ปั่นที่คุณธีต์ให้รุ่นน้องมาเหมาจากทางร้าน ดิฉันให้ลูกน้องนำออกไปส่งแล้วนะคะ คิดว่าไม่เกิน 10 นาทีน่าจะถึงด้านล่างของคอนโด เมื่อลูกน้องไปถึงแล้วเขาจะโทรหาคุณธีต์นะคะ ดิฉันเลยอยากจะโทรมาขอบคุณด้วยตัวเองก่อนค่ะ”

“.....”

“ขอบคุณที่ชอบข้าวมันไก่และน้ำปั่นจากทางร้านของเราจนเหมาไปฉลองวันเกิดหมดเลยนะคะ ยังไงดิฉันขออวยพรให้วันเกิดปีนี้ของคุณธีต์พบเจอแต่ความสุขและความเจริญนะคะ ขอบคุณที่เหมาข้าวมันไก่และน้ำปั่นจากทางร้านของเราค่ะ”

“...ครับ”

ตู้ด ตู้ด ตู้ด

เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว บ่งบอกว่าปลายสายกดวางไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนคนฟังตอนนี้สติหลุด มือไม้สั่นขึ้นมาทันที ‘ข้าวมันไก่ที่เขากำลังกินจวนจะอิ่มอยู่แล้ว มันมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องไปเหมาทั้งร้านมา แล้ววันเกิดอีก ใครมันบอกกันว่าเขาเกิดวันนี้’

เกือบหนึ่งนาทีที่ร่างสูงกำลังนั่งอึ้งโดยที่มือยังกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น และเมื่อจับต้นสายปลายเหตุได้แล้ว ต้นตอของเรื่องทั้งหมดมันหนีไม่พ้นไอ้เด็กเปรตที่เขาเพิ่งจะใช้มันไปซื้อข้าวมันไก่มาหมาด ๆ

“ไอ้เด็กเปรต เล่นกูแสบนักนะมึง”

เขาเค้นเสียงผ่านไรฟัน พลางทุบมือลงไปบนโต๊ะที่ใช้กินข้าวมันไก่ด้วยความโมโห เมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นถูกเอาคืนอย่างเจ็บแสบ ‘เด็กนั่นมันเอาคืนเขาด้วยการไปเหมาข้าวมันไก่และน้ำมะม่วงปั่นมาทั้งร้าน โถ่โว้ย!!’

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • การันต์กันธีต์   ตอนจบ : วันเกิดปีนี้พี่ธีต์ไม่ต้องฉลองคนเดียวอีกต่อไปแล้วนะ

    “ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 48 : ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอสินะ

    “ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 47 : แม่ยายและว่าที่ลูกสะใภ้หมายเลขหนึ่ง

    ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 46 : คำบอกรักจากพี่ธีต์ที่ไปไม่ถึงคนฟัง

    “กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 45 : ความรักของพ่อ ความรักของแฟน

    “คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ

  • การันต์กันธีต์   บทที่ 44 : ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

    โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status