“ฉันเป็นแค่พนักงาน ไม่อาจตีตัวเสมอเจ้านายได้หรอกค่ะ” เธอไม่ทำตามคำสั่งของเขา ก้าวเข้าไปนั่งเคียงข้างกับคนขับรถ
“แต่นี่เป็นคำสั่ง” ทำไมเธอต้องทำให้เขาหัวเสียได้ทุกครั้งที่พบกันนะ
“คำสั่งที่ไม่มีเหตุผล ฉันมีสิทธิ์ไม่รับฟังค่ะ”
“แต่ผมมีเรื่องงานต้องคุยกับคุณ”
“ก็คุยมาสิคะ อยู่ตรงนี้ฉันก็ได้ยิน”
“คุณบอกว่าไม่ชอบคุยเรื่องเดียวกันซ้ำหลายรอบ แล้วทำไมคุณถึงคุยเรื่องที่ผมถามเมื่อเช้านี้กับคุณแม่ผมล่ะ”
เรียวปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มบางเบา เอียงหน้าไปมองทางด้านหลัง “ตอนเที่ยงไม่ใช่เวลาทำงานของฉัน ฉันสามารถจะคุยกับใครก็ได้ ในเรื่องที่ฉันพอใจ”
‘ให้มันได้อย่างนี้สิ ผู้หญิงบ้านี่’ ยัสซันขบกรามแน่นด้วยความขัดใจกับคำตอบยียวนกวนประสาทของเธอ
“แสดงว่าต่อไปนี้ ถ้าผมอยากรู้เรื่องอะไรก่อนการประชุม ผมก็สามารถถามคุณตอนเที่ยงได้ใช่ไหม”
“มันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจส่วนตัวของฉันอีกนั่นแหละค่ะ ถ้าฉันอยากจะตอบฉันก็ตอบ แต่ถ้าไม่ก็คือไม่ ในกรณีของท่านประธานฉันนับถือท่านมาก ฉันจึงเต็มใจตอบทุกคำถามของท่าน ถึงแม้จะเป็นในเวลางานก็ตาม”
“คุณ.. คุณ.. คุณกำลังท้าทายผมใช่ไหม คิดว่าผมไม่มีฝีมือในการทำงานหรือไง คุณถึงทำท่าไม่ยอมรับผมแบบนี้” ยัสซันตะคอกถามอย่างเหลืออด อยากจะบีบคอสวยๆ นั้นให้ขาดอากาศหายใจตายคามือไปเลย
อินทิราเบ้ปากที่เจือไปด้วยรอยยิ้ม หันไปมองเขาตรงๆ อย่างตั้งใจมากขึ้น “คุณนี่ขี้โวยวาย นิสัยเอาแต่ใจเหมือนผู้หญิงเลยนะ พูดเองเออเองหมด ไร้สาระสิ้นดี”
“คุณอินทิรา!”
ประกอบสะดุ้งตกใจจนรถแฉลบไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงตะคอกเกรี้ยวกราดของผู้เป็นเจ้านาย “คุณป่านครับ พอเถอะครับ” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงเบาขอร้องหญิงสาวด้วยสีหน้าอ้อนวอน ถึงเขาจะฟังไม่ค่อยออกว่าทั้งสองพูดอะไรกัน เพราะใช้ภาษาอังกฤษคล่องลิ้นในการตอบโต้ แต่ก็พอรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่
“ฉันไม่เคยคิดว่าคุณทำงานไม่เป็นนะคะ แต่อุดมการณ์ในการทำงานของเราอาจจะแตกต่างกันก็เท่านั้น ถ้าทำให้คุณโกรธฉันก็ขอโทษด้วยละกัน” เธอพูดกับเขาด้วยเสียงที่ปกติ ไม่ได้เกรงกลัวอารมณ์ร้ายของเขา เพียงแต่อยากตัดปัญหาให้มันจบลง เพราะเห็นแก่คนขับรถที่มักคุ้นกันดีคนนี้ต่างหาก
“ขอบคุณนะครับคุณป่าน” ประกอบกล่าวกับหญิงสาวด้วยเสียงที่เบาคล้ายกระซิบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ
ยัสซันได้แต่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพ่งมองด้านหลังของหญิงสาว เพราะไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ถ้าโวยวายต่อไปก็คงกลายเป็นคนพาลในสายตาของเธอแน่ ๆ เพราะเธอกล่าวขอโทษมาแล้ว ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ เขาต้องเอาคืนแน่
‘ยังไงก็รักเธอคนเดียว คนเดียวที่รักทั้งหัวใจ วันเวลาผ่านไป ฤดูเปลี่ยน ฉันไม่เปลี่ยน รักเธออยู่อย่างนั้น เธอคือความรักทุกฤดู คือฤดูรักที่ยาวนาน เธอคือความผูกพันที่คอยผูกใจฉันอยู่ รักเธออยู่เหมือนเดิม..’
อินทิราเปิดกระเป๋าสะพายใบใหญ่ ควานหาโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่อง
“สวัสดีค่ะ”
(พี่ป่านทานข้าวหรือยังครับ) เสียงใส ๆ ของชินวุฒิดังมาตามสาย
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
(พี่ป่านครับ เย็นนี้พี่ป่านว่างไหม)
“ว่าง มีอะไรหรือเปล่า”
(ไปดูหนังกันนะครับ ปอจองตั๋วเอาไว้แล้ว)
“จองไว้แล้วค่อยมาถามเนี่ยนะ ถ้าพี่ไปไม่ได้เราจะทำยังไง”
(ปอก็ขายต่อให้เพื่อนสิครับ เพราะยังไงปอก็ไม่ยอมดูกับคนอื่นเด็ดขาด ปอจะดูกับพี่ป่านเท่านั้น)
“ไปกับสาวอื่นบ้างเถอะปอ มัวแต่ติดพี่แบบนี้เดี๋ยวก็ขายไม่ออกเหมือนพี่หรอก”
(ปอรักพี่ป่านไปแล้วนี่ครับ สองตาของปอก็เลยไม่อยากมองสาวอื่นอีก)
“พอเถอะพี่เลี่ยนกับคำว่ารักของนายแล้ว ตกลงเย็นนี้เจอกันที่เดิมใช่ไหม”
(ครับพี่ป่าน ปอไม่เอารถไปนะครับ หนังเลิกแล้วพี่ป่านไปส่งปอที่บ้านด้วยนะ)
“ลูกไม้ตื้นๆ อีกแล้วนะเรา” ต่อว่าพร้อมรอยยิ้ม เพราะแมนชั่นที่เธอเช่าอยู่ต้องผ่านบ้านของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้ไม้นี้กับเธอเป็นประจำ
(ขอบคุณครับพี่ป่าน ปอรักพี่ป่านนะครับ)
“เด็กหนอเด็ก พูดคำว่ารักได้บ่อยเหลือเกิน” อินทิรารำพันกับโทรศัพท์ที่ถูกตัดสัญญาณไปแล้วพร้อมรอยยิ้ม
ยัสซันรู้สึกหมั่นไส้หญิงสาวยิ่งนัก เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของเธอ ภาพของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่เจอเมื่อหลายวันก่อนแวบขึ้นมา
“ชอบกินเด็กเหรอคุณน่ะ” ไม่รู้เพราะอะไรจึงรู้สึกไม่พอใจ จึงถามเธอออกไปแบบนั้น “ระวังจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์นะคุณ”
อินทิราหันไปมองหน้าชายหนุ่ม จงใจคลี่ยิ้มหวานละมุนส่งให้เขา “ถึงฉันจะชอบกินเด็ก แต่ฉันไม่กินเด็กอย่างคุณแน่ ต่อให้นอนทอดสะพานเงินสะพานทองให้ฉันข้ามไปกิน ฉันก็ไม่ข้ามไปกินเด็ดขาด” ไอ้เด็กนรกส่งมาเกิดนี่ ปากปีจอจริงๆ หญิงสาวต่อว่าชายหนุ่มในใจ พยายามไม่เก็บคำพูดของเขามาเป็นอารมณ์
“แน่จริงก็ด่าออกมาเลยสิ อย่าเก็บไว้ในใจ” แค่มองตาเขาก็อ่านใจเธอออกว่ามันต้องมีคำพูดร้ายๆ ซ่อนอยู่
“ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะรู้อยู่แล้วนี่ว่าด่า คิดเอาเองก็แล้วกันว่าด่าอะไร”
“คุณมันนางจิ้งจอกเก้าหาง กินเด็กผู้ชายเป็นอาหาร”
“ฉันยอมรับว่าเป็น แต่คุณจะเดือดร้อนทำไมล่ะ นี่มันตัวฉันไม่ใช่ตัวคุณซะหน่อย” เธอตอบรับคำกล่าวหาของเขาถึงแม้จะไม่เป็นความจริง แล้วย้อนถามอย่างใคร่รู้
‘นั่นสิ แล้วเขาจะเดือดร้อนทำไม’ ยัสซันถามตัวเองอยู่ในใจ “ผมก็แค่สงสารเด็กมันหรอก” ทำสีหน้าไม่พอใจใส่เธอแล้วหันไปมองทางอื่นแทนใบหน้าสวยคมของเธอ...
“กรี๊ดดดด..” อินทิรารีบคว้าผ้าขนหนูที่ถูกเขากระชากจนหลุดออกจากร่าง แต่แรงหญิงหรือจะสู้แรงชาย สุดท้ายเธอก็มีเพียงบราเซียตัวจิ๋วปกปิดเรือนร่างส่วนบนเอาไว้ เมื่อเห็นชายหนุ่มโน้มกายหมายเข้ามาหา จึงยกเท้าถีบไปที่ใบหน้าคมเข้มนั้นเต็มแรงจนเขาเสียหลัก รีบอาศัยจังหวะนี้คลานลงจากเตียง วิ่งหนีสุดฝีเท้ายัสซันรีบขยับตัวตั้งท่าลุกขึ้นอย่างหัวเสีย วิ่งตามหญิงสาวฝีเท้าหนักที่ทำเอาเขาวูบไปชั่วขณะ เธอมันร้ายได้ทุกสถานที่จริง ๆ ขนาดอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ยังกล้าลงมือ ถ้าทำกันขนาดนี้ก็อย่าหวังว่าจะรอดออกไปได้ง่าย ๆ“กรี๊ดดดด..” สองเท้าของเธอตะกุยอยู่ในอากาศ เพราะถูกร่างที่สูงใหญ่กว่าโอบอุ้มจากข้างหลังจนตัวลอย “ปล่อยฉันนะไอ้เลว ไอ้ระยำ แกจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้” เธอยังดีดดิ้นเพื่อให้หลุดจากการโอบกอด“ใครกันแน่ที่ต้องเสียใจ กล้าถีบหน้าผมก็ต้องชดใช้ให้สาสม” จมูกโด่งเป็นสันแตะที่ขมับของหญิงสาว กระซิบที่หูขณะหิ้วเธอกลับไปที่เตียงนอน เหวี่ยงเธอลงไปบนเตียงหลังใหญ่อีกครั้ง แล้วรีบโถมกายตามไปติด ๆ จัดการลงโทษตามแบบที่ต้องการ
ยัสซันกระตุกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นไฟในห้องเปิดเอาไว้ เดินดิ่งไปยังห้องนอนรับรองแขก เปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะขออนุญาต ในห้องไร้ตัวตนของหญิงสาวที่ได้ตกลงนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า มีเพียงเสื้อและชั้นในที่วางไว้บนหมอนใบใหญ่ ทำให้รู้ว่าเธอกำลังอาบน้ำอยู่และเพื่อไม่ให้เสียเวลา จึงจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเอง คว้าผ้าขนหนูสีขาวบนเตียงมาพันปกปิดท่อนล่างเอาไว้ลวก ๆ เดินออกไปหยิบบรั่นดีชั้นเยี่ยมพร้อมแก้วทรงสูงสองใบบานประตูแบบกระจกถูกผลักออกอย่างเบามือกว่าเดิม เพราะกลัวของที่ถือมาด้วยจะกระทบโดนจนเกิดความเสียหาย.. แต่แล้วใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ของยัสซันก็ต้องตะลึงค้าง.. เมื่อมองเห็นแผ่นหลังขาวผุดผาดของสตรีนางหนึ่งที่กำลังขยับเสื้อในตัวสวยให้เข้าที่เพียงแค่เห็นด้านหลังเขาก็นึกไปถึงอินทิราทันที นางแบบคนนี้กับเธอคนนั้นช่างเหมือนกันราวกับแกะ รูปร่าง ทรงผม สีผิว.. เขารีบดึงสติให้กลับมาอยู่กับความเป็นจริงตรงหน้า ไม่ยอมให้หญิงร้ายคนนั้นมามีอำนาจกับความคิดของตน“จะใส่กลับเข้าไปทำไมให้เสียเวลา เดี๋ยวเราก็ต้องถอดมันออกอยู่ดี” เขาพูดกับเธอแล้วก้าวเท้าเข้าไปหา
ยัสซันหัวเราะออกมาเบา ๆ พยักหน้ายอมรับที่อีกฝ่ายพูดออกมา “คนสมัยนี้มันน่ากลัวนะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้หญิงยอมเป็นเมียน้อยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีเงิน ส่วนผู้ชายก็ยอมมีเมียแก่รุ่นแม่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีเงิน สรุปแล้วมีแต่คนหาเกาะใหญ่ ๆ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยของกินดี ๆ กันทั้งนั้น ไม่มีใครยอมอยู่เกาะที่รกร้างว่างเปล่ากันหรอก ต่อให้เกาะนั้นมีธรรมชาติที่งดงามเพียงไหนก็ตาม”“ฮา ๆ ๆ มันก็จริงอย่างที่นายว่านั่นแหละ สมัยนี้เงินเท่านั้นที่บันดาลความสุข ไม่ใช่ความรักหรอก”“มาดื่มกันดีกว่า อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่ยังเป็นไปไม่ได้เลย” ยัสซันยื่นแก้วเหล้าขอชนกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม“ดื่ม”...อินทิราบอกลากับเด็กหนุ่มหลังจากดูหนังเสร็จ เพื่อไปทำงานตามที่รับปากกับชาลีเอาไว้“ให้ปอไปเป็นเพื่อนนะครับพี่ป่าน”“ไม่ต้องหรอกปอ กลับบ้านไปอ่านหนังสือเถอะ กว่าพี่จะกลับคงดึก”“แต่ปอเป็นห่วงพี่ป่านนี่ครับ พี่ป่านสายตาสั้นด้วย ขับรถตอนกลางคืนมันอันตรายนะครับ” ชินวุฒิย
ชินวุฒิโบกมือให้อินทิราที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อน พร้อมฉีกยิ้มกว้างส่งให้เธอ.. “พี่ป่านครับ เราไปหาอะไรทานกันก่อนนะครับ ยังมีเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่า” เด็กหนุ่มบอกกับหญิงสาวที่โตกว่าเก้าปี ขณะมองนาฬิกาบนข้อมือที่บอกเวลาสิบเจ็ดนาฬิกากว่า ๆ“จะทันเหรอ ถ้าทันก็ไปกินสิ”“เหลือเฟือครับพี่ป่าน เข้าโรงหนังช้าหน่อยก็ได้ เพราะมันมีโฆษณาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง”“ตามใจจ้ะ”“ครับผม” เมื่อเธอตอบรับเขาจึงถือโอกาสจูงมือเธอเดินไปที่ร้านอาหารโปรดของเธอเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ ลูกค้าในร้านจึงบางตากว่าปกติ ทั้งคู่จึงไม่ต้องเสียเวลารอคิว สามารถเข้าไปหาที่นั่งที่ถูกใจได้เลย“ปิดเสียงโทรศัพท์หรือยังปอ” อินทิรากระซิบถามเด็กหนุ่มเมื่อเข้ามานั่งในโรงหนัง และหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเปลี่ยนสถานะเป็นระบบสั่น“ปิดตั้งแต่ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำแล้วครับ” ชินวุฒิตอบพร้อมกับโชว์โทรศัพท์ให้หญิงสาวดู“ดีมาก” แล้วหันไปสนใจจอหนังขนาดใหญ่.. ขณะที่หนังกำลังเดิน
“ฉันเป็นแค่พนักงาน ไม่อาจตีตัวเสมอเจ้านายได้หรอกค่ะ” เธอไม่ทำตามคำสั่งของเขา ก้าวเข้าไปนั่งเคียงข้างกับคนขับรถ“แต่นี่เป็นคำสั่ง” ทำไมเธอต้องทำให้เขาหัวเสียได้ทุกครั้งที่พบกันนะ“คำสั่งที่ไม่มีเหตุผล ฉันมีสิทธิ์ไม่รับฟังค่ะ”“แต่ผมมีเรื่องงานต้องคุยกับคุณ”“ก็คุยมาสิคะ อยู่ตรงนี้ฉันก็ได้ยิน”“คุณบอกว่าไม่ชอบคุยเรื่องเดียวกันซ้ำหลายรอบ แล้วทำไมคุณถึงคุยเรื่องที่ผมถามเมื่อเช้านี้กับคุณแม่ผมล่ะ”เรียวปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มบางเบา เอียงหน้าไปมองทางด้านหลัง “ตอนเที่ยงไม่ใช่เวลาทำงานของฉัน ฉันสามารถจะคุยกับใครก็ได้ ในเรื่องที่ฉันพอใจ”‘ให้มันได้อย่างนี้สิ ผู้หญิงบ้านี่’ ยัสซันขบกรามแน่นด้วยความขัดใจกับคำตอบยียวนกวนประสาทของเธอ“แสดงว่าต่อไปนี้ ถ้าผมอยากรู้เรื่องอะไรก่อนการประชุม ผมก็สามารถถามคุณตอนเที่ยงได้ใช่ไหม”“มันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจส่วนตัวของฉันอีกนั่นแหละค่ะ ถ้าฉันอยากจะตอบฉันก็ตอบ แต่ถ้าไม่ก็คือไม่ ในกรณีของท่านประธานฉันนับถือท่านมาก ฉันจึงเต็มใจตอบทุกคำถามของท่าน ถึงแม้จะเป็นในเวลางานก็ตาม”“คุณ.. คุณ.. คุณกำลังท้าทายผมใช่ไหม คิดว่าผมไม่มีฝีมือในการทำงานหรือไง คุณถึงทำท่า
สตรีวัยห้าสิบที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้เป็นลูกสาวของลูกชายคนโตของปู่ ส่วนบิดาเขาเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องแปดคน จึงนับญาติเป็นพี่น้องกัน แต่เมื่ออยู่ในบริษัทนางก็คือประธานใหญ่ที่เขาต้องให้ความเคารพ“เธอน่าจะไปเป็นตำรวจหรืออัยการ มากกว่ามาเป็นผู้จัดการใหญ่ให้บริษัทพี่นะ” วารีตีต้นแขนชายหนุ่มพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “เขาอยู่ไหม”“อยู่ครับ แต่น่าจะคุยอยู่กับคุณป่าน” เขาก็เพิ่งออกจากห้องทำงานมาเหมือนกัน จึงไม่รู้ว่าหญิงสาวที่กล่าวถึงจากไปสักพักแล้ว“หนูป่านกลับไปแล้ว เมื่อกี้พี่เพิ่งคุยกับเธอเอง พี่ไปหาลูกก่อนนะ แล้วว่าง ๆ เราค่อยไปทานข้าวด้วยกัน” วารีบอกกับชายหนุ่ม“ครับท่านประธาน” ชาลีโค้งศีรษะให้เล็กน้อย รอจนนางเดินผ่านไปแล้ว จึงเดินไปที่โต๊ะผู้ช่วยของตน...อินทิรานึกสงสัยอยู่ในใจเมื่อเดินทางมาถึงร้านอาหารสุดหรู ที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรมขึ้นชื่ออันดับต้น ๆ ของประเทศไทย แต่สตรีสูงวัยเลือกที่จะปฏิเสธการสั่งอาหารเอาไว้ก่อน ขอเพียงน้ำเปล่ามาดื่มเท่านั้น“น้ำเปล่าเหมือนกันค่ะ” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายอธิบาย เธอรู้ได้ด้วยตัวเองว่าท่านประธานต้องรอใครบางคนอยู่“ฉันได้ข่าวมาว่าทางบริษัทคู่ค้าของเราที